“เรือข้ามฟากมาแล้ว…” ในขณะที่เรือน้อยจอดอยู่ ณ ท่าข้ามนั้นเอง มีผู้ที่ร้องเสียงดังออกมา ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ด้านหน้าศาลเจ้าทองคำวิ่งเข้ามาหาด้วยความแปลกใจ แม้กระทั่งยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ไม่ได้เข้าไปมุงดู แต่ก็ทอดสายตามายังเรือน้อยลำนั้น
“เรือข้ามฟากมาแล้ว มีใครจะลงเรือหรือไม่?” มีผู้คนอดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
“พวกเราลงเรือข้ามฟากกันดีไหม ไม่แน่นักอาจจะได้ขึ้นไปยังดินแดนนิพพานได้” มียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เห็นเรือข้ามฟากจอดอยู่ที่ท่าข้ามแล้ว ถึงกับพูดขึ้นมาด้วยความอยากจะลองดูสักครั้ง
“จะบ้าหรือ!” ผู้อาวุโสจึงตบเข้าให้ที่ท้ายทอยของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้นี้ เพื่อให้ได้สติ ด่าออกมาว่า “ครั้งนั้นบรรพบุรุษของเจ้าคือจอมเทพระดับสูงที่มีดวงตราสัญลักษณ์ถึงเจ็ดดวง เขาลงเรือที่ท่าข้ามตรงนี้แหละ หลังจากนั้นก็ไปแล้วไปลับไม่กลับมาอีกเลย” เมื่อพูดถึงตรงนี้แล้ว ดูมีท่าทีที่สลดขึ้นมา
บรรดาผู้ที่มายังท่าข้ามแห่งนี้เป็นครั้งแรกต่างมีท่าทีที่เย็นวาบเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ แม้แต่จอมเทพระดับสูงที่มีดวงตราสัญลักษณ์เจ็ดดวงยังไปแล้วไม่กลับมาอีก ช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเหลือเกิน
“เรือข้ามฟากข้ามไปยังแดนนิพพานได้จริงหรือ?” ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่เอ่ยถามขึ้นมา เมื่อมองเห็นเรือน้อยที่จดออยู่ตรงนั้น
ผู้อาวุโสส่ายหน้า พูดขึ้นเบาๆ ว่า “ไม่รู้เหมือนกัน เล่าลือกันว่าคนที่ลงเรือข้ามฟากแล้วไม่เคยมีใครได้กลับมา ไปแล้วไปลับ เหมือนระเหยไปจากโลกมนุษย์อย่างนั้น เคยมีระดับผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงจำนวนไม่น้อยลงเรือข้ามฟากไป แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครทำได้สำเร็จ ไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาสักคน อย่างน้อยที่สุดคนที่ข้ารู้จักไม่เคยได้ยินว่ามีใครที่ลงเรือข้ามฟากแล้วมีชีวิตรอดกลับมา”
เมื่อยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยืนดูอยู่บริเวณท่าข้ามได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว ต่างรู้สึกขนลุกซู่ในใจ เมื่อครู่คนที่ไม่รู้ความยังรู้สึกหวั่นไหวอยากจะทดลองดูสักครั้ง เวลานี้เมื่อได้ยินว่าคนที่ไปแล้วล้วนแล้วแต่ไม่ได้กลับมา มันคล้ายเป็นน้ำเย็นที่ราดลงกลางกระหม่อมของพวกเขาอย่างนั้น
“ก้าวขึ้นฝั่งแดนนิพพาน ขจัดทุกข์กรรม ได้รับปัจจัยแห่งความสุขจากเหล่าเวไนยสัตว์ ลือกันว่าสามารถเป็นอมตะได้ ไม่รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่” แม้แต่ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสที่มองดูเรือน้อยลำนี้แล้วยังต้องหวั่นไหว แต่ สุดท้ายแล้วยังคงอดกลั้นเอาไว้ได้
