“อ๊ากก…” เสียงร้องที่น่าเวทนาดังขึ้น ในเสี้ยววินาทีนั่นเอง กายเนื้อของจอมเทพชาชื่อถูกทำลายจนกลายเป็นหมอกเลือด เห็นประกายแวบหนึ่งท่ามกลางกลุ่มหมอกเลือดนี้ที่แวบขึ้นมา
จอมเทพย่อมเป็นจอมเทพ ท่ามกลางเสี้ยววินาทีแห่งความเป็นความตาย ชะตาแท้ของเขายังคงหนีไปได้ภายใต้การคุ้มกันของดวงตราสัญลักษณ์ หลบหนีออกไปจากท้องฟ้าที่แตกละเอียดนี้ไปได้
แม้ว่าชะตาแท้ของจอมเทพจะหลบหนีไปได้ แต่ว่า ในชั่วพริบตาเดียวที่เขาหลบหนีไปนั้น ชะตาแท้ของเขาดูสลดและอับแสง แม้ว่าเขาสามารถเอาชีวิตรอดมาได้ก็ตาม แต่ภายใต้การบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่สามารถหายเป็นปรกติได้และกลับคืนสูงจุดสูงสุดได้อีกครั้งในช่วงระยะหลายพันปีกระทั่งหลายหมื่นปีจากนี้ไป
ฉับพลันที่ระฆังขนาดใหญ่ดังขึ้นมา บรรดาผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในดวงดาวที่แตกเสียหาย หรือกองเศษหินบนอากาศ และหรือในอากาศต่างทยอยกันเปล่งประกายขึ้นมา ปรากฎแนวป้องกันเป็นชั้นๆ ขึ้นรอบๆ ตัวของพวกเขา
แต่ทว่า จากคลื่นเสียงที่ปะทะเข้ามานั้น ได้ยินเสียงดังคร๊ากก คร๊ากก คร๊ากกดังขึ้นเป็นระลอก แนวป้องกันของพวกเขาถูกทำลายลงทีละชั้นๆ กระทั่งมีผู้ที่ถูกกระแทกจนกระอักเลือดออกมา ได้รับบาดเจ็บไม่เบาเลยทีเดียว แน่นอน เมื่อเทียบกับจอมเทพชาชื่อที่ถูกทำลายกายเนื้อไปโดยตรงแล้วย่อมดีกว่ากันมากเลยทีเดียว
บรรดาผู้ที่หลบซ่อนตัวอยู่ในนี้ล้วนแล้วแต่เป็นระดับจอมเทพทั้งสิ้น พวกเขาได้หลบซ่อนตัวอยู่บริเวณนี้เป็นเวลานานแล้ว และทำการพินิจพิเคราะห์ระฆังยักษ์นี้มานานมาก ดังนั้น ยามที่ระฆังดังขึ้นพวกเขาจึงมีการเตรียมการป้องกันเอาไว้แล้วแต่แรก แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ยังคงไม่สามารถต้านอานุภาพของระฆังยักษ์นี้เอาไว้ได้ เนื่องจากอานุภาพของมันน่าสยดสยองยิ่งนัก
ธิดาราชันฉีหลินที่ได้เห็นภาพนี้แล้วก็ต้องใจหายใจคว่ำ จอมเทพชาชื่อนับได้ว่าเป็นจอมเทพรุ่นเก๋าที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวงอยู่ในครอบครอง แต่กายเนื้อของเขากลับต้องถูกทำลายไปในชั่วพริบตาเดียวภายใต้เสียงระฆัง ถ้าหากนางยืนอยู่ตรงนั้นล่ะก็ เกรงว่าคงกลายเป็นเถ้าธุลีไปในทันที ไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลบหนี
“ระฆังใบนี้ช่างน่าสยดสยองเกินไปแล้วกระมัง” เมื่อธิดาราชันฉีหลินมองเห็นระฆังลักษณะเช่นนี้แล้วถึงกับรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา ตระกูลราชันฉีหลินของพวกเขาไม่เห็นจะสามารถนำเอาของวิเศษที่อยู่ในระดับชั้นเดียวกันมาตีเสมอมันได้
“นี่เป็นเรื่องปรกติมาก” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “มีระฆังยักษ์นี้อยู่ในมือ ต่อกรกับอาวุธปราบสวรรค์ได้โดยไม่ต้องหวั่นเกรงใดๆ มันคือของวิเศษที่สามารถต้านทานพลังการทำลายล้างได้ชิ้นหนึ่ง”
ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินถึงกับสั่นเทาเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เล่าลือกันว่าอาวุธราชันปราบสวรรค์เป็นอาวุธที่จอมราชันเซียนหวังลงมือสร้างขึ้นมาเพื่อใช้ในศึกเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย อานุภาพของมันไม่อาจจินตนาการได้ อีกทั้งบนโลกนี้ยากจะได้พบเห็นอาวุธราชันปราบสวรรค์ได้ เวลานี้หลี่ชิเย่กลับบอกว่าระฆังยักษ์ใบนี้สามารต่อกรกับอาวุธราชันปราบสวรรค์ได้ มันออกจะน่ากลัวมากเกินไปแล้ว
แม้ว่าทวนหมิงเหรินที่อยู่ในมือของจอมเทพท่าซิงก็เป็นอาวุธราชันปราบสวรรค์เล่มหนึ่งเช่นกัน แต่หากจะพูดให้ถูกต้อง อาวุธราชันปราบสวรรค์เล่มนี้เป็นเพียงต้นแบบหยาบๆ เท่านั้นเอง ครั้งราชันเซียนหมิงเหรินรู้สึกว่าทวนหมิงเหรินที่ตนสร้างขึ้นมานั้นไม่สามารถล้ำไปกว่าชุดตัวอ่อนเซียนแท้จริงที่อยู่ในมือของเขาไปได้ ดังนั้น จึงไม่ได้มีการดำเนินการในขั้นรายละเอียดต่อไป แล้วมอบให้กับจอมเทพท่าซิง
“ระฆังยักษ์น่ากลัวเช่นนี้ ทรงอานุภาพขนาดนี้ เหตุใดจึงไม่มีจอมราชันเซียนหวังระดับสูงมาเอาไปไว้ในครอบครองหละ?”
“แม้ว่าระฆังใบนี้จะทรงอานุภาพยิ่ง แต่ ระดับจอมราชันเซียนหวังทั่วไปไม่คิดว่าจะครอบครองมันได้ ขณะที่จอมราชันเซียนหวังที่มีความสามารถเพียงพอกลับไม่ต้องการได้มันมาครอบครอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “นี่เป็นระฆังแห่งปณิธานที่เกิดจากพิธีบูชายันต์ของพระอริยสงฆ์สูงสุดองค์หนึ่ง ขณะที่พลังทำลายล้างมาถึง พระอริยสงฆ์แต่ละองค์ได้บูชายันต์ด้วยชีวิตของตน บูชายันต์ด้วยร่างกายของตน ทำการหลอมกลั่นพระธรรมของตนเอง สุดท้ายถักทอจนกลายเป็นระฆังยักษ์ใบหนึ่ง พวกเขาหวังอาศัยพลังของตนทั้งหมดมาปกป้อง…”
“…อีกทั้งยังหาใช่เพียงพระอริยสงฆ์องค์นี้เท่านั้นที่ทำการบูชายันต์เท่านั้น ยังมีสาวกชายหญิงนับหมื่นนับพันได้บูชายยันต์ด้วยเลือดเนื้อของตน มอบความเลื่อมใสศรัทธาในพระธรรมของตน จุดประกายพุทธะให้สว่างไสวขึ้น ให้มันช่วยปกป้องคุมครองฟ้าดินแห่งนี้ คาดหวังสามารถต้านทานกับพลังทำลายนี้เอาไว้ได้” เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา แล้วกล่าวต่อไปว่า “เสียดาย ท้ายที่สุดยังคงไม่สามารถต้านทานพลังทำลายได้ ยังคงมลายเป็นเถ้าธุลีไป”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินสั่นเทา พระอริยสงฆ์บูชายันต์ตนเอง ขณะที่สาวกชายหญิงก็บูชายันต์ตนเอง ช่างเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องลุกขึ้นมาแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง เป็นการบูชายันต์ที่ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ถึงความสยดสยองเช่นใดเล่า!
