ทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อต่างก็เป็นผู้ที่มีจิตทระนงองอาจของความเป็นกษัตริย์ มีความมั่นใจในฐานะผู้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด พวกเขาไม่ใช่ประเภทที่ชอบแยกเขี้ยวกางเล็บ และไม่ใช่ประเภทที่ชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้คน แต่คำพูดแต่ละคำที่พวกเขาพูดออกมาล้วนแล้วแต่เปี่ยมด้วยพลัง และทำตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คนต้องเลื่อมใสศรัทธา
ไม่ว่าจะเป็นด้านของจิตใจที่กว้างขวาง หรือราศี ทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อล้วนแล้วแต่ยากจะหาข้อตำหนิได้ ทำให้ผู้คนต้องทอดถอนใจออกมา
“บุรุษเยี่ยงนี้ คิดจะไม่ลือลั่นไปทั่วหล้าก็คงยาก” ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนของเผ่าใดๆ ก็ตาม ต่างก็ต้องพูดออกมาว่า “ในฐานะที่เป็นอัจฉริยะบุคคล สมควรเป็นเยี่ยงนี้!”
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น และกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเจ้ามีอารมณ์ เอาเถอะ ข้าเล่นเป็นเพื่อสักหน่อยก็แล้วกัน ดูว่าพวกเจ้าจะเล่นไปได้สักกี่เกม” กล่าวพลางก้าวเท้าเข้าไปยังศาลเจ้าทองคำ
ธิดาราชันฉีหลินไม่ได้ติดตามเข้าไปด้วย เกมพนันลักษณะเช่นนี้นางไม่ต้องการเข้าไปพัวพันด้วย เพราะหลี่ชิเย่อยู่ในฐานะเจ้าบ้าน
หลี่ชิเย่เดินเข้าไปยังศาลเจ้าทองคำโดยไม่ได้ใส่ใจอะไร นั่งลงด้วยท่าทีที่ไม่เกรงใจใคร สำหรับท่าทีต่อบรรดาสมบัติวิเศษที่กองพเนินดั่งภูเขาภายในศาลเจ้าทองคำนั้น เหมือนมองไม่เห็น และมองเหมือนเป็นของไร้ค่า ไม่สามารถสั่นคลอนจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของเขาได้แม้แต่น้อย
“พี่หลี่จะพนันแบบไหน?” หลังจากที่หลี่ชิเย่นั่งลงเรียบร้อยแล้ว ฉินไป่หลี่ได้พูดขึ้นมาช้าๆ
หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าอย่างไรก็ได้ พวกเจ้าคิดจะพนันแบบไหนก็ตามข้าน้อมรับเต็มที่ พวกเจ้ามีแนวความคิดอย่างไรพูดออกมาได้เลย”
“วันนี้พวกเราจะทำการพิสูจน์ด้านจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ไม่อาศัยกำลัง ใครสามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรได้ ทนต่อสิ่งเย้ายวนใจได้ คนนั้นเป็นฝ่ายชนะ สหายหลี่คิดเห็นประการใด?” จินเก๋อพูดขึ้นมา
“ก็ดี ในเมื่อพวกเจ้ามีอารมณ์สุนทรีเช่นนี้ ข้าก็ไม่ทำให้ต้องผิดหวัง” หลี่ชิเย่มองดูจินเก๋อและฉินไป่หลี่ แล้วยิ้มกล่าวว่า “เมื่อถึงเวลาที่พวกเจ้าคิดว่าไม่สามารถยืนหยัดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้ สามารถถอนตัวออกไปได้ทันที วันนี้ข้าไม่ต้องการชีวิตของพวกเจ้า! ให้โอกาสพวกเจ้าสักครั้ง!”
