“ฉับ ฉับ ฉับ…” ขณะที่หลี่ชิเย่กำลังเตรียมจะพาธิดาราชันฉีหลินจากไป ทันใดนั้น เสียงเดินเท้าที่พร้อมเพรียงได้ดังขึ้น เสียงฝีเท้าที่ดังขึ้นเป็นระลอกนี้เปี่ยมด้วยพลังมาก ขณะที่เสียงฝีเท้านี้ดังขึ้นมาเป็นระลอกนั้น แม้แต่พื้นดินยังสั่นไหวตาม
เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น กองกำลังที่ประกอบด้วยกำลังสามสิบหกคนได้ขึ้นมาถึงยอดเขา พลันที่กองกำลังนี้ขึ้นมาถึงบนยอดเขา ได้ทำให้บรรยากาศบนยอดเขาตึงเครียดขึ้นมาทันที
กองกำลังนี้มีสมาชิกเพียงสามสิบหกคนเท่านั้น ทั้งสามสิบหกคนต่างเผยกลิ่นอายที่โหดร้ายทารุณออกมา ที่ทำให้ผู้คนต้องขนลุกก็คือ ประกายสังหาร และความโหดเหี้ยมทารุณสายนั้นที่ปรากฎออกมาจากสายตาของพวกเขา สมาชิกทุกคนของกองกำลังนี้ล้วนแล้วแต่สวมชุดเกราะที่เย็นตา โดยที่บนเสื้อเกราะของพวกเขาต่างปรากฏเป็นสีดำแดงอยู่บนนั้น สีดังกล่าวหาใช่สีอะไรทั้งสิ้น มันคือคราบเลือดที่แห้งเกรอะกรังติดอยู่บนนั้น ดังนั้น ยามเมื่อกองกำลังนี้ปรากฏออกมา ผู้คนจึงสามารถได้กลิ่นคาวเลือดจางๆ โชยออกมา
“อัศวินมังกรหลวงน้อย!” มีผู้ที่ร้องเสียงหลงออกมา และขนลุกซู่ในใจเมื่อได้เห็นกองกำลังเช่นนี้แล้ว
ผู้ที่เป็นหัวหน้าของกองกำลังนี้เป็นชายหนุ่มที่หลี่ชิเย่รู้จัก คนผู้นี้ก็คือทารกมังกรหลวงนั่นเอง ในเวลานี้ทารกมังกรหลวงเป็นผู้นำกองกำลังอัศวินมังกรหลวงน้อยนี้เข้ามา
อัศวินมังกรหลวงน้อยเป็นกองกำลังที่ทารุณโหดร้ายมาก มันจัดตั้งขึ้นโดยซั่งกวานหวิน ศิษย์เอกของจอมเทพยี่หลง และก็คือศิษย์พี่ใหญ่ของทารกมังกรหลวงนั่นเอง
ซั่งกวานหวินได้สืบทอดตำแหน่งของจอมเทพยี่หลง กลายเป็นจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สองดวงอยู่ในครอบครอง! หนึ่งสำนักสองจอมเทพ เรียกได้ว่าสำนักของจอมเทพยี่หลงนับว่าน่าภูมิใจอยู่เหมือนกัน จะอย่างไรเสีย การที่มีชาติกำเนิดเป็นชนชั้นรากหญ้ากลับสร้างผลงานได้ถึงเพียงนี้ นับว่าสุดยอดมาก
สืบเนื่องจากจอมเทพยี่หลงได้ร่วมกับระดับจอมเทพอีกแปดคน ก่อตั้งเป็น “อัศวินมังกรหลวง” ขึ้นมา ดังนั้น ซั่งกวานหวินจึงสร้างกองกำลังที่ประกอบด้วยสมาชิกจำนวนสามสิบหกคนขึ้น โดยตั้งชื่อกองกำลังนี้ว่า “อัศวินมังกรหลวงน้อย”
มีอาจารย์เช่นใดย่อมมีศิษย์เช่นนั้น จอมเทพยี่หลงถือกำเนิดจากโจร อัศวินมังกรหลวงก็เป็นกองโจร ขณะที่อัศวินมังกรหลวงน้อยก็ได้สืบทอดมรดกของอัศวินมังกรหลวง
อัศวินมังกรหลวงน้อยมักก่อคดีปล้นสะดมชาวบ้านอยู่เนืองๆ อีกทั้งสิ่งที่อัศวินมังกรหลวงน้อยชมชอบที่สุดก็คือเที่ยวดักปล้นผู้บำเพ็ญตนที่เดินทางมาเดี่ยว หรือไม่ก็ลอบโจมตีคณะผจญภัยเล็กๆ พวกเขาไม่เพียงแค่ปล้นสะดมเอาของวิเศษ ทรัพย์สินเงินทอง เคล็ดวิชาเท่านั้น แต่ยังฆ่าคนปิดปากเสมอๆ
