ตอนที่ 1871 การลงมือของฉินไป่หลี่
“ลองดูสักครั้งก็ได้!” ภายใต้การคาดหวังของผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อย ซั่งกวานถูก็เริ่มสนใจขึ้นมาแล้ว จะอย่างไรเสีย ศิลาจารึกที่อยู่ตรงหน้านับเป็นของวิเศษที่สุดยอดมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขาเองอยากจะทดสอบกำลังของตนเองดูบ้าง
“แว้งค์…” ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ซั่งกวานถูพลันก้าวเท้าออกไป ความเร็วของเขานั้นไวมาก เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ก้าวจากยอดเขาไปถึงด้านหน้าของศิลาจารึก
ภายใต้ก้าวเพียงก้าวเดียว ซั่งกวานถูได้ทำลายช่วงห่างของช่องว่าง แม้ว่าพริบตาเดียวขณะที่เขาก้าวเท้าออกไปแล้วพลังของช่องว่างจะปรากฎขึ้น แต่ในฐานะที่เป็นระดับจอมเทพ เขากลับทำลายการพันธนาการของพลังจากช่องว่างนั่น เพียงก้าวเดียวก็ไปยืนอยู่ตรงด้านหน้าศิลาจารึกในทันที
การที่ซั่งกวานถูก้าวเท้าออกไปเพียงก้าวเดียวก็สามารถไปยืนอยู่ด้านหน้าของศิลาจารึกได้แล้ว ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยตกใจจนพูดไม่ออก ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่เป็นรุ่นเดียวกันกับซั่งกวานถูยังต้องทอดถอนใจยอมรับ จอมเทพย่อมเป็นจอมเทพ มีกำลังความสามารถซึ่งยากที่พวกเขาจะเทียบเทียมได้
“จี๊ด…” จังหวะที่ซั่งกวานถูก้าวเท้าก้าวเดียวถึงด้านหน้าศิลาจารึกนั้น พลันปรากฏแรงดูดที่น่ากลัวขึ้นมา พริบตาเดียวนั่นเองลมปราณพุ่งออกดั่งพายุเป็นสายๆ โดยแรงดูดที่น่ากลัวดังกล่าวต้องการดูดพลังลมปราณของซั่งกวานถูทั้งหมด
“พลังกลืนกินมาแล้ว…” มีผู้บำเพ็ญตนถึงกับร้องออกมาด้วยความกังวล เมื่อเห็นเลือดสดๆ ของซั่งกวานถูพุ่งออกมาเป็นสายในฉับพลัน
“ฮึ…” ในเวลานี้ ซั่งกวานถูส่งเสียงฮึออกมาอย่างน่าเกรงขาม ได้ยินเสียง “ปัง” ดังขึ้น พริบตาเดียวนี้เอง ลมปราณของซั่งกวานถูพลันถูกเก็บออมเอาไว้ภายในร่างกาย เสมือนหนึ่งเขาได้สูญเสียพลังลมปราณไปทั้งหมดอย่างนั้น ในเสี้ยววินาทีนั่นเอง ลมปราณทั่วทั้งร่างของเขาเหมือนพังทลายลง เลือดแก่นทั้งหมดของเขาถูกบีบอัดเข้าไปเก็บไว้ภายในร่างกาย
ได้ยินเสียง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” ดังขึ้น จากการที่พลังลมปราณของซั่งกวานถูพังทลายลงภายในร่างกาย ทำให้เดิมเลือดสดๆ ของซั่งกวานถูที่ถูกดูดออกไปก่อนหน้าพลันถูกเขาดูดกลับเข้ามาใหม่ เลือดแก่นเป็นสายๆ ถูกดูดกลับเข้าร่างของเขาอีกครั้งหนึ่ง