เกมแข่งขันยังไม่ทันเริ่มต้น หลี่ชิเย่ก็มีคำพูดที่พาลเช่นนี้ออกมา ทำให้ผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้าทองคำต้องมองหน้ากันและกัน ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนไม่น้อยที่เลื่อมใสศรัทธาในตัวจินเก๋อและฉินไป่หลีพลันรู้สึกไม่พอใจกับคำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ขึ้นมาทันที
“ฮึ เกมพนันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นก็กล้าพูดจาอวดดีแล้ว ใครจะเป็นผู้แพ้ชนะยังไม่รู้เลย” ยอดฝีมือเผ่าสวรรค์รู้สึกไม่พอใจ ส่งเสียงเย็นชาออกมา
ตรงกันข้าม พวกจินเก๋อและฉินไป่หลี่ทั้งสองคนกลับไม่แสดงอาการโกรธ พวกเขาต้องจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ฉินไป่หลี่ยิ้มกล่าวว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอขอบคุณล่วงหน้าต่อพี่หลี่ที่ละเว้นชีวิตให้ หากข้าพ่ายแพ้ย่อมไม่มีอะไรจะพูด ได้แต่โทษจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรตนของข้าไม่แข็งแกร่งพอ”
“หากพ่ายแพ้ ข้าจินเก๋อก็ยอมแพ้ทั้งกายและใจ สรรพเคล็ดวิชาทั่วฟ้าดินบางทีอาจปราศจากผู้ต่อกร บางทีอาจลึกล้ำพิสดารยากหาผู้ใดเทียม แต่ทว่า มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร เท่านั้นที่รู้จริงที่สุด มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเท่านั้นที่สามารถมองเห็นที่สุดของสรรพเคล็ดวิชา” จินเก๋อยังกล่าวอีกว่า “สัจธรรมสามารถอาศัยเล่ห์เหลี่ยมได้ ความลึกซึ้งพิสดารสามารถอธิบายได้ มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจะต้องอาศัยฝึกฝนก้าวไปทีละก้าวๆ ! ถ้าหากพ่ายแพ้ด้านจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรให้กับสหายหลี่ ย่อมหมายความว่าสหายหลี่อยู่เหนือข้า!”
“ถูกต้อง ที่เจ้าขาดไปก็คือชะตาฟ้าเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ที่มองดูจินเก๋อและยิ้มกล่าวว่า “ในโลกนี้หากไม่มีใครลอบโจมตีเจ้า เจ้าก็ต้องได้เป็นจอมราชัน”
“หวังว่าจะเป็นไปตามที่สหายหลี่พูดมา ข้าพยายามต่อสู้เพื่อสิ่งนี้อยู่” จินเก๋อไม่ได้แสดงออกถึงความดีใจและหรือความโกรธ เปิดเผยตรงไปตรงมาและมีท่าทีอหังการ และไม่มีการถ่อมตน
ภาพลักษณะเช่นนี้อยู่เหนือความคาดคิดของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ไม่มีใครคาดคิดว่าภาพที่ออกมาจะเป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างเข้าใจว่าจินเก๋อจะต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่งกับหลี่ชิเย่แน่นอน
เอากับเขาสิ เวลานี้หลี่ชิเย่กับจินเก๋อกลับคุยกันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าทั้งสองจะเป็นศัตรูกัน แต่กลับไม่ได้มีกลิ่นอายของความรุนแรงเลยแม้แต่น้อย เหมือนว่าพวกเขาต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน!
“โลกของดาวรุ่งพวกเราไม่เข้าใจ” สุดท้าย มียอดฝีมือกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “หากเปลี่ยนเป็นข้าล่ะก็ คงลุยเข้าไปแลกชีวิตกับคนโหดอันดับหนึ่งนานแล้ว เพราะคนโหดอันดับหนึ่งไม่เพียงรังแกถึงบนศีรษะยังเป็นการดูถูกเผ่าสวรรค์ของพวกเรา”
“ทุกคนต่างเลือกของวิเศษมาสักชิ้นดีมั้ย?” ฉินไป่หลี่พูดขึ้นมาช้าๆ ว่า “ของวิเศษของใครดีที่สุด เป็นฝ่ายชนะ”
“ข้าไม่มีปัญหา” จินเก๋อกล่าวว่า “เฉกเช่นที่สหายหลี่ได้พูดเอาไว้ หากได้เห็นของวิเศษแล้ว ใครไม่สามารถยืนหยัดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนเอาไว้ได้ ก็ให้ไปจากในทันที ขอแค่ผลแพ้ชนะ ไม่ต้องการชีวิต!”
