ภายในเมืองตี้ฮว่าเรียกได้ว่าคึกคักยิ่งนัก ผู้คนเดินเบียดเสียดยัดเยียดผ่านไปผ่านมา อีกทั้งยังมีพ่อค้าจำนวนไม่น้อยที่ตั้งแผงชั่วคราวขึ้น ร้องตะโกนขายสินค้าจิปาถะกันไป
“พระบรมสารีริกธาตุขุดพบที่ฝอเหย่ที่ไม่เหมือนใคร ปกป้องกายาขับไล่มาร ขายกันถูกๆ” มีพ่อค่าที่ตะโกนออกมาด้วยเสียงโทนต่ำ
แม้จะกล่าวว่า ในเมืองตี้ฮว่ามีแผงค้าชั่วคราวที่ตั้งขึ้นโดยพ่อค้าจำนวนไม่น้อย แต่ล้วนแล้วแต่ไม่กล้าส่งเสียงร้องตะโกนออกมาดังๆ ต่อให้มีการตะโกนก็ต้องกดโทนเสียงให้มันต่ำที่สุด พวกเขาเกรงว่าจะไปรบกวนต่อการปฏิบัติธรรมของบรรดาจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ภายในเมืองตี้ฮว่า เมื่อใดที่จอมราชันเซียนหวังโกรธขึ้นมาล่ะก็ ต่อให้พวกเขามีจำนวนคนมากกว่านี้ก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไปในทันที
ด้านหน้าเมืองตี้ฮว่าแห่งนี้ มีบางคนแค่อาศัยเป็นทางผ่าน บางคนต้องการไปยังฝอเหย่ และมีบางคนเป็นการมาเพื่อการท่องเที่ยวล้วนๆ การมาท่องเมืองตี้ฮว่าของพวกเขาในครั้งนี้ หลังจากกลับไปแล้วก็สามารถนำมาใช้เป็นหัวข้อสนทนาได้ และไม่เสียที่ที่ได้มาแดนแห่งการสืบค้นสักครั้ง
บริเวณนอกเมืองตี้ฮว่าที่อยู่ห่างจากเมืองตี้ฮว่าค่อนข้างไกลสักหน่อยก็จะเห็นสิ่งปลูกสร้างอยู่บ้าง มีตึกหอและวิหารโบราณบ้าง ทั้งหลายเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นโดยเหล่ายอดฝีมือที่แท้จริง
เคยมียอดฝีมือกระทั่งระดับจอมเทพ พวกเขาคิดจะลอกเลียนแบบจอมราชันเซียนหวัง หวังจะสร้างเป็นบ้านของตนเองขึ้นที่นี่ แต่ว่าล้วนแล้วแต่ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากผืนแผ่นดินที่นี่ใช่ว่าจะหลอมกลั่นได้ง่ายดายนัก เฉกเช่นเมืองตี้ฮว่าที่ถูกสร้างขึ้นโดยอาศัยจอมราชันเซียนหวังแต่ละองค์ของชิงโจวที่ได้ร่วมแรงร่วมใจกันหลอมกลั่นและสร้างมันขึ้นมา ส่วนยอดฝีมืออื่นๆ ต่อให้เป็นจอมเทพ พวกเขาจะมีกำลังความสามารถเช่นนี้ได้อย่างไร ต่อให้มีจอมเทพสามถึงห้าคนร่วมมือกัน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างขึ้นมาได้เฉกเช่นเมืองตี้ฮว่าอย่างนั้น
ดังนั้น ท้ายที่สุดแล้ว สิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังเหล่านี้ก็ถูกทิ้งร้างเอาไว้ กลายเป็นที่ที่บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ผ่านมาแถวนี้ได้อาศัยเป็นที่พักชั่วคราว
“ตึง ตึง ตึง” ในเวลานี้เอง หน้าประตูของเมืองตี้ฮว่ามีผู้ที่โขกศีรษะอยู่จนบังเกิดเป็นเสียงดังตึงตึงขึ้นมา เห็นผู้เฒ่าผู้หนึ่งที่คุกเข่าโขกศีรษะด้วยความเคารพอยู่ตรงนั้น
ผู้เฒ่าผู้นี้สวมชุดมังกร ท่าทีหนักแน่น และมีความเคารพยิ่ง โขกศีรษะไปพลางกล่าวไปพลาง “ขอให้ท่านบรรพบุรุษมีบัญชา เพื่อพัฒนาสำนักให้เรืองอำนาจขึ้น”
ผู้เฒ่าโขกศีรษะครั้งแล้วครั้งเล่า โขกศีรษะไปพลางร้องกล่าวด้วยความเคารพยังด้านในของเมืองตี้ฮว่า