ภาพนี้ดูไปแล้วไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง แต่ ซั่งกวานถูกลับทำได้สำเร็จ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยตกใจจนพูดไม่ออก
“จอมเทพย่อมเป็นจอมเทพ ต่อให้เป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์เพียงดวงเดียวก็ตามก็ยังคงยอดเยี่ยมมาก” ครั้นมองเห็นซั่งกวานถูถึงกับตรึงลมปราณของตนเอาไว้ได้ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยตกใจเป็นอย่างยิ่ง ขณะเดียวกันก็ยอมรับนับถือและอิจฉา สิ่งนี้ก็คือช่วงห่างระหว่างจอมเทพกับยอดฝีมือ ช่วงห่างลักษณะเช่นนี้เสมือนหนึ่งเป็นคลองที่ไม่สามรถก้าวข้ามไปได้
“เก็บคืน…” หลังจากที่ซั่งกวานถูทำให้ลมปราณของตนอยู่ในสภาพมั่นคงแล้วไม่กล้าจะรั้งอยู่นาน แม้ว่าเขายังไม่ชัดเจนว่าแท่นบูชาโบราณคืออะไร แต่เขาในฐานะจอมเทพ ลางสังหรณ์บอกเขาว่า สถานที่แห่งนี้อันตรายมากอย่างแน่นอน
ทันใดนั้น ซั่งกวานถูสำแดงอภินิหารด้วยการใช้ฝ่ามือบังฟ้า และยื่นมือคว้าไปยังแผ่นศิลาจารึกขนาดยักษ์ หวังจะถอนมันขึ้นมาดื้อๆ แล้วนำติดตัวไป
แต่ทว่า เมื่อซั่งกวานถูคว้าแผ่นศิลาจารึกขนาดยักษ์อยู่ในมือนั้น ปรากฎว่าศิลาจารึกกลับไม่ขยับ เสมือนว่ารากงอกอย่างนั้น ซึ่งไม่สามารถถอนมันขึ้นมาได้
“เปิด…” ซั่งกวานถูไม่เชื่อว่าจะชั่วร้ายปานนั้น ร้องเสียงดังออกมา “ตูม” เสียงดังสนั่น ทันใดนั้น ลมปราณของซั่งกวานถูได้ปะทุขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตราสัญลักษณ์ปรากฏ มองเห็นสัจธรรมที่น่าเกรงขามสายนั้นที่เสมือนหนึ่งงูหลามศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดครองพื้นที่อยู่ตรงนั้น จังหวะที่แลบลิ้นเข้าออกสามารถกลืนกินพลังของฟ้าดินทุกสารทิศมาเป็นของของตน
“ตูม ตูม ตูม…” ท่ามกลางเสียงที่ดังตูมตามเป็นระลอก พลังลมปราณของซั่งกวานถูเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ร่างกายของเขากลับกลายเป็นสูงใหญ่ยิ่งนัก สูงกว่าศิลาจารึกที่อยู่ตรงหน้าเสียอีก ในขณะนี้ เขาเหมือนเป็นยักษ์ตนหนึ่งที่อาศัยมือทั้งสองเกาะศิลาจารึกเอาไว้แน่น
“ตูม…” ในเวลานี้ จากการที่ซั่งกวานถูออกแรงเพื่อถอนมันขึ้นมา ปรากฎว่าแผ่นศิลาจารึกขนาดยักษ์สั่นไหวทีหนึ่ง
“จะทำสำเร็จแล้วรึ?” ดวงตาของทุกคนถึงกับเบิกกว้างเมื่อเห็นศิลาจารึกสั่นไหวทีหนึ่ง และจ้องมองไปยังซั่งกวานถูที่มีร่างกายสูงใหญ่ยิ่งนัก
ในเวลานี้ ร่างกายของซั่งกวานถูมีขนาดที่ใหญ่มาก ขณะที่สองมือของเขาจับศิลาจารึกเอาไว้เสียแน่น ต่อให้ศิลาจารึกที่สูงทะลุเมฆาเมื่ออยู่ในมือของเขาแล้วก็เสมือนหนึ่งเป็นต้นหญ้าต้นหนึ่งเท่านั้น ในเวลานี้เอง ทุกคนต่างรู้สึกว่าซั่งกวานถูที่มีท่าทีเหมือนดั่งยักษ์ตนหนึ่ง การที่จะถอนเอาศิลาจารึกแผ่นนี้ขึ้นมาคงไม่เป็นปัญหา