“เจ้ามองดูให้ละเอียด ระฆังใบนี้มีผลกรรม จอมราชันเซียนหวังที่แข็งแกร่งโดยแท้จริงจะไม่ยอมไปแปดเปื้อนผลกรรมเช่นนี้ เนื่องจากมันยึดมั่นในปณิธานของพระอริยสงฆ์ในการปกป้องโลก มันพกพาความเคร้าสลดและเร้าใจของสาวกชายหญิงแต่ละคนมา มันคือผลกรรมยิ่งใหญ่ ณ ช่วงเวลาแห่งการทำลายล้าง ต่อให้จอมราชันเซียนหวังที่แข็งแกร่งคิดจะขจัดผลกรรมเช่นนี้ออกไป ก็ต้องอาศัยเวลาและกำลังกายใจเป็นจำนวนมาก ในเมื่อมีเวลาและกำลังกายใจมากขนาดนี้แล้ว มิสู้เอาเวลาดังกล่าวไปสร้างอาวุธราชันปราบสวรรค์ที่เหมาะสมกับตนเองจะดีกว่า!”
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้พูดชี้แนะทางสว่างให้กับธิดาราชันฉีหลิน
หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินได้ฟังความเช่นนี้จากหลี่ชิเย่แล้ว จึงได้ตื่นรู้ว่า แม้ของวิเศษนั้นจะดี แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะเหมาะสม บางทีอาจมีเพียงระดับจอมเทพเท่านั้นที่มาแย่งชิงระฆังยักษ์ใบนี้ ขณะที่จอมราชันเซียนหวังระดับสูงต่างไม่ต้องการ
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่ชักมือกลับและกล่าวต่อธิดาราชันฉีหลิน
ธิดาราชันฉีหลินรีบละสายตากลับมา ติดตามหลี่ชิเย่ก้าวเดินต่อไปข้างหน้า นางเองก็ไม่กล้ารั้งอยู่นาน ระฆังใบนี้ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ลำพังแค่เสียงระฆังก็สามารถสยบนางได้แล้ว
ธิดาราชันฉีหลินติดตามหลี่ชิเย่เดินทางต่อไปเรื่อยๆ เรียกได้ว่า ธิดาราชันฉีหลินมีโอกาสได้เปิดโลกทัศน์ระหว่างทางยิ่งนัก ทำให้นางได้เห็นความมหัศจรรย์หลายสิ่งหลายอย่าง
ณ ฝอเหย่ ธิดาราชันฉีหลินเคยเห็นพระองค์ใหญ่ตั้งอยู่บริเวณผืนแผ่นดินที่แตกระแหง พระองค์นี้สูงนับหมื่นจ้าง จ้องมองสวรรค์ด้วยความโกรธ ในมือถือคทาสยบมารฟาดใส่สวรรค์ แต่ว่า เขาทำได้เพียงคงอยู่ในท่านี้เท่านั้น เนื่องจากไม่ทราบว่าเป็นพลังจากที่ใดที่เจาะทะลุบริเวณหน้าผากของเขา เป็นรูขนาดใหญ่ให้เห็น
พระองค์ยักษ์รูปนี้ได้สูญเสียจิตวิญญาณพระไปแล้ว ถึงแม้วันเวลาจะผ่านไปนับไม่ถ้วน ผ่านลมผ่านฝนมาเนิ่นนาน แต่กายเนื้อของเขายังคงอยู่ กายเนื้อของเขาเสมือนดั่งหล่อขึ้นมาจากเหล็ก แข็งแกร่งยากจะหาใดเทียม
กระทั่งเคยมียอดฝีมือที่ทดลองทำการเคลื่อยย้ายพระรูปนี้ แต่ ไม่ว่าจะใช้พลังจนสุดกำลังก็ไม่สามารถทำให้เคลื่อนที่ไปได้!