ความจริงแล้ว ผู้ที่เกิดความหวั่นไหวใช่จะมีเพียงยอดฝีมือเพียงคนหรือสองคนเท่านั้น แต่ทว่า แม้แต่ระดับจอมเทพยังไม่สามารถมีชีวิตกลับมาได้ ต่อให้ในใจของพวกเขาเกิดความหวั่นไหว ก็ได้แต่เลิกล้มความคิดนี้เสีย
แม้จะกล่าวว่า สำหรับยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ชีวิตเป็นอมตะนั้นเปี่ยมด้วยความเย้ายวนใจ แต่ ไม่เคยมีใครทำได้สำเร็จ คนที่มีทักษะแข็งแกร่งกว่าพวกเขาก็ทำไม่สำเร็จ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่กล้าไปทดลอง ไม่กล้าเสี่ยง
ในเวลานี้ ผู้ที่มุงดูอยู่บริเวณท่าข้ามมีอยู่จำนวนไม่น้อย ต่างพิจารณาด้วยความแปลกใจต่อผีดิบสงฆ์ที่ทำหน้าที่พายเรือ ผีดิบสงฆ์รูปนี้ไม่มีความรู้สึกใดๆ เพราะมันคือศพคนตายศพหนึ่งเท่านั้น ย่อมไม่ต้องพูดถึงเรื่องอารมณ์อยู่แล้ว
แม้ว่าผู้คนจำนวนมากจะรู้สึกแปลกใจต่อผีดิบสงฆ์ที่พายเรือรูปนี้ แต่ไม่มีใครกล้าไปหาเรื่อง เนื่องจากผู้ที่เคยมาฝอเหย่แล้วต่างรู้ดีว่า ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาแล้ว ล้วนแล้วแต่มีมูลเหตุและผล ห้ามหาเรื่องโดยไร้เหตุผล เพราะหากก่อให้เกิดผลกรรมขึ้นมาล่ะก็ จะไม่สามารถหลุดพ้นได้อีกแลย
“ลงเรือกันเถอะ” หลี่ชิเย่มองดูเวลาแล้วเห็นว่าได้เวลาแล้ว จึงกล่าวกับธิดาราชันฉีหลิน จากนั้น ก้าวลงเรือข้ามฟากไป
เมื่อธิดาราชันฉีหลินเห็นหลี่ชิเย่ลงเรือข้ามฟากแล้ว นางจึงไม่ลังเลที่จะลงตาม แม้จะกล่าวว่าคนที่ลงเรือข้ามฟากไปแล้วไม่เคยมีใครมีชีวิตกลับมาสักคน กระทั่งจอมเทพระดับสูงก็ไม่เว้น แต่ ธิดาราชันฉีหลินกลับมีความเชื่อมั่นในตัวของหลี่ชิเย่เปี่ยมล้น ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ใดก็ตาม ขอเพียงมีหลี่ชิเย่อยู่ด้วยนางก็ไม่หวั่น
“คนโหดอันดับหนึ่งและธิดาราชันฉีหลินลงเรือข้ามฟากไปแล้ว” เวลานี้เกิดฮือฮากันขึ้นมา ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่กับธิดาราชันฉีหลิน เมื่อมองเห็นทั้งสองคนก้าวลงเรือข้ามฟากไป
“คนโหดอันดับหนึ่งออกจะชั่วร้ายผิดปรกติไปแล้ว แม้แต่สถานที่เช่นนี้ก็กล้าไป เจ้าหมอนี่เหมือนว่าไม่มีเรื่องอะไรที่ไม่กล้าทำ” ยอดฝีมือถึงกับตกใจระคนกับเหนือความคาดคิด เมื่อเห็นหลี่ชิเย่กับธิดาราชันฉีหลินก้าวลงเรือข้ามฟากไป
ขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ระหว่างตื่นตะลึงและเหนือความคาดคิดนั้น ผีดิบสงฆ์ได้พายเรือข้ามฟากออกไปอย่างช้าๆ โดยไม่ได้รอใครทั้งสิ้น
เรือข้ามฟากเป็นเช่นนี้ตลอดมา เว้นช่วงระยะเวลาหนึ่งพวกมันก็จะปรากฏที่ท่าข้าม มันจอดอยู่บริเวณท่าข้ามเพียงระยะเวลาอันสั้น จากนั้น ไม่ว่าจะมีใครลงเรือหรือไม่ก็ตาม เมื่อถึงเวลาผีดิบสงฆ์ก็จะพายเรือออกไปจากท่าข้าม
