“ถ้าหากท่านจะมาข่มขู่กันเช่นนี้ มันก็เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้” เสียงดัง “ตูม” แมวมังกรกล่าวพร้อมกับหายตัวไปและปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง
“ข้าไม่จำเป็นต้องข่มขู่ ถ้าหากข้าต้องการข่มขู่ล่ะก็ ข้าคงข่มขู่ตั้งแต่มาที่นี่ครั้งก่อนหน้าแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “ข้าเพียงอยากจะบอกเจ้าว่า นี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้ามาที่นี่ หลังจากนี้ไปจะไม่มาที่ฝอเหย่อีกต่อไป ดังนั้นกล่าวสำหรับข้าแล้ว ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไร ข้าก็ต้องการเหมือนเดิม มิฉะนั้นล่ะก็ ให้ฝอเหย่หายสาบสูญไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาก็แล้วกัน!”
“ข้าเองก็อยากจะบอกท่านเหมือนกัน” แมวมังกรส่ายหน้า และกล่าวว่า “เสียดาย พวกเราก็ไม่รู้คำตอบเช่นกัน เนื่องจากพวกเราไม่ได้เข้าไปร่วมในเรื่องนี้ ได้แต่บอกว่าเสียใจ พวกเราช่วยอะไรท่านไม่ได้”
เมื่อได้ฟังคำจากแมวมังกรแล้ว หลี่ชิเย่หรี่ตาทีหนึ่ง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ถ้าเป็นเช่นนี้ ครั้งนั้นผู้ที่ค้นหาโลกธาตุใบนั้นไม่ใช่แปดอริยสงฆ์พวกเจ้า แต่เป็นอริยสงฆ์องค์ที่จากไปรูปนั้น”
“ถูกต้อง” แมวมังกรกล่าวว่า “ครั้งนั้นสิ่งที่พวกเราศึกษาค้นคว้าคือการเผชิญหน้ากับภัยพิบัติ แต่ว่าเขามีแนวความคิดอย่างอื่น เขาคิดว่าวิธีการของพวกเราใช้ไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงมีการศึกษาแนวทางมากกว่านั้น รวมทั้งโลกธาตุที่ไม่มีตัวตนนั่น”
“ข้าเข้าใจแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “มิน่าเล่าเขาถึงหนีรอดไปได้ในขณะที่ยุคสมัยกำลังล่มสลาย เสียดาย เขายังคงไม่สามารถปล่อยวางได้ ปล่อยวางความยึดติดที่อยู่ภายในใจ!”
“จะมีใครเล่าที่สามารถปล่อยวางจิตที่ยึดติดภายในใจได้ พระก็ไม่สามารถจิตว่างเปล่าตลอดกาล” แมวมังกรกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ท่านเองก็ไม่สามารถปล่อยวางจิตที่ยึดติดมิใช่รึ ไม่ว่าใครก็ต้องไปต้อนรับการต่อสู้เป็นครั้งสุดท้าย บางทีท่านอาจเคยเป็นเหมือนเช่นเขา ตามหาวิธีการดำรงอยู่ในโลกธาตุแห่งหนึ่งจากโลกธาตุที่ไม่มีตัวตนนั่น”
“ไม่ ข้าไม่ใช่คนที่มีจิตเมตตาอย่างนั้น” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและยิ้มกล่าวว่า “ที่ข้าตามหาโลกธาตุที่ไม่มีตัวตนก็เพื่อตัวข้าเอง เพียงแค่นี้เท่านั้น ไม่ได้เพื่อผู้คนในโลกและเวไนยสัตว์[1]”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้แล้วได้หัวเราะและกล่าวว่า “ในเมื่อที่ตรงนี้ของพวกเจ้าไม่มีสิ่งที่ข้าต้องการ ได้เวลาอันสมควรที่ข้าควรจะไปจากได้แล้ว”
“บางที ท่านอาจสามารถนำเอาสิ่งของสิ่งหนึ่งไปด้วย” ในขณะนี้ แมวมังกรได้แบมือออกมา ฝ่ามือที่มีขนปุกปุยปรากฏเมล็ดพันธุ์วางอยู่เม็ดหนึ่ง