ที่ฝอเหย่แห่งนี้ ธิดาราชันฉีหลินได้มองเห็นวัดพุทธที่มีขนาดใหญ่มากยากจะหาใดเทียม แม้ว่าวัดนี้จะมีหลายส่วนที่พังทลายลงมาแล้ว แต่นับว่ายังอยู่ในสภาพดี ที่ตรงนี้มีพระอริยสงฆ์แต่ละองค์ที่หมอบกราบกับพื้น อีกทั้งรอบข้างยังมีภิกษุ และสาวกนับพันนับหมื่นที่หมอบกราบกับพื้นอยู่
เพียงแต่พวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่เสียชีวิตไปแล้ว กลายเป็นศพแห้งไปสิ้น แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม บนตัวของพวกเขายังคงเปล่งประกายจางๆ ออกมา ซึ่งประกายจางๆ เหล่านี้ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ยิ่ง
มองจากบนท้องฟ้าลงมา จึงจะมองเห็นบรรดาพระอริยสงฆ์ และสาวกชายหญิงจำนวนนับพันนับหมื่นได้รวมตัวประกอบขึ้นเป็นภาพๆ หนึ่ง เป็นภาพที่ดูคล้ายกับการวิงวอนต่อสวรรค์อะไรอย่างนั้น
ธิดาราชันฉีหลินมองแล้วไม่เข้าใจความหมายของภาพนี้
“นี่คือภาพที่จังหวะพลังการทำลายกำลังเข้ามา มีผู้ที่ยึดถือความคิดเมตตา พวกเขาบังเกิดความเมตตากรุณาขึ้นภายในใจ หวังจะวิงวอนให้สวรรค์อภัยให้กับสรรพชีวิตทั่วหล้า ซึ่งเป็นเรื่องของคนที่เพ้อฝันเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “สวรรค์เคยให้อภัยกับผู้ใดมาก่อนเล่า? เมตตาก็ดี ร้ายก็ช่าง มันก็แค่มดปลวดเท่านั้นเอง”
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ฟังคำเช่นนี้แล้วจึงได้เข้าใจ และรู้สึกสั่นเทาขึ้นในใจ ยามที่โลกที่ตนมีชีวิตอยู่กำลังจะถูกทำลาย สิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิตที่คุกเขาหมอบกราบกับพื้นเพื่อร้องขอชีวิต ช่างเป็นการกระทำที่ต้อยต่ำเหลือเกิน แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครปล่อยพวกเขาไป
“ทำไมถึงมีการทำลายล้างเกิดขึ้นเล่า?” หลี่ชิเย่ถึงกับพึมพำออกมา
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและกล่าวว่า “หากไม่มีการทำลาย แล้วจะมีเจ้าที่ยืนอยู่ในเวลานี้รึ? มีศักราชของพวกเราหรือ? คิดจะหนีให้พ้นจากสายน้ำแห่งกาลเวลาใช่จะเป็นเรื่องง่ายดาย ต่อให้เจ้ากลายเป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าถึงสิบสองสายก็ยากที่หนีพ้น”
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วถึงกับนิ่งเงียบ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมา จึงเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ ว่า “พวกเราจะไปไหนกัน?”
“แม่น้ำเหิงเหอ” พูดจบ หลี่ชิเย่หันหลังเดินทางต่อไปทันที
“แม่น้ำเหิงเหอ?” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาจึงรีบเดินทางให้ทัน และกล่าวว่า “พวกเราจะไปที่ท่าข้ามของแม่น้ำเหิงเหอรึ?”
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่ก้าวเดินต่อไปข้างหน้าและกล่าวขึ้นมาช้าๆ
ผู้ที่เคยมาฝอเหย่มาก่อนต่างรู้จักชื่อของแม่น้ำเหิงเหอ กล่าวสำหรับผู้คนบนโลกนี้แล้ว สิ่งที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของท่าข้ามแม่น้ำเหิงเหอไม่ใช่ตัวแม่น้ำเหิงเหอเอง และไม่ใช่ท่าข้ามแม่น้ำเหิงเหอ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือศาลเจ้าทองคำ