“นี่เขาทำอะไรกัน?” ผู้บำเพ็ญตนที่เพิ่งจะมาที่เมืองตี้ฮว่าเป็นครั้งแรก คิดไม่ตกว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้
“หัวหน้าเผ่าของเผ่าเย่” ผู้เฒ่าผู้หนึ่งถึงกับทอดถอนใจออกมา อดที่จะพูดด้วยเสียงสะอื้นไม่ได้ว่า “เขามาที่นี่เพื่อขอให้บรรพบุรุษที่เป็นเซียนหวังของพวกเขามีบัญชาลงมา หลายปีมานี้เผ่าเย่ได้เสื่อมลง ถูกบีบคั้นจากหลายๆ เผ่าที่อยู่ข้างเคียง ถูกพวกเขายึดเอาดินแดนไปไม่น้อย แม้ว่าไม่มีใครกล้าทำลายเผ่าของพวกเขาอันเนื่องมาจากเซียนหวังของพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ แต่ก็ต้องถูกผู้อื่นรังแกเรื่อยไป ดังนั้น หัวหน้าเผ่าเย่จึงหวังให้บรรพบุรุษมีบัญชา หวังจะพัฒนาสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับเผ่าเย่อีกครั้ง
“หัวหน้าเผ่าเย่ได้คุกเขาโขกศีรษะอยู่ที่นี่เป็นเวลาสามเดือนมาแล้ว แต่ บรรพบุรุษที่มาเข้าเวรอยู่ ณ ที่ตรงนี้ของพวกเขายังคงไม่ยอมพบกับเขา” พ่อค้าที่อยู่ข้างๆ ได้เอ่ยขึ้น
ธิดาราชันฉีหลินที่เดินทางผ่านเมืองตี้ฮว่ามองเห็นภาพนี้แล้วถึงกับรู้สึกปลงอนิจจัง ความจริงแล้วเรื่องเช่นนี้ที่เกิดขึ้นไม่เคยลดน้อยลงเลย สำนักจำนวนเท่าไรหลังจากเสื่อมลงแล้ว ท้ายสุดล้วนแล้วแต่อยากจะเชิญบรรพบุรุษของตนออกมาเพื่อพัฒนาสำนักให้เจริญรุ่งเรือง
“จอมราชันเซียนหวังก็ไม่ง่ายเลยนะ” ธิดาราชันฉีหลิน ถึงกับพึมพำออกมาว่า “เคยมีจอมราชันเซียนหวังที่ยอมเสี่ยงอันตรายจากการถูกสวรรค์ลงทัณฑ์แล้วปรากฎตัวออกมา เพียงเพราะต้องการพลิกสถานการณ์ให้กับลูกหลาน”
“ลูกหลานส่วนใหญ่อกตัญญู” หลี่ชิเย่พูดเรียบเฉยว่า “แน่นอน กล่าวสำหรับจอมราชันเซียนหวังแล้ว การตัดขาดสายเลือดระหว่างตนกับลูกหลานนั้นก็ใช่จะเป็นเรื่องง่ายดาย”
เรื่องทำนองเช่นนี้เขาพบเห็นมามาก บางครั้ง การที่จอมราชันเซียนหวังจะต้องมาเผชิญกับลูกหลานอกตัญญูก็จนด้วยเกล้าเช่นกัน ดังนั้น จอมราชันเซียนหวังบางองค์จึงถือโอกาสวางมือไม่สนใจอีกต่อไป ปล่อยให้สำนักและเผ่าพันธุ์ของตนเป็นไปตามมีตามเกิดไปเอง
“กลับไปเถอะ มาจากไหนก็กลับไปที่นั่น” ในขณะที่หัวหน้าเผ่าเย่กำลังโขกศีรษะของตนครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่นั้น ในที่สุด ภายในเมืองตี้ฮว่าได้มีเสียงหนึ่งดังขึ้น เจ้าของเสียงนี้เปี่ยมด้วยขพลังอำนาจยิ่งนัก และมีพลังที่สูงสุดทำให้ผู้คนไม่สามารถขัดขืนแม้แต่น้อย ภายใต้เสียงที่มีอำนาจสูงสุดเช่นนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าทำกำเริบเสิบสาน
เมื่อน้ำเสียงที่มีอำนาจสูงสุดลักษณะเช่นนี้ดังขึ้น ด้านนอกเมืองตี้ฮว่าที่แออัดเบียดเสียดกันพลันเงียบสงบขึ้นมาทันที ทุกคนต่างวางมือในสิ่งที่ตนกำลังทำอยู่ พ่อค้าที่ตะโกนโหวกแหวกก็ไม่กล้าส่งเสียง ทุกคนจ้องมองไปที่เมืองตี้ฮว่า
ไม่มีใครสามารถมองเห็นสภาพภายในของเมืองตี้ฮว่าได้ แต่ขณะที่เสียงของเซียนหวังผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้ภายในใจของผู้คนจำนวนมากต้องสั่นเทา