“ขึ้น…” ในเวลานี้ซั่งกวานถูได้คำรามเสียงดังขึ้นอีกครั้ง ดวงตราสัญลักษณ์ของเขาได้กลับกลายเป็นเจิดจรัสยิ่งนัก ปะทุอานุภาพจอมเทพขึ้นมา เขาก็คือเทพขนาดยักษ์ที่มีฐานะสูงเด่น มีพลังที่ไร้ขีดจำกัด ถ้าหากพื้นดินมีห่วงสำหรับยึดจับ เขากระทั่งสามารถพลิกเอาพื้นดินขึ้นมาได้
“ตูม ตูม ตูม” จังหวะที่ซั่งกวานถูออกแรงดึงนั้น แผ่นศิลาจารึกขนาดยักษ์ถึงกับสั่นไหวไปหลายที
“ดูท่าซั่งกวานถูจะทำให้สำเร็จจริงๆ แล้ว! เมื่อจอมเทพลงมือ มันไม่ธรรมดาจริงๆ เกรงว่าศิลาจารึกคงต้องตกไปอยู่ในมือของเขาแล้วหละ” ยอดฝีมือที่อยู่ในรุ่นเดียวกันกับกับซั่งกวานถูถึงกับกล่าวด้วยความอิจฉา เมื่อมองเห็นภาพนี้เข้า
“แว้งค์…” ขณะที่ทุกคนต่างคิดว่าซั่งกวานถูต้องสามารถถอนศิลาจารึกขึ้นมาและนำติดตัวไปได้ ทันใดนั้น ตัวอักขระยันต์ที่เป็นสีทองหม่นๆ พลันสว่างขึ้นมาทีหนึ่ง
จังหวะที่ตัวอักขระยันต์สีทองหม่นๆ สว่างขึ้นมา ได้ยินเสียงดัง “จี๊ด จี๊ด จี๊ด” มองเห็นประกายสีทองเป็นสายเหมือนยิงทะลุผ่านอะไรไปโดยพลัน จากนั้นตามมาด้วยเสียง “ตูม” ดังสนั่น ลมปราณทั้งหมดของซั่งกวานถูเหมือนน้ำในเขื่อนที่พังและทะลักออกมา ลมปราณทั้งหมดวิ่งพรวดออกไปอย่างรวดเร็ว
“ตูม ตูม ตูม…” ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ลมปราณในตัวของซั่งกวานถูเหมือนน้ำหลากที่เกิดจากเขื่อนพังวิ่งฮ่อออกมา ท่ามกลางเสียงดังตูมตามนั้น ลมปราณทั้งหมดไม่อยู่ในความควบคุมของซั่งกวานถูอีกต่อไป ทั้งหมดพุ่งไปยังศิลาจารึกจนสิ้น
“ไม่…” สีหน้าของซั่งกวานถูเปลี่ยนไปมากและหวาดผวายิ่งนัก คำรามเสียงยาวออกมา ดวงตราสัญลักษณ์ของเขาได้ทุบลงมาอย่างแรง พริบตาเดียวกันนี้เขาแลกด้วยชีวิตแล้ว หวังจะอาศัยดวงตราสัญลักษณ์ทุบให้ศิลาจารึกแตกออก เพื่อสกัดกั้นเลือดแก่นของตนที่วิ่งกรูกันออกไป
ลองนึกภาพดู การที่ดวงตราสัญลักษณ์ของระดับจอมเทพที่ทุบลงมาอย่างแรง จะมีอานุภาพเพียงใด เหมือนดั่งเป็นดวงดาวขนาดยักษ์สุดเทียบเทียมทุบลงมาอย่างนั้น เหมือนต้องการทุบแหลมฮ่าวว่างทั้งหมดให้แหลกเป็นจุนอย่างนั้น ช่างเป็นภาพที่สะเทือนหวั่นไหวเหลือเกิน ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดตกใจกลัวด้วยความหวาดระแวง
“ปัง…” ดวงตราสัญลักษณ์ได้ทุบลงบนศิลาจารึกอย่างแรงจนเสียงดังสนั่น แต่แล้ว ศิลาจารึกกลับยืนหยัดอยู่ไม่สะทกสะท้าน ไม่ได้สร้างความเสียหายให้แต่อย่างใด ตรงกันข้าม กลับได้ยินเสียงดัง “คร๊ากก” ดวงตราสัญลักษณ์ของซั่งกวานถูปรากฏรอยร้าวเป็นริ้วๆ ขึ้นมา