หลี่ชิเย่มองดูฉินไป่หลี่และจินเก๋อแล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “ถ้าหากพวกเจ้าไม่รังเกียจล่ะก็ ข้ากลับสามารถเลือกของวิเศษแทนพวกเจ้าสักชิ้น แน่นอนที่สุด พวกเจ้าเลือกเอาเองก็ได้”
“ทำไมจะไม่ได้!” หลังจากจินเก๋อจ้องมองหลี่ชิเย่อยู่ครู่หนึ่ง ได้กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ภายในศาลเจ้าทองคำ สิ่งเดียวที่เห็นได้ก็คือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร! พี่หลี่คือผู้ที่ปราดเปรื่องน่าทึ่ง คงไม่ถึงกับหลอกลวงพวกเรา”
“ไม่ว่าจะเป็นศัตรูหรือมิตร ข้ากลับเชื่อว่าการมาพิสูจน์เพื่อยืนยันในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพี่หลี่ที่นี่จะกระทำกันอย่างสง่าผ่าเผย” ฉินไป่หลี่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่กล้าตัดสินใจแทนพี่จินเก๋อได้ ส่วนตัวข้าแล้วไม่ขัดข้อง ให้พี่หลี่เป็นผู้เลือกให้ข้าสักชิ้นจะเป็นเช่นใด?”
“ข้าเองก็ไม่มีความเห็นเป็นอื่น ก็ให้สหายหลี่เลือกแทนข้าสักชิ้นก็แล้วกัน” จินเก๋อเองก็มีลักษณะของความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ทุกๆ ถ้อยคำล้วนแล้วแต่ทรงพลังยิ่งนัก
บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกงงงันเมื่อได้ยินคำพูดของจินเก๋อและฉินไป่หลี่ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีดวงตาที่เบิกกว้าง และรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะพวกเขาได้ยินได้ฟังมากับหูของตนเอง พวกเขาจะต้องเข้าใจว่าทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อต้องเสียสติไปแน่เลย แต่ว่า ทั้งจินเก๋อและฉินไป่หลี่ล้วนไม่ได้เสียสติ
พวกเขามองว่าเรื่องเช่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เกมพนันลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงเป็นการแข่งจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ยังเป็นการแข่งว่าของวิเศษของใครดีกว่า การเลือกของวิเศษโดยพวกเขาเองต้องดีกว่าชิ้นที่หลี่ชิเย่เลือกให้แน่นอน เช่นนี้พวกเขาจึงสามารถเอาชนะหลี่ชิเย่ได้
อีกทั้งในขณะที่เลือกหาของวิเศษที่ดีที่สุดนั้น ยังต้องสามารถยึดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ให้มั่นคง ไม่สามารถปล่อยให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรสั่นไหวได้ มิฉะนั้นแล้ว ต่อให้ของวิเศษที่เลือกมาดีกว่าสักเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วยังคงพ่ายแพ้เกมพนันเกมนี้
ดังนั้น เกมพนันเกมนี้ไม่เพียงเป็นการแข่งสายตา แข่งประสบการณ์ แข่งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ยังเป็นการแข่งความนิ่งของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตน
ภายใต้การแข่งขันในลักษณะเช่นนี้ กลับยินยอมให้คู่ต่อสู้เป็นผู้เลือกของวิเศษให้กับตน มิเท่ากับเป็นการเอาชีวิตของตนไปไว้ในมือของคู่ต่อสู้ การกระทำในลักษณะเช่นนี้ในสายตาของใครก็ตาม มีเพียงคนโง่เขลาและเสียสติเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้
แต่ว่า ทั้งจินเก๋อและฉินไป่หลี่ไม่ใช่คนโง่ และไม่ใช่คนเสียสติ พวกเขากลับนำเอาสิทธิ์ของการเป็นฝ่ายรุกมอบให้กับหลี่ชิเย่ การกระทำเช่นนี้นับว่าสร้างความสะเทือนหวั่นไหวมากเหลือเกิน
ไม่ว่าหลี่ชิเย่กับจินเก๋อและฉินไป่หลี่จะเป็นศัตรูหรือไม่ แต่พวกเขาล้วนแล้วแต่มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่เปิดเผยบริสุทธิ์ดวงหนึ่ง โดยจินเก๋อและฉินไป่หลี่เชื่อว่าหลี่ชิเย่จะไม่หลอกลวงพวกเขา แม้หลี่ชิเย่จะเป็นศัตรูของพวกเขาก็ตาม
การกระทำในลักษณะเช่นนี้ได้สร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับจิตใจของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนเป็นจำนวนมาก มันดูออกจะเป็นวิธีการที่โง่เขลายิ่งนัก แต่ว่าข้างในมีขอบเขตที่พวกเขาเหล่านั้นไม่สามารถจะเอื้อมถึง นี่คือคุณภาพของผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุด!