ศาลเจ้าทองคำมีชื่อเสียงแค่ไหนรึ? ผู้คนจำนวนมากในชิงโจวอาจไม่เคยได้ยินชื่อของฝอเหย่ ไม่เคยได้ยินแม่น้ำเหิงเหอ ไม่เคยได้ยินชื่อท่าข้ามแม่น้ำเหิงเหอ แต่ต้องเคยได้ยินศาลเจ้าทองคำแน่นอน
มีคำเล่าลือที่ชิงโจวนานมาแล้วว่า ศาลเจ้าทองคำมีของวิเศษกองเต็มไปหมด บนพื้นดินเต็มไปด้วยเหรียญที่หล่อจากทองคำ ศาลเจ้าทุกแห่งล้วนแล้วแต่มีของวิเศษ โลหะเซียน สิ่งของล้ำค่า…กองอยู่เต็มไปหมด
กระทั่งกล่าวได้ว่า ยามที่บุคคลผู้นั้นเดินเข้าไปภายในศาลเจ้าทองคำ แค่ก้มตัวลงไปก็สามารถเก็บเอาเหรียญทองคำขึ้นมาได้มากมาย ถ้าหากสามารถเข้าไปยังห้องที่อยู่ภายในศาลเจ้า จะสามารถได้ของวิเศษ และอาวุธปราศจากผู้ต่อกรแต่ละชิ้นมาได้
แรกทีเดียวธิดาราชันฉีหลินเข้าใจว่าเป็นตำนานเท่านั้นเอง เมื่อนางได้มองเห็นกับตาด้วยตนเอง พลันอ้าปากตาเบิกกว้าง ไม่สามารถเรียกสติกลับมาในเวลานี้
ศาลเจ้าทองคำสร้างขึ้นและตั้งอยู่บริเวณท่าข้ามแม่น้ำเหิงเหอนั่นเอง ดังนั้น พลันที่มาถึงท่าข้ามแม่น้ำเหิงเหอก็จะสามารถมองเห็นศาลเจ้าทองคำได้ทันที
ความจริงแล้ว ยังไม่ทันก้าวเดินไปถึงศาลเจ้าทองคำก็สามารถมองเห็นประกายที่พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าแต่ไกลแล้ว เป็นประกายที่ประกอบด้วยหลากสีสัน ล้วนแล้วแต่เป็นประกายที่เปล่งออกมาจากของวิเศษแต่ละชิ้นนั่นเอง
ศาลเจ้าทองคำไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่โตมากมายนัก เป็นเพียงศาลเจ้าหลายหลังที่ตั้งขึ้นในรูปครึ่งวงกลมเท่านั้นเอง แต่ว่าตัวสิ่งปลูกสร้างของศาลเจ้าเหล่านี้ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นมาด้วยโลหะเซียนชนิดใดกันแน่ กี่ปีผ่านไปแล้ว มันยังคงเปล่งประกายเซียนจางๆ ออกมา ลำพังแค่ศาลเจ้าหลายหลังนี้ก็นับเป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมมากแล้ว
ศาลเจ้าทุกหลังล้วนแล้วแต่มีห้องสำหรับฝึกหรือบำเพ็ญธรรม หน้าต่างแต่ละห้องล้วนแล้วแต่เปิดออก มองเห็นภายในห้องกองเต็มไปด้วยของล้ำค่าและอาวุธศักดิ์สิทธิ์
เนื่องจากของวิเศษเหล่านี้มีจำนวนมากมายเหลือเกิน ห้องแต่ละห้องล้วนแล้วแต่จุได้ไม่หมด ทำให้บางส่วนล้นทะลักออกมาอยู่ด้านนอก
สำหรับบริเวณลานกว้างของศาลเจ้าเหล่านี้ยิ่งไม่ต้องพูดถึง บนพื้นดินเกลื่อนกลาดไปด้วยเหรียญทองคำเป็นจำนวนมาก มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง กระทั่งกองจนกลายเป็นภูเขาย่อมๆ ขึ้นมา ทำให้ไม่มีที่ว่างกระทั่งจะเดินเหยียบเข้าไป
อีกทั้งเหรียญทองคำเหล่านี้หาใช่หล่อขึ้นมาจากทองคำอะไรนั่น แต่เป็นการหล่อขึ้นมาจากทองคำศักดิ์สิทธิ์ที่หาได้ยากยิ่ง บางทีเหรียญทองคำเหล่านี้ก็คล้ายดั่งเป็นศิลาขมุกขมัวของยุคสมัยนี้ที่ใช้แทนเป็นเงินตราได้
ศาลเจ้าทองคำที่อยู่ตรงหน้าคือขุมทรัพย์แห่งหนึ่งดีๆ นี่เอง เต็มไปด้วยของวิเศษทุกหนทุกแห่ง
ดังนั้น เมื่อธิดาราชันฉีหลินมองเห็นศาลเจ้าทองคำนั้น จึงอ้าปากตาค้าง ในอดีตนางได้ยินตำนานเกี่ยวกับศาลเจ้าทองคำตอนนั้น นางยังเข้าใจว่าเป็นการคุยโตโอ้อวดของผู้คนเท่านั้น แต่ว่า เมื่อนางได้มาเห็นศาลเจ้าทองคำที่แท้จริงแล้ว นางจึงเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ได้เป็นการพูดเกินความจริง