“ตูม…” เสียงดังสนั่น พริบตาเดียวกันนั้นเอง พลังดูดกลืนที่น่าสยดสยองเหมือนดั่งพายุที่หอบเอาเศษปุยเมฆไปสิ้นด้วยการดูดกลืนเอาลมปราณของซั่งกวานถูไปทั้งหมด
ลองนึกภาพดู ลมปราณของระดับจอมเทพคนหนึ่งจะมีความน่าเกรงขามเพียงใด และมีจำนวนมากมายเช่นใด แต่ว่า เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นลมปราณทั้งหมดก็ถูกดูดกลืนจนหมดสิ้น
“ไม่…” ซั่งกวานถูร้องเสียงน่าเวทนาออกมา เมื่อลมปราณทั้งหมดของเขาถูกดูดกลืนจนสิ้น และเขาต้องกลายเป็นศพแห้งไปในฉับพลัน แม้แต่ตัวเขาที่เป็นถึงระดับจอมเทพก็รับไม่ไหว สูญเสียเลือดแก่นของเขาไปทั้งหมด แม้แต่ชะตาแท้ก็ถูกดูดไปจนแห้ง เสียชีวิตไปท่ามกลางเสียงร้องที่น่าเวทนานั่น กลายเป็นศพที่แห้งกรังศพหนึ่ง
ได้ยินเสียงดัง “ปุ” ศพของซั่งกวานถูร่วงหล่นลงพื้น เหลือไว้เพียงหนังหุ้มกระดูก
ขณะที่อักขระยันต์สีทองหม่นบนศิลาจารึกในขณะนี้ยังคงส่งประกายจางๆ ที่วูบวาบ มันคล้ายเป็นสัตว์ยักษ์ในยุคดึกดำบรรพ์ที่แม้ว่ามันจะได้กลืนกินลมปราณที่มากมายมหาศาลไปแล้ว แต่ยังคงมีท่าทียังไม่หายอยากอย่างนั้น แลบลิ้นเลียเขี้ยวแผล็บๆ
ทุกคนต่างหวาดกลัวจนขนลุกซู่ เมื่อเห็นซั่งกวานถูถึงกับเสียชีวิตลงเช่นนี้ นี่มันระดับจอมเทพเลยนะ บทจะตายก็ตายเลย ออกจะสยองเกินไปแล้วกระมัง
แม้แต่ซั่งกวานถูก็เอาศิลาจารึกนี้ไปไม่ได้ กระทั่งสังเวยชีวิตของตนอีกด้วย ทำให้บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง
แม้แต่จอมเทพก็ทำไม่ได้ พวกเขาก็อย่าได้ไปหวังอีกเลย ในเวลานี้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่บังเกิดความโลภขึ้นมาถึงกับท้อแท้หมดกำลังใจ
“แว้งค์…” ขณะที่ซั่งกวานถูเสียชีวิตไปได้ชั่วครู่ จังหวะที่อักขระยันต์สีทองหม่นๆ บนศิลาจารึกยังคงส่งประกายแวบวับออกมา ทันใดนั้นปรากฏร่างเงาสายหนึ่งที่ก้าวออกมาก้าวหนึ่ง พลันก้าวข้ามมิติกาลเวลาอย่างนั้น มุ่งหน้าศิลาจารึกในทันที
ร่างเงาสายนี้รวดเร็วยิ่งนัก ไม่ด้อยไปกว่าซั่งกวานถูแน่นอน เขาก้าวเพียงก้าวเดียวก็ปรากฎอยู่ด้านหน้าศิลาจารึก พลันปรากฏพลังม่วงที่ยิ่งใหญ่ออกมา
“ฉินไป่หลี่!” มีผู้ที่สามารถจดจำเขาได้ในทันที ถึงกับร้องเสียงดังออกมา เมื่อได้เห็นร่างเงานี้ยืนอยู่ตรงหน้าศิลาจารึก
ผู้ที่ปรากฏตัวออกมาเพียงชั่วพริบตาเดียวนี้ก็คือฉินไป่หลี่นั่นเอง เขาฉวยโอกาสที่ซั่งกวานถูสร้างความวุ่นวายให้กับศิลาจารึกแล้วลงมือทันที