ดังนั้น แม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องเป็นฝีมือของอัศวินมังกรหลวงน้อย แต่เนื่องจากเจ้าทุกข์ถูกฆ่าปิดปากไปแล้ว ดังนั้น จึงไม่มีหลักฐานที่จะไปยืนยันว่าเป็นฝีมือของอัศวินมังกรหลวงน้อย
เนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง ผู้คนจำนวนมากจึงหวั่นเกรงต่ออัศวินมังกรหลวงน้อยยิ่งนัก เนื่องจากพวกมันชอบดักปล้นผู้บำเพ็ญตนที่มาเดี่ยว โดยไม่สนใจว่าจะเป็นผู้มีฝีมือแข็งแกร่งหรืออ่อนด้อย หากถูกพวกเขาจับจ้องแล้วล่ะก็ มักจะมีเพียงตายสถานเดียวเท่านั้น
หลังจากที่ซั่งกวานหวินได้กลายเป็นจอมเทพแล้ว น้อยครั้งนักที่เขาจะนำอัศวินมังกรหลวงน้อยออกปฏิบัติการด้วยตนเอง เขาได้มอบอัศวินมังกรหลวงน้อยให้กับทารกมังกรหลวง และเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เวลาทารกมังกรหลวงอาศัยเล่ห์เหลี่ยมและอำนาจแย่งชิงเอามาเป็นของตนนั้น ไม่เพียงแค่ข่มขู่เท่านั้น บางครั้งหากข่มขู่ไม่เป็นผลเขาก็จะนำกำลังอัศวินมังกรหลวงน้อยเข้าแย่งชิงเอาดื้อๆ
“พี่หลี่ พวกเราพบกันอีกแล้ว” เมื่อทารกมังกรหลวงเห็นหน้าหลี่ชิเย่พลันแสดงรอยยิ้มเต็มใบหน้า และแสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่เพียงมองดูเขาด้วยท่าทีเฉยเมย ขี้คร้านจะไปสนใจเขา
แต่ ทารกมังกรหลวงกลับไม่ยอมลดละ ยังคงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้า ยิ้มกล่าวว่า “ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องของข้า อัศวินมังกรหลวงน้อย พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นผู้กล้าทั้งสิ้น ในชีวิตชื่นชมบุรุษที่กล้าได้กล้าเสีย เรื่องราวเกี่ยวกับพี่หลี่เล่าลือกันไปทั่ว พี่หลี่ไม่เกรงกลัวยอดฝีมือใดๆ ทำให้พี่น้องต่างเลื่อมใส ดังนั้น ต่อไปหากพี่หลี่มีอะไรให้พวกเราช่วยล่ะก็…”
“…โปรดสั่งการมาคำหนึ่ง ขอเพียงเป็นสิ่งที่พวกเราอัศวินมังกรหลวงน้อยสามารถทำได้ รับรองว่าจะบุกน้ำลุยไฟให้แน่นอน ต่อไปพี่หลี่มีเรื่องอะไรไม่ต้องเกรงใจ สั่งการมาได้เลย ใครใช้ให้พวกเราเป็นพี่น้องกันหละ!” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ทารกมังกรหลวงทำทีตบอกเสียดังป๊าบป๊าบ ท่าทีเป็นผู้เปี่ยมด้วยคุณธรรมอย่างนั้น
บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จำนวนมากต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำอย่างลับๆ เมื่อมองเห็นท่าทางของทารกมังกรหลวงที่เหมือนสนิทสนมกับหลี่ชิเย่ ลำพังกองกำลังโจรกลุ่มนี้ของทารกมังกรหลวงก็น่าเกรงกลัวมากพอแล้ว ถ้าหากผนวกรวมเข้ากับคนโหดอันดับหนึ่งที่ชั่วร้ายผิดปรกติสุดๆ แล้ว จะกลายเป็นกลุ่มที่น่าสยดสยองกลุ่มหนึ่ง ถึงเวลานั้นเกรงว่าจะเป็นจุดจบของสำนักขนาดเล็กจำนวนมากเสียแล้ว