เล่าลือกันว่า นับตั้งแต่วันที่ปรากฏตัวขึ้นมาจนกระทั่งปัจจุบัน พวกมันจะปรากฎขึ้นที่ท่าข้ามตรงตามเวลา และจากไปเมื่อได้เวลาโดยเป็นเช่นนี้ไม่เคยขาด
ไม่มีใครรู้ว่าเรือน้อยลำนี้มาจากที่ใด และแล่นไปยังที่ใด แม้ว่ามีผู้ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นรุ่นปราศจากผู้ต่อกรจำนวนไม่น้อยเคยลงเรือข้ามฟากลำนี้ไป เพื่อต้องการไขปริศสาเรื่องเรือข้ามฟาก แต่บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่เคยได้ชื่อว่าปราศจากผู้ต่อกรแห่งยุคต่างไม่ได้มีชีวิตรอดกลับมาสักคน
ด้วยเหตุนี้เอง จากการเล่าลือกันรุ่นสู่รุ่น ทำให้เรือข้ามฟากกลายเป็นเรือมรณะที่พูดกันติดปากของผู้คนจำนวนมาก ภายหลังจึงมีคนที่ยินดีลงเรือข้ามฟากลดน้อยลงทุกที
เวลานี้ เรือข้ามฟากได้นำหลี่ชิเย่และธิดาราชันฉีหลินแล่นออกจากท่าข้ามอย่างช้าๆ ทุกคนต้องมองดูเรือข้ามฟากค่อยๆ หายไปในแม่น้ำเหิงเหอช้าๆ ด้วยความเหม่อลอย เมื่อลับตาไปแล้วทุกคนจึงได้ละสายตากลับมา
“ฮึ นับจากนี้ไป บนโลกนี้ไม่มีคนโหดอันดับหนึ่งที่ว่าอีกแล้ว การลงเรือข้ามฟากต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แม้แต่จอมเทพระดับสูงยังรอดกลับมาไม่ได้ นับประสาอะไรกับเขา” มียอดฝีมือเผ่าสวรรค์ส่งเสียงเย็นชาออกมา หลังจากมองเห็นหลี่ชิเย่และธิดาราชันฉีหลินหายไปในแม่น้ำเหิงเหอแล้ว
เนื่องจากระยะหลังมานี้ คนที่ถูกหลี่ชิเย่สังหารไปล้วนแล้วแต่เป็นคนของเผ่าสวรรค์ของพวกเขา ดังนั้น จึงมียอดฝีมือเผ่าสวรรค์จำนวนไม่น้อยที่มีอคติต่อหลี่ชิเย่
“เสียดายก็แต่ธิดาราชันฉีหลิน” มีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ถึงกับกล่าวด้วยความรู้สึกเสียดายว่า “ไม่ว่าจะเป็นด้านรูปโฉม หรือด้านพรสวรรค์ ธิดาราชันฉีหลินก็นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของชิงโจว เป็นสตรีผู้สูงศักดิ์ อีกไม่กี่ปีนางจะต้องได้สืบทอดตำแหน่งกษัตริย์ของตระกูลราชันฉีหลินแน่นอน ต่อให้นางไม่มีใจทะเยอทะยานที่จะสืบทอดชะตาฟ้า…”
“…ก็ต้องได้เป็นสุดยอดจอมเทพอย่างแน่นอน แต่ นางกลับใกล้ชิดกับคนโหดอันดับหนึ่งเสียนี่ มาคราวนี้เกรงว่าแม้แต่ชีวิตของตัวเองก็เดิมพันเข้าไปด้วย” เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้แล้วถึงกับทอดถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม และรู้สึกจิตตกอยู่บ้าง
“ฮึ เจ้าคนโหดอันดับหนึ่งที่น่าชังนัก ตัวเองไปรนหาที่ตายก็ช่างเถอะ ทำไมจะต้องพาธิดาราชันฉีหลินไปด้วยเล่า ตัวเองคิดไม่ตกเองแล้วทำไมต้องพ่วงเอาธิดาราชันฉีหลินเข้าไปด้วย! ต้องเป็นเขาที่อาศัยวิชามารทำให้ธิดาราชันฉีหลินมึนงงแน่นอน! ธิดาราชันฉีหลินยังมีอนาคตอีกไกล ต้องมาถูกคนโหดอันดับหนึ่งทำให้ต้องตาย” มีผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยในชิงโจวที่หลงรักในตัวของธิดาราชันฉีหลิน ดังนั้น เมื่อเห็นธิดาราชันฉีหลินติดตามหลี่ชิเย่หายไปท่ามกลางแม่น้ำเหิงเหอจึงกล่าวด้วยความแค้นเคือง พวกเขาถึงกับเกลียดหลี่ชิเย่จนเข้ากระดูกดำ