เสียง “จี๊ด…” ดังขึ้น ต่อให้เป็นฉินไป่หลี่ที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ไม่เว้น ยามที่เขายืนอยู่ด้านหน้าศิลาจารึก พลังดูดกลืนที่น่ากลัวพลันทำการดูดพลังลมปราณาของเขาออกมาทันที หวังจะดูดเอาเลือดแก่นของฉินไป่หลี่
“ฟัน…” เพียงพริบตาเดียว ฉินไป่หลี่คำรามเสียงทุ้มต่ำ เสียงของเขาดั่งเป็นประกาศิต มือดั่งดาบสวรรค์ ฟันฉับลงทันที
ภายใต้การลงมือฟันฉับลงมาของฉินไป่หลี่ ได้ฟันหยินหยางจนขาด สะบั้นผลกรรม ทันใดนั้นได้ตัดขาดพลังทุกอย่างของโลกทั้งโลก ภายใต้การฟันลงมานั้น มองเห็นเลือดสดๆ ที่ถูกดึงออกไปเป็นสายเสมือนหนึ่งเป็นด้ายแดงที่ถูกตัดขาดเป็นสองท่อน เลือดสดๆ เป็นสายในส่วนที่เชื่อมโยงอยู่กับตัวของฉินไป่หลี่ถูกเขาดูดคืนกลับไป ขณะที่อีกด้านหนึ่งถูกศิลาจารึกดูดเอาไป
จังหวะที่ศิลาจารึกได้ดูดเอาเลือดสดๆ เป็นสายจากฉินไป่หลี่ไปได้ อักขระยันต์ที่มีสีทองหม่นเหมือนส่งประกายแวบวับออกมาทีหนึ่ง เหมือนกลับกลายเป็นสว่างขึ้นมานิดหนึ่ง
“แว้งค์” จังหวะที่อักขระยันต์สีทองหม่นส่งประกายแวบวับทีหนึ่งนั้น ฉินไป่หลี่ได้ลงมือแล้ว เห็นฝ่ามือของเขาที่ปัดออกไป เสมือนหนึ่งรบกวนวันเวลาทีหนึ่ง ในพริบตาเดียวเป็นการรบกวนต่ออักขระยันต์สีทองหม่นที่อยู่บนศิลาจารึกนั่น
“แกร็ก…” ขณะที่ฉินไป่หลี่ปัดไปยังอักขระยันต์สีทองหม่นที่อยู่บนศิลาจารึกนั้น เหมือนได้ยินเสียงศิลาจารึกหลุดออก คล้ายฉินไป่หลี่ไปทำให้ศิลาจารึกสะเทือนหวั่นไหวขึ้นอย่างนั้น
ในระหว่างเสี้ยววินาทีนี้เอง ฉินไป่หลี่ลงมือได้ว่องไวมาก มือทั้งสองของเขาสำแดงสรรพวิชา คำนวณผลกรรม อักขระยันต์ทั้งหมดที่อยู่บนศิลาจารึกล้วนแล้วแต่ถูกเขาดึงจนขยับภายในระยะเวลาอันสั้น ตามติดมาด้วยเสียงดัง “ตูม…”
เพียงชั่วพริบตาเดียว อักขระยันต์ทุกตัวที่อยู่บนศิลาจารึกได้สว่างไสวขึ้น อักขระยันต์ทุกตัวล้วนแล้วแต่ปรากฎประกายสีทองวูบวาบ เพียงชั่วประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นก็เหมือนมีชีวิตขึ้นมาอย่างนั้น
“ตูม ตูม ตูม” เพียงชั่วพริบตาเดียว อักขระยันต์สีทองหม่นทั้งหมดกลับกลายเป็นวังวนเคลื่อนไหวขึ้นมา อีกทั้งยิ่งหมุนยิ่งเร็วมากขึ้น เหมือนต้องการพุ่งตัวออกมาจากศิลาจารึกนั่น
“ตูม…ตูม…ตูม…” จากการที่อักขระยันต์สีทองหม่นนี้ได้กลายเป็นวังวน ศิลาจารึกถึงกับสั่นคลอนโคลงเคลงไปมา ศิลาจารึกถึงกับค่อยๆ ลอยขึ้นท่ามกลางการสั่นไหวโคลงเคลงนั้น เหมือนว่ามันได้รับแรงลอยตัวที่ทรงพลังมาก ทำให้มันลอยขึ้นมาจากใต้น้ำลึกอย่างนั้น
“จะสำเร็จแล้วรึ?” ทุกคนถึงกับตกใจเมื่อเห็นศิลาจารึกค่อยๆ ลอยตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ เหมือนว่าจะหลุดออกมาจากแท่นบูชาโบราณ