สำหรับท่าทีที่อบอุ่นของทารกมังกรหลวง หลี่ชิเย่ตอบโต้ด้วยท่าทีที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิด่ขึ้นว่า “ใช่ว่าใครก็สามารถเป็นพี่น้องกับข้าได้ อย่างน้อยที่สุดเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติเช่นนี้” กล่าวขาดคำไม่ได้หยุดก้าวเดินแม้แต่ก้าวเดียว พาธิดาราชันฉีหลินลงจากเขาไป
คำพูดที่เอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิด่ขึ้นคำหนึ่ง ทำเอาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตะลึงงัน ทุกคนไม่คิดว่าหลี่ชิเย่จะตอบด้วยคำพูดที่อวดดีและอหังการไม่ไว้หน้าเช่นนี้ออกมา
หลี่ชิเย่ประกาศตรงๆ ต่อหน้าทุกคนว่าทารกมังกรหลวงไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นพี่น้องกับเขา เป็นการตบหน้าทารกมังกรหลวงเข้าให้อย่างแรง และเป็นการตบหน้าอัศวินมังกรหลวงน้อยอีกด้วย โดยไม่มีไว้หน้าแม้แต่น้อย ไม่ว่าสายตาของใครก็มองว่าช่างโหดเหลือเกิน
แม้ว่าภายในใจของผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่ไม่ต้องการคบหากับคนอย่างทารกมังกรหลวง แต่ว่าทุกคนต่างหวั่นเกรงต่อเขา มีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยินดีเป็นเพื่อนกับเขา แต่หากว่าทารกมังกรหลวงดึงดันต้องการคบหาเป็นพี่น้องกันละก็ เกรงว่าผู้คนจำนวนมากก็ไม่สามารถปฏิเสธไมตรีนี้ไปได้
แต่หลี่ชิเย่กลับตรงกันข้ามโดยสิ้นเชิง กล่าวปฏิเสธต่อหน้าทุกคนออกมาตรงๆ ว่าเขาไม่มีคุณสมบัติเป็นพี่เป็นน้องกับเขาได้ ความอหังการลักษณะเช่นนี้ทำให้ผู้คนจำนวนมากรับไม่ทัน
ขณะที่หลี่ชิเย่เดินลงจากเขาไป ทารกมังกรหลวงถึงกับตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น หน้าตาปั้นยากสุดๆ แต่เขากลับสามารถอดกลั้นความอัปยศนี้เอาไว้ได้อย่างน่าอัศจรรย์
หลังจากไปจากสันเขาถัวหลิ่งแล้ว ธิดาราชันฉีหลินถึงกับยิ้มกล่าวว่า “คำพูดของคุณชายเป็นการตบหน้าทารกมังกรหลวงไปฉาดใหญ่ เกรงว่าเขาคงแค้นเคืองอยู่ในใจ”
“แค่เสือหน้ายิ้มตัวหนึ่งเท่านั้นเอง คนเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องให้เกียรติอะไรกับเขา” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวตามอารมณ์ออกมาว่า “ถ้าหากเขารู้จักกาลเทศะ จงออกห่างจากตัวข้าให้ไกลๆ หน่อย มิฉะนั้นล่ะก็ข้าจะให้เข้าตายอย่างไร้ที่ฝัง”
ธิดาราชันฉีหลินเพียงยิ้มนิดหนึ่ง ถ้าหากทารกมังกรหลวงคิดจะเล่นตุกติกอะไรล่ะก็ หาทำในสิ่งที่ไม่หวังดีต่อหลี่ชิเย่ล่ะก็ นั่นเป็นการรนหาที่ตายเองของเขา ดั่งเช่นหลี่ชิเย่ที่ได้พูดเอาไว้ว่า ตายอย่างไร้ที่ฝัง!