ยามที่เมล็ดพันธุ์เมล็ดนี้ปรากฏนั้น มองเห็นเพียงพุทธรัศมีที่แผ่ประกายไปทั่วทิศ แค่เมล็ดพันธุ์เล็กๆ เมล็ดหนึ่งเหมือนหนึ่งได้บ่มฟักโลกธาตุทั้งหมดเอาไว้ เมล็ดพันธุ์ได้แผ่พลังชีวิตที่ไร้ขอบเขตสิ้นสุดและน่าเกรงขามออกมา เหมือนว่าภายในเล็ดพันธุ์สามารถให้กำเนิดเวไนยสัตว์เป็นล้านล้านชีวิต ประหนึ่งว่าเมื่อเมล็ดพันธุ์เมล็ดนี้งอกและเติบโตขึ้นเมื่อไร ก็สามารถบุกเบิกฟ้าดินได้อย่างนั้น
“หากเมล็ดพันธุ์เมล็ดนี้งอกออกมาก็หมายถึงโลกเจิดจรัส” แมวมังกรกล่าวว่า “หากจะมีใครสามารถเพาะเมล็ดนี้ได้คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากท่าน ท่านเป็นผู้ที่ก้าวข้ามยุคสมัยของพวกเรา และเป็นผู้ที่สามารถบรรลุธรรมภายใต้ต้นไม้ต้นนี้ ในอนาคตท่านจะต้องเป็นผู้ที่สามารถสืบทอดยุคสมัยที่ใหม่ทั้งหมด บุกเบิกเส้นทางเส้นใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน ท่านจะต้องเป็นผู้สืบทอดอดีตและเบิกโลกอนาคต”
“ของดีเช่นนี้พวกเจ้าเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา และกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่เด็กเพิ่งเกิด เมื่อเห็นของวิเศษแล้วก็น้ำลายหกทันที เมล็ดพันธุ์กฎแห่งกรรมนี้นับเป็นของดีจริงๆ เป็นผลจากการบ่มฟักมาทั้งยุค เสียดาย ในขณะเดียวกันของเช่นนี้ก็ได้สืบทอดกฎแห่งกรรมของยุคสมัยยุคหนึ่ง…”
“…แม้ว่ามันสามารถนำพาประโยชน์ให้เจ้ามหันต์ และสามารถนำมาซึ่งกฎแห่งกรรมที่น่ากลัวเช่นกัน! ตัดกฎแห่งกรรม เบิกโลกธาตุช่างเป็นเรื่องที่ยุ่งยากเสียนี่กระไร ดังนั้น ของเช่นนี้พวกเจ้ายังคงเก็บเอาไว้ใช้เองเถอะ เหลือไว้ให้กับผู้ที่มีวาสนาก็แล้วกัน” เมื่อหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้แล้วได้ลุกขึ้นยืน
“นอกเหนือจากเมล็ดพันธุ์เมล็ดนี้แล้ว บางทีพวกเราอาจสามารถนำพาประโยชน์ให้กับท่านมากมายกว่านี้” แมวมังกรกล่าวว่า “ขอเพียงท่านสามารถนำเอาเมล็ดพันธุ์เมล็ดนี้ออกไป และปลูกมันเอาไว้ ท่านจะสามารถได้รับสิ่งที่มากกว่าในโลกธาตุใบนี้ ท่านเป็นผู้ที่ไม่ธรรมดา และรู้ว่าต่อให้เป็นโลกธาตุที่เจิดจรัสมากกว่านี้ก็ไม่สามารถหลบหลีกพ้นจากการล่มสลายได้ หรือท่านไม่เคยนึกถึงยามที่โลกธาตุล่มสลายจะไปยังที่แห่งใด?”
“เทศนาข้าหรือ?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา เดิมที่ลุกขึ้นมาก็ได้นั่งลงอีกครั้งหนึ่ง เขายิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “ถ้าหากเจ้าพูดถึงเรื่องของวิเศษ จะเอาของวิเศษโน่นนี่นั่นมาแลกเปลี่ยนกับข้าอะไรนั่น พูดตรงๆ เลยนะว่าข้าไม่สนใจ ในโลกนี้ของวิเศษมากมายดั่งดอกเห็ด เหตุใดข้าจะต้องไปแปดเปื้อนกฎแห่งกรรมของพวกเจ้า”
เมื่อหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้แล้วได้หยุดนิดหนึ่ง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ส่วนเรื่องที่เกี่ยวกับโลกธาตุล่มสลาย เรื่องนี้ข้ารู้ดี ที่ข้าเคยศึกษาค้นคว้าไม่ได้มีเพียงยุคสมัยของพวกเจ้าเท่านั้น ดังนั้นข้าจึงรู้ว่าหากวันนั้นมาถึงจะเป็นอย่างไร และข้ารู้ด้วยว่าจะมีผลอะไรตามมา”
แมวมังกรกล่าวว่า “ท่านคือปรัชญาเมธีผู้หนึ่ง ท่านมีความรู้และความคิดเห็นอันประเสริฐ ควรจะรู้ว่าจะไปช่วยโลกได้อย่างไร แม้ว่าพวกเราจะประสบกับความล้มเหลว แต่ว่าพวกเราได้เคยเผชิญหน้ามาแล้