“ก็ดี” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ในเมื่อข้าช่วยเลือกให้กับพวกเจ้าคนละชิ้น ชิ้นนั้นของข้าก็ให้พวกเจ้าเป็นผู้เลือกให้ก็แล้วกัน”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้จินเก๋อและฉินไป่หลี่ต่างมองตากันและกัน สุดท้าย ฉินไปหลี่เป็นผู้พยักหน้าและกล่าวว่า “ตกลง ในเมื่อพี่หลี่เชื่อใจพวกข้า พวกเราก็นับถือมิสู้ปฏิบัติตาม พี่หลี่ช่วยเลือกให้พวกข้าคนละชิ้นก่อนดีมั้ย?”
“ของวิเศษพื้นๆ ทั่วไป ต่อให้เป็นของวิเศษระดับจอมราชันเซียนหวังคงยากที่จะทำให้จิตของพวกเจ้าหวั่นไหวได้ จะอย่างไรเสีย ของวิเศษลักษณะเช่นนี้พวกเจ้าเห็นมามากแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “เมื่อก้าวมาถึงระดับพวกเจ้าแล้ว ของวิเศษที่พวกเจ้าต้องการตามหาจะต้องเป็นของที่เหมาะสมกับตัวเองมากที่สุด”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว มองดูฉินไป่หลี่และยิ้มกล่าวว่า “สัจธรรมของเจ้ากำเนิดจากฉานหลง ที่ฝึกฝนอยู่คือพลังม่วง สัจธรรมไม่มีความอคติและยากที่จะหาผู้ใดเทียบเทียม เน้นเรื่องความเป็นธรรมชาติของหลักสัจธรรม เท่าที่ข้ารู้ ด้านใต้ของเตาสามขาขนาดยักษ์นั่นมีของวิเศษชิ้นหนึ่งถูกทับอยู่” กล่าวพลางเขาชี้นิ้วไปยังห้องๆ หนึ่งภายในศาลเจ้าทองคำ มองเห็นบริเวณมุมห้องนั้นมีเตาสามขาขนาดยักษ์ตั้งอยู่ใบหนึ่ง
“นั่นเป็นของวิเศษอันได้รึ?” ฉินไป่หลี่รู้สึกตกใจระคนแปลกใจที่หลี่ชิเย่ทำการเลือกของวิเศษให้กับเขาโดยที่ไม่ได้มองหาอะไรมากมาย
“มันคือหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบหนึ่ง ในยุคสมัยที่เนิ่นนานมาก เคยมีจอมเทพผู้หนึ่งสวมหมวกม่วงใบหนึ่ง อยู่เหนือหมื่นแดน ดำเนินสรรพสิ่งก้าวข้ามกาลเวลาอันยาวนาน หมวกม่วงแฝงไว้ซึ่งความเป็นธรรมชาติตลอดกาล ทิ้งพลังม่วงลงมาหมื่นสาย หนึ่งสายนั้นหมายถึงหมื่นแดน อีกหนึ่งสายคือโลกธาตุ เมื่อท่องไปโดยสวมหมวกใบนี้เอาไว้ สามารถก้าวข้ามวันเวลา นิรันดร์กาลเป็นเพียงเรื่องเอ้อระเหยเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“เยี่ยม…” ฉินไป่หลี่ที่ได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วอดที่จะกล่าวชื่นชมออกมาไม่ได้ สัจธรรมที่เขาฝึกอยู่นั้นต้องการของวิเศษเช่นนี้อยู่พอดี
“เจ้าคิดดีแล้วยังที่จะไปหยิบของวิเศษชิ้นนี้?” หลี่ชิเย่มองดูฉินไป่หลี่ด้วยท่าทียิ้มแต้ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เจ้าต้องเตรียมตัวให้พร้อม มันต้องใจมากกว่าที่ข้าบรรยายเสียอีก เพียงพอที่จะทำให้เจ้าอยากได้ครอบครองมันยิ่งนัก”
ความจริงแล้ว ทุกคนต่างไม่เคยได้เห็นของวิเศษชิ้นนี้มาก่อน เมื่อได้ยินคำบรรยายของหลี่ชิเย่แล้ว ทำให้มีผู้ที่ต้องน้ำลายหกเป็นจำนวนมาก แทบอยากจะหยิบเอาของวิเศษชิ้นนี้มาชื่นชมเดี๋ยวนี้เลยให้มันรู้แล้วรู้รอดไป