ฝอเหย่มีขนาดพื้นที่กว้างขวางไร้ขอบเขต มองเห็นหญ้าแห้งพลิ้วไหว แต่ว่าในฝอเหย่ไม่ได้มีเพียงหญ้าแห้งที่พริ้วไหวเท่านั้น ฝอเหย่ที่ดูเหมือนสงบกลับแอบซ่อนอันตรายจำนวนมากเอาไว้
ในขณะที่ธิดาราชันฉีหลินติดตามหลี่ชิเย่เดินทางไกลไปข้างหน้า ได้มองเห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ขนาดยักษ์ยากจะหาใดเทียมที่ตั้งอยู่ด้านข้างแต่ไกล ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ตั้งตระหง่านสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ปกคลุมไปด้วยเมฆหมอกมองไม่เห็นยอดของมัน เมื่อต้องมาอยู่ตรงหน้าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้แล้ว ไม่ว่าสรรพชีวิตใดๆ ก็รู้สึกว่าตนเองนั้นเล็กจิ๋วมาก เหมือนว่าภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้ก็คือภูเขาหลักของเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินอย่างนั้น ทุกๆ ชีพจรล้วนแล้วแต่กำเนิดมาจากตรงนี้
“ตึง…” เสียงหนึ่งดังขึ้น ในขณะที่ธิดาราชันฉีหลินติดตามหลี่ชิเย่เดินผ่านภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ในระยะห่างไกลนั้น พลันปรากฏเสียงระฆังที่ดังขึ้นมากะทันหัน โดยที่เสียงระฆังดังกล่าวไม่ได้ดังกังวานอะไรมากนัก
จังหวะที่เสียงระฆังดัง “ตึง” ขึ้นมานั้น ธิดาราชันฉีหลินถึงกับรู้สึกเข่าอ่อนทั้งสองข้าง เสมือนหนึ่งวิญญาณออกจากร่างไม่สามารถควบคุมตนเองได้อย่างนั้น เกือบจะล้มตัวลงกับพื้น ถ้าหากไม่ได้รับการพยุงเอาไว้จากหลี่ชิเย่ที่ตาไว เกรงว่าคงลงไปนอนอ่อนแรงกองอยู่กับพื้นแล้ว
“นี่มันคืออะไรกัน…” สีหน้าของธิดาราชันฉีหลินขาวซีด ถึงกับพูดออกมาด้วยความผวา
จะโทษธิดาราชันฉีหลินที่หวาดผวาขนาดนี้ก็ไม่ถูก ทักษะยุทธของนางนับว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว แต่ว่าต้องเข่าอ่อนทันทีภายใต้เสียงระฆังเช่นนี้ มันช่างเป็นพลังที่น่าสยองมากเหลือเกิน
“เสียงระฆัง” หลี่ชิเย่ประคองตัวของนางเอาไว้ มือหนึ่งทาบอยู่กับหน้าผากของธิดาราชันฉีหลินอย่างชำนาญ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ข้าช่วยรักษาจิตใจของเจ้าเอาไว้ เปิดเนตรฟ้ามองดู มิฉะนั้นแล้วเจ้าจะกลายเป็นเถ้าธุลีได้”
ครั้นธิดาราชันฉีหลินถูกมือของหลี่ชิเย่กดที่ตำแหน่งจุดเทียนหลิงบริเวณหน้าผากแล้ว ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกได้ว่ามีไออุ่นสายหนึ่งไหลวนรอบจิตวิญญาณของตน นางจึงรู้สึกวางใจและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เปิดเนตรฟ้าของตนขึ้นมา
หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินเปิดเนตรฟ้าขึ้นมาแล้วมองทะลุผ่านเมฆหมอกที่ล้อมรอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ทะลุตรงไปบนจักรวาล เห็นไกลออกไปของจักรวาลมีสภาพที่พังยับเยิน และธิดาราชันฉีหลินจึงได้เห็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้ถูกฟันจนขาดสองท่อน
ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้นับเป็นภูเขาที่สูงใหญ่มาก สูงเสียดฟ้าทะลุขึ้นไปถึงจักรวาล ด้วยภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สูงใหญ่ถึงเพียงนี้ เดิมทีจะมีทางช้างเผือกล้อมรอบ ปรากฎสุริยันจันทราที่ผ่านเข้าออกบริเวณนั้น แต่ในเวลานี้ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีชื่อถูกพลังที่ไม่ปรากฏทำให้ขาดเป็นสองท่อน อีกทั้งดวงดาวขนาดใหญ่ที่เคยล้อมรอบภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกทำลายจนแหลกละเอียด
ดังนั้น ในเวลานี้จึงสามารถมองเห็นเศษหิน และดวงดาวที่แตกเสียหายจำนวนนับไม่ถ้วนกระจายอยู่ทั่วจักรวาล ดาวขนาดใหญ่บ้างถูกยิงทะลุ บ้างถูกผ่าออก และบ้างถูกยิงจนแหลกละเอียดไป…
บนโลกที่เต็มไปด้วยวัตถุที่แตกละเอียดเช่นนี้ ณ บริเวณที่สูงสุดมีระฆังใบหนึ่งแขวนอยู่ ระฆังใบนี้มีสีทองทั้งใบและมีรัศมีล้อมรอบ เสียงระฆังที่ดังขึ้นเมื่อครู่ก็มาจากระฆังใบนี้นั่นเอง
“เป็นระฆังใบนี้ที่ทำลายภูเขาศักดิ์สิทธิ์ลูกนี้รึ?” ธิดาราชันฉีหลินอดที่จะถามขึ้นเมื่อเห็นระฆังใบนี้แล้ว
“ไม่ เป็นระฆังใบนี้ต่างหากที่คิดจะเฝ้าปกป้องโลกแห่งนี้เอาไว้ เสียดาย ภายใต้พลังทำลายเช่นนี้ การดิ้นรนทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไร้ประโยชน์ ต่อให้แข็งแกร่งมากกว่านี้ก็ปกป้องใครเอาไว้ไม่ได้ สุดท้ายยังคงถูกทำลายลง” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือของวิเศษที่สุดยอดยากจะหาผู้ใดต่อกรในหล้า” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้ว
“ถูกต้อง มันนับเป็นสุดยอดของวิเศษชิ้นหนึ่ง มีอานุภาพยากจะหาใดเทียม” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “ต่อให้ไม่นับเป็นอาวุธยอดเยี่ยม ก็ต้องเป็นของวิเศษที่น่าตกใจของศาสนาพุทธ”
“แล้วของวิเศษศาสนาพุทธนี้ไม่มีใครต้องการรึ?” ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกตระหนก
“ไม่เคยหยุดเลย” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “เจ้ามองดูให้ละเอียด มีคนที่หลบซ่อนตัวอยู่ในนั้นใช่หรือไม่?”