“เจ้าคนโหดอันดับหนึ่งผู้นี้ชั่วร้ายผิดปรกติยิ่งนัก ทักษะยุทธอ่อน แต่กลับปราศจากผู้ต่อกร ชั่วร้ายผิดปรกติสุดๆ ข้ากลับคาดหวังเขาสามารถสร้างปาฏิหาริย์ขึ้นมา พันล้านปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครที่ลงเรือข้ามฟากแล้วมีชีวิตรอดกลับมาได้ ทุกคนต่างผิดหวังกับเรือข้ามฟากไปแล้ว ถ้าหากคนโหดอันดับหนึ่งสามารถมีชีวิตรอดกลับมา ย่อมเป็นการนำมาซึ่งความหวังให้กับชนรุ่นหลัง บางทีบนโลกนี้อาจจะมีแดนนิพพานจริงๆ” แม้ว่ามีผู้คนจำนวนมากคิดว่าหลี่ชิเย่ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่า ผู้ยิ่งใหญ่รุ่นอาวุโสบางส่วนกลับเฝ้าปรารถนาอยู่ในใจให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น พวกเขากลับคาดหวังว่าหลี่ชิเย่สามารถรอดชีวิตกลับมา
ถ้าหากมีผู้ที่สามารถรอดชีวิตกลับมาจากเรือข้ามฟากได้ล่ะก็ เช่นนั้นแล้วก็จะเต็มไปด้วยความน่าจะเป็นนับไม่ถ้วนในอนาคต! บางทีบนโลกนี้อาจจะมีการดำรงอยู่ของแดนนิพาน และหรือการดำรงอยู่ของชีวิตที่อมตะจริงๆ
น้ำในแม่น้ำเหิงเหอยังคงไหลรินอยู่เงียบๆ ธิดาราชันฉีหลินติดตามหลี่ชิเย่นั่งอยู่บนเรือข้ามฟาก เวลานี้ธิดาราชันฉีหลินจ้องมองไปยังระยะห่างไกล มองไม่เห็นท่าข้ามของแม่น้ำเหิงเหออีกแล้ว จากนั้นมองไปฝั่งตรงข้าม ปรากฎว่าฝั่งตรงข้ามยังคงคลุมเครือมองเห็นสภาพของฝั่งตรงข้ามได้ไม่ชัดเจน
เมื่อละสายตากลับมา เห็นผีดิบสงฆ์ยังคงไม่มีท่าทีใดๆ ทั้งสิ้น เพียงพายเรือข้ามฟากไปอย่างเย็นชาเท่านั้นเอง
ขณะที่เรือข้ามฟากแล่นอยู่บนแม่น้ำเหิงเหอ ทันใดนั้นเอง ธิดาราชันฉีหลิน บังเกิดภาพลวงตาขึ้นมาว่า เหมือนว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในมิตินี้อีกแล้ว ไม่ได้อยู่ในชิงโจว และไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้ พวกเขาที่นั่งอยู่บนเรือข้ามฟากได้หลุดพ้นจากกฎแห่งกรรมทั้งปวงบนโลก กำลังพายเรือแล่นไปบนสายน้ำแห่งกาลเวลาสายหนึ่งที่ไม่มีใครทราบอย่างช้าๆ
บางทีอาจเป็นไปตามที่หลี่ชิเย่ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น แม่น้ำเหิงเหอหาใช่เป็นแม่น้ำสายหนึ่งอยู่แล้ว มันเกิดจากการรวมตัวกันของความเชื่อนับไม่ถ้วนของยุคสมัยหนึ่ง มันไหลรินอยู่ในยุคสมัยหนึ่ง แม้ว่ายุคสมัยดังกล่าวจะไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้วก็ตาม มันยังคงไหลรินโดยไร้ซุ่มไร้เสียงอยู่อย่างนี้
เกรงว่าไม่ว่าผู้ใดก็ตามต้องรู้สึกหวาดกลัวจนลนลานเมื่อต้องการลอยล่องอยู่ท่ามกลางแม่น้ำเหิงเหอในลักษณะเช่นนี้ ไม่เว้นแม้แต่ธิดาราชันฉีหลิน เนื่องจากนางรู้สึกว่าหากเป็นนางที่นั่งมากับเรือข้ามฟากลำนี้เพียงลำพังคนเดียวล่ะก็ เกรงว่าคงไม่สามารถกลับไปได้ตลอดกาล