ฉินไป่หลี่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง สุดท้าย เขาได้ควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรให้มั่น พยักหน้าด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจัง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ไว้ให้ข้าไปหยิบเอาของวิเศษชิ้นนี้มาให้พี่หลี่และพี่จินเก๋อได้ชื่นชม” กล่าวจบคำลุกขึ้นยืน
ฉินไป่หลี่เดินเข้าไปภายในห้องหลังนั้น ยกเอาเตาสามขาขึ้นมา และสามารถหยิบเอาหมวกวิเศษออกมาได้ใบหนึ่งจริงๆ ขณะที่หมวกวิเศษใบนี้ถูกหยิบขึ้นมานั้น พลันปรากฏพลังม่วงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา เสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นหลักสัจธรรมสูงสุดอย่างนั้น ท่ามกลางกลิ่นอายม่วงที่ตลบอบอวล ร่างกายของฉินไป่หลี่พลันถูกครอบคลุมด้วยกลิ่นอายม่วงทันที เหมือนว่ากลิ่นอายม่วงนี้ดูจะใกล้ชิดกับฉินไป่หลี่มากเป็นพิเศษ พลันห่อหุ้มตัวของฉินไป่หลี่เสียแน่นหนาเลยทีเดียว
ท่าทางของฉินไปหลี่ในเวลานี้ดูหนักแน่นจริงจัง และเคร่งขรึมยิ่งนักยากจะหาผู้ใดเทียม แต่ทว่า ท้ายที่สุดแล้ว เขายังคงสวมหมวกใบนี้ลงบนศีรษะ
จังหวะที่ฉินไป่หลี่ได้สวมหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ลงบนศีรษะ กลิ่นอายม่วงทั้งหมดพลันมีการเก็บงำ กลับกลายเป็นกลิ่นอายม่วงแต่ละสายที่ทิ้งตัวลงมาจากหมวกศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นไปตามที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น หนึ่งสายกลับกลายหมื่นแดน หนึ่งสายคือโลกธาตุ เมื่อฉินไป่หลี่สวมมันเอาไว้นั้น ท่าทีของเขาพลันเปลี่ยนไป เขาคือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดองค์หนึ่ง สามารถรับรู้หมื่นวิชา สามารถก้าวข้ามกาลเวลา สามารถก้าวเดินอยู่ท่ามกลางอดีตถึงปัจจุบัน
“ของวิเศษชั้นเยี่ยมนะเนี่ย เมื่อสวมหมวกใบนี้แล้วสามารถทำให้เขาก้าวขึ้นไปได้อีกระดับหนึ่งเลยนะ” ระดับบรรพบุรุษสายสำนักราชันเซียนผู้หนึ่งเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วถึงกับน้ำลายสอ
ในเวลานี้ทุกคนต่างมองไปที่ฉินไป่หลี่ อย่าว่าแต่ฉินไป่หลี่เลย ทุกคนที่มองเห็นต่างรู้สึกว่าของวิเศษชิ้นนี้ช่างเย้ายวนต่อจิตใจเหลือกิน ถ้าหากเวลานี้ฉินไป่หลี่ควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ไม่ได้ล่ะก็ มีเพียงตายสถานเดียว
ว่ากันตามจริง หากจะทำใจให้ไม่หวั่นไหวต่อหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้ล่ะก็ นับว่ายากเหลือเกิน มันต้องอาศัยจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงเพียงใดจึงสามารถรักษาเอาไว้ได้ เมื่อต้องเผชิญกับหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้
ขณะที่ทุกคนได้กลั้นลมหายใจเอาไว้นั้น ฉินไป่หลี่ได้เดินไปถึงหน้าโต๊ะ สุดท้าย ได้บรรจงถอดหมวกใบนั้นออกมาวางเอาไว้บนโต๊ะ เพื่อให้หลี่ชิเย่และจินเก๋อได้ชื่นชม