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้รับการสะกิดจากหลี่ชิเย่ จึงจ้องมองดูอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ นางจึงพบเห็นผู้เฒ่าผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ในดวงดาวขนาดใหญ่ที่ถูกยิงจนทะลุ โดยผู้เฒ่าผู้นี้ได้หลบซ่อนตัวอยู่ในหลุมลึกที่อยู่ในดวงดาวดังกล่าว รอบๆ ตัวของเขาได้ก่อแนวป้องกันเอาไว้เป็นชั้นๆ มีโลหะศักดิ์สิทธิ์กั้นฟ้า และผู้เฒ่าผู้นี้ยังได้สวมชุดกษัตริย์ แม้ว่าไม่ได้เผยพลังที่น่าเกรงขามออกมา แต่สัญชาตญาณบอกธิดาราชันฉีหลินว่า คนผู้นี้ต้องเป็นระดับจอมเทพอย่างแน่นอน
เมื่อธิดาราชันฉีหลินมองดูให้ละเอียดอีกครั้ง จึงได้พบว่าคนที่แอบซ่อนตัวไม่ได้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น ในดาวดวงที่แตกระเอียด ท่ามกลางกองหิน ในอากาศที่ว่างเปล่าล้วนแล้วแต่มีคนแอบอยู่ในนั้น บรรดาผู้ที่แอบซ่อนตัวเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความแข็งแกร่งยิ่งนัก พวกเขาต่างสร้างเป็นแนวป้องกันเป็นชั้นๆ ขึ้นมา เหมือนว่าต้องการป้องกันอะไรบางอย่าง
ขณะเดียวกัน พวกเขาได้จับจ้องไปที่ระฆังขนาดใหญ่ใบนั้นชนิดไม่ยอมกะพริบตา เหมือนว่ากำลังค้นหาจุดอ่อนจากระฆังใบนี้อย่างนั้น
“เวลานี่แหละ!” พริบตาเดียวนี้เอง เสียงคำรามทุ้มต่ำดังขึ้น และมีเสียงมังกรคำรามขึ้นกะทันหัน มองเห็นคนผู้หนึ่งที่กระโดดเหินฟ้าขึ้นไป โจมตีด้วยดวงตราสัญลักษณ์สามดวง นาทีนี้เขาพลันแปรเปลี่ยนร่างเป็นมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง มังกรตัวนี้มีปีกบนหลังแปดปีก เขาบุกไปถึงด้านหน้าระฆังใบนั้นทันที มือข้างหนึ่งได้ตบใส่ตัวระฆัง ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งยื่นเข้าไปคว้าระฆังใบนั้น หวังจะสยบระฆังขนาดใหญ่นั้นโดยพลัน และนำมันกลับไป
“จอมเทพชาชื่อ จอมเทพรุ่นเก๋าที่มีดวงตราสัญลักษณ์สามดวง!” ธิดาราชันฉีหลินที่มีประสบการณ์กว้างขวางถึงกับตระหนกเมื่อมองเห็นผู้ที่ลงมือ ถึงกับพึมพำออกมา
จังหวะที่มือของจอมเทพผู้นี้กำลังจะแตะต้องตัวระฆังได้นั้น เสียงระฆังได้ดัง “ตึง…” ขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“ปุ…” คลื่นเสียงที่เกิดจากระฆังคล้ายดั่งคลื่นยักษ์ที่ซัดโจมตีออกมา ฉับพลันนั้น มองเห็นเลือดสดๆ ที่แตกกระจาย มองเห็นร่างกายของจอมเทพชาชื่อผู้นี้เริ่มจากมือทั้งสองข้างลามไปถึงตัวและแหลกละเอียดไปทั้งตัว
……………………………………………………………….