แม้ว่าเซียนหวังผู้นี้ไม่ได้มีการสำแดงพลังสยบแม้แต่น้อย แต่ยังคงทำให้ผู้คนเต็มไปด้วยความเคารพยำเกรง
ผู้เฒ่าที่เดิมกำลังโขกศีรษะอยู่พลันตัวแข็งทื่อ มีสีหน้าที่ซีดเผือด พริบตาเดียวกันนี้นัยน์ตาทั้งสองของเขาเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ถึงกับตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
กล่าวสำหรับเขาแล้วสิ่งนี้ส่งผลกระทบกระเทือนใหญ่หลวงต่อเขาเป็นอันมาก เผ่าเย่ทั้งเผ่าล้วนแล้วแต่ฝากความหวังทั้งหมดอยู่ที่ตัวของบรรพบุรุษ เวลานี้ บรรพบุรุษไม่ยอมยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลกอีกแล้ว ปล่อยให้เผ่าเย่ของพวกเขาเป็นไปตามยถากรรม!
หลังจากเวลาผ่านไปนานมาก ผู้เฒ่าที่มีท่าทางเซื่องซึมเมื่อได้สติกลับมา ได้แต่เดินจากไปอย่างเงียบๆ โดยไม่กล้าขัดคำสั่งของเซียนหวัง
หลายคนรู้สึกสะอื้นอยู่ในใจเมื่อได้เห็นภาพนี้ แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากล้วนแล้วแต่เคยเสื่อมลง และมีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เคยฝากความหวังเอาไว้กับบรรพบุรุษของตนเองเล่า ยามที่ต้องเผชิญกับบรรพบุรุษของตนที่วางมือไม่ยุ่งเกี่ยวด้วยอย่างสิ้นเชิงนั้น กล่าวสำหรับสำนักใดสำนักหนึ่งแล้ว มันส่งผลกระทบที่รุนแรงมากเหลือเกิน
“เผ่าเย่ยากจะเจริญรุ่งเรืองนะเนี่ย” ผู้ที่มองเห็นเงาหลังที่อ้างว้างของหัวหน้าเผ่าเย่ที่ไกลออกไป อดที่จะพูดปลงอนิจจังออกมา
ย่อมปราศจากข้อกังขา เซียนหวังของเผ่าเย่ไม่ยินดียินร้ายต่อความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยของเผ่าเย่อีกต่อไปแล้ว เป็นการบ่งชี้ว่าในอนาคตเผ่าเย่จะไม่ได้มีเซียนหวังคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอีกต่อไป การที่เผ่าเย่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้ง เป็นเรื่องที่ยากลำบากยิ่งนัก
แน่นอน หากใครที่คิดจะทำลายล้างเผ่าเย่ยังคงต้องประเมินตนเองเอาไว้บ้าง แม้จะกล่าวว่าเซียนหวังของเผ่าเย่ไม่ได้ให้ความสนใจต่อความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยของเผ่าเย่ก็ตาม แต่ไม่ได้เป็นการบ่งชี้ว่าสามารถทำลายล้างเผ่าเย่ได้ ต่อให้เซียนหวังของเผ่าเย่ไม่ได้ให้ความสนใจต่อความเจริญรุ่งเรืองหรือเสื่อมถอยของเผ่าเย่ก็จริง แต่หากมีผู้คิดจะทำลายล้างเผ่าเย่มันก็ไม่แน่เหมือนกัน
“ครืด ครืด ครืด” ในเวลานี้เอง รถม้าคันหนึ่งได้วิ่งมาช้าๆ ตัวรถม้าดูเรียบง่ายยิ่งนัก มีผู้เฒ่าสามถึงห้าคนที่เดินเคียงมาซ้ายขวา
ผู้เฒ่าทั้งหมดราวสามถึงห้าคนล้วนแล้วแต่สวมใส่ชุดสีเทาทั้งชุด พวกเขาล้วนแล้วแต่สวมหมวกเอาไว้และดึงปีกของหมวกลงต่ำมาก ปิดบังหน้าตาของพวกเขาเอาไว้ ผู้เฒ่าทั้งหมดต่างเก็บงำลมปราณเอาไว้ ทำตัวไม่ให้เป็นที่โดดเด่น ดูไม่ออกถึงตื้นลึกหนาบางของพวกเขา