ธิดาราชันฉีหลินละสายตากลับมา ยามที่สายตาของนางตกลงที่ใบหน้าที่สงบนิ่งของหลี่ชิเย่ทีใด หัวใจของนางพลันรู้สึกผ่อนคลายลงทันที ขอเพียงมีหลี่ชิเย่อยู่ข้างกาย หัวใจของนางก็สงบสุขยิ่งนัก ไม่รู้ว่าคำว่าอันตรายคืออะไร
“เรือข้ามฟากจะพาพวกเราไปที่ไหน? ไปแดนนิพพานรึ?” หลังจากที่ธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาแล้ว เอ่ยถามับหลี่ชิเย่อย่างแผ่วเบา
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะ ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “นี่มันไม่ใช่ยุคสมัยของพวกเราอีกแล้ว และไม่ได้มีแดนนิพพานอีกต่อไป แดนนิพพานในอดีตที่ว่าได้กลายเป็นแดนมรณะไปแล้ว เรือน้อยลำนี้จะพาพวกเราไปยังแดนมรณะ”
“พาพวกเราไปแดนมรณะ คือสถานที่ที่ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมานั้นหรือ?” ภายในใจของธิดาราชันฉีหลินรู้สึกตระหนกขึ้นมา
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “ต่อให้เป็นจอมเทพระดับสูงก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ แต่ว่า พวกเราจะไม่ไปที่นั่น”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ธิดาราชันฉีหลินตะลึง เพราะมันเป็นคำพูดที่ขัดแย้งกันเองของหลี่ชิเย่ เรือข้ามฟากจะพาพวกเขาไปยังแดนมรณะ แต่ว่า พวกเขาจะไม่ไปที่แดนมรณะ
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ไม่พูดอะไรอีก เพียงนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ หลับตาพักผ่อนกายา ขณะที่ธิดาราชันฉีหลินก็ไม่ได้ถามต่อและเลียนแบบท่าทางของหลี่ชิเย่ นั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่พลันลืมตาขึ้นมากะทันหัน และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “แดนมรณะอยู่ตรงหน้านี้เอง”
พลันที่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำเอาธิดาราชันฉีหลินตกใจยิ่งนัก นางรีบลืมตาขึ้นทันที
แต่ แม่น้ำเหิงเหอยังคงไหลรินไปเงียบๆ แต่เวลานี้เมื่อมองออกไปด้านหน้า ทำเอาธิดาราชันฉีหลินแทบตกใจจนกระโดดตัวลอย เห็นเพียงข้างหน้าปรากฏเป็นหลุมดำขนาดยักษ์ และหลุมดำดังกล่าก็คือบริเวณสุดปลายทางของแม่น้ำเหิงเหอ
อีกทั้งบริเวณที่เป็นสุดปลายทางใช่จะมีเพียงหลุมดำหลุมเดียว มันมีหลุมดำอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นหลุมดำแต่ละหลุมที่ซ้อนตัวกันอย่างแนบแน่น เรียกว่าซ้อนกันไปเรื่อยๆ เสมือนหนึ่งไม่มีสิ้นสุดอย่างนั้น
สิ่งที่ทำให้รู้สึกน่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ หลุมดำแต่ละหลุมที่เห็นล้วนแล้วแต่หมุนเคลื่อนอยู่ โดยที่หลุมดำแต่ละหลุมต่างหมุนไปคนละทิศคนละทาง เหมือนว่าทุกๆ หลุมดำล้วนแล้วแต่เชื่อมต่อไปยังโลกที่แตกต่างกันออกไป
……………………………………………………………….