เวลานี้ รถม้าคันนั้นได้ไปจอดอยู่หน้าประตูของเมืองตี้ฮว่า แรกทีเดียวผู้คนไม่ทันได้สังเกตกับรถม้าที่เรียบง่ายซึ่งแล่นมาจอดอยู่ด้านหน้าประตูเมืองตี้ฮว่าคันนี้
ต่อเมื่อมีหนึ่งชายหนึ่งหญิงก้าวลงมาจากรถม้านั่น จึงได้ดึงดูดสายตาผู้คนทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทันที
ยามเมื่อปรากฏหนึ่งชายหนึ่งหญิงก้าวลงมาจากรถม้า ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วทั้งบริเวณ ผู้หญิงนั้นมีความล้ำเลิศหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร เสมือนหนึ่งเป็นนางหงส์แห่งยุค นางเป็นเหมือนดั่งหงส์ที่บินลงมาจากสวรรค์ พกพาความสูงส่งและความเฉลียวฉลาดมาด้วย ด้วยรูปโฉมของนางไม่ว่าจะก้าวเดินไปยังที่ใดก็เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน ทำให้ผู้พบเห็นต้องชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง
ผู้ชายสวมชุดสีเหลืองทั้งชุด ไม่ได้มีสิ่งประดับอะไรมากมายนัก กระทั่งเรียกได้ว่าเป็นชุดที่มีการตัดเย็บอย่างเรียบง่ายและไม่โดดเด่นเป็นพิเศษ แต่กลับเป็นชุดสีเหลืองที่เรียบง่ายซึ่งตัดเย็บได้อย่างลงตัวยิ่งนัก เสมือนหนึ่งเป็นชุดที่ถูกตัดเย็บขึ้นโดยช่างที่มีฝีมือประณีตเหนือธรรมชาติเพื่อตัวเขาโดยเฉพาะ
ชุดสีเหลืองที่เรียบง่ายกลับสามารถแสดงถึงรูปร่างที่แข็งแรงปราดเปรียวของเขาออกมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แม้ว่าเขาไม่ได้มีกล้ามเนื้อที่นูนขึ้นมา ไม่ได้มีรูปร่างที่สูงใหญ่กำยำ แต่ว่า ยามที่เขายืนตัวตรงนั้นคล้ายดั่งเป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกหนึ่ง ตั้งตรงสูงตระหง่าน ภายใต้ชุดสีเหลืองเหมือนได้ซ่อนพลังที่ไร้ขอบเขตเอาไว้ เหมือนว่าเขาก็คือมังกรแท้จริงที่อยู่บนท้องฟ้า
หน้าตาของผู้ชายไม่นับว่ารูปงามล้ำเลิศ และไม่ถึงขั้นสง่างามไม่มีใครเหมือน แต่ใบหน้าที่เย็นชาของเขามีเสน่ห์ที่น่าเคลิบเคลิ้มหลงไหลอย่างบอกไม่ถูก ให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งประดุจเหล็กและหิน หากเคาะเบาๆ จะได้ยินเสียงใสกังวานดังออกมา
เมื่อผู้ชายคนนี้ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น เปรียบเสมือนเป็นอาวุธที่ชื่อเก๋อเล่มหนึ่ง แม้ว่าเขาได้เก็บงำพลังลมปราณและสลายพลังอำนาจของเขาลง แต่ยังคงให้ความรู้สึกของพลังที่ปราบไปทุกทิศ และกวาดสิ้นทั่วทุกแดนอย่างนั้น
“จินเก๋อ และองค์หญิงเทียนหวง!” ผู้คนที่ได้เห็นชายหญิงคู่นี้แล้วถึงกับรู้สึกใจหายใจคว่ำ
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่หรือรุ่นอาวุโสก็ตาม เมื่อได้ยินชื่อ “จินเก๋อ” แล้วต่างก็มีใบหน้าที่แสดงออกถึงความประทับใจผู้ที่คู่ควรจะให้กล่าวขวัญถึงในชิงโจวก็คือจินเก๋อแล้วหละ
ผู้ที่มีโอกาสได้เป็นจอมราชันในยุคนี้ เคยเป็นสุดยอดดาวรุ่งผู้มีโอกาสได้ครอบครองชะตาฟ้าสิบสองสายมากที่สุด เสียดาย ถูกลอบโจมตีจนพลาดโอกาสได้สืบทอดชะตาฟ้าในครั้งแรกไป สำหรับสิ่งที่จินเก๋อประสบนั้น เป็นที่รู้สึกเสียดายของผู้ยิ่งใหญ่เผ่าสวรรค์จำนวนไม่น้อย ถ้าหากจินเก๋อได้ครอบครองชะตาฟ้าสิบสองสายล่ะก็ เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมมากเลย
“การมายังเมืองตี้ฮว่าของจินเก๋อเพราะต้องการคารวะต่อบรรพบุรุษของพวกเขารึ?” การปรากฎตัวขึ้นที่เมืองตี้ฮว่าของจินเก๋อ ทำให้ในใจของผู้คนจำนวนมากต้องสั่นเทา โดยเฉพาะบุคคลรุ่นอาวุโสรู้แล้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“หลี่ชิเย่ก็อยู่ที่นี่” ในเวลานี้ได้มีผู้บำเพ็ญตนที่ตาแหลมจดจำหลี่ชิเย่ และธิดาราชันฉีหลินจากเรือนิรันดรได้ ถึงกับร้องออกมา
ในเวลานี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยมองดูธิดาราชันฉีหลินที่เดินมาด้วยกันกับหลี่ชิเย่ แล้วก็มองดูจินเก๋อกับองค์หญิงเทียนหวงที่อยู่หน้าเมืองตี้ฮว่า
ธิดาราชันฉีหลินอดที่จะมองดูหลี่ชิเย่ที่อยู่ข้างกาย แล้วก็มองดูจินเก๋อและองค์หญิงเทียนหวงที่อยู่ห่างไกลออกไปตรงหน้า นางถึงกับยิ้มเจื่อนๆ คราวนี้สงสัยได้เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว
ในเวลานี้ ผู้คนที่อยู่ด้านหน้าเมืองตี้ฮว่าต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ทันที และจ้องมองดูภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ทุกคนต่างเคยได้ยินเรื่องของคนโหดอันดับหนึ่งหลี่ชิเย่มาแล้ว โดยเฉพาะเรื่องที่คนโหดอันดับหนึ่งสังหารองค์รัชทายาทเทียนหวง และกษัตริย์เทียนหวงมีการแพร่สะพัดเดือดพล่านในชิงโจวมานานแล้ว
ทุกคนต่างก็รู้ว่า รัชทายาทเทียนหวงคือน้องภรรยาของจินเก๋อ ขณะที่กษัตริย์เทียนหวงคือพ่อตาของจินเก๋อ เวลานี้ หลี่ชิเย่ได้จัดการสังหารพวกเขาทั้งสองคน ทุกคนจึงเห็นว่า เรื่องนี้ไม่ว่าจะเป็นองค์หญิงเทียนหวง หรือจินเก๋อก็ไม่สามารถกล้ำกลืนความอัปยศนี้เอาไว้ได้
เวลานี้ทั้งจินเก๋อและคนโหดอันดับหนึ่งได้โคจรมาพบกันที่เมืองตี้ฮว่า ทุกคนถึงกับต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ ทุกคนต่างเข้าใจว่าจะต้องได้ดูหนังสนุกๆ เป็นแน่แท้
“โลกมันกลมนะเนี่ย” ผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับพึมพำออกมาว่า “เกรงว่าศัตรูมาเจอะเจอกัน ย่อมมีอารมณ์โกรธมากเป็นพิเศษ”
เวลานี้ ทั้งจินเก๋อและองค์หญิงเทียนหวงก็ได้ยินผู้คนเรียกชื่อของ “หลี่ชิเย่” แล้วเช่นกัน ดังนั้น ในพริบตาเดียวกันนี้เอง ไม่ว่าจะเป็นจินเก๋อหรือว่าองค์หญิงเทียนหวงต่างมีสายตาที่ตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่ และล็อคเป้าหมายเอาไว้
ในเวลานี้ ทั่วทั้งบริเวณเงียบสงบยิ่งนัก ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านหน้าเมืองตี้ฮว่าทั้งหมดต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ มองดูภาพนี้อย่างเงียบๆ นาทีนี้ แม้แต่เข็มเงินสักเล่มร่วงลงพื้นก็สามารถได้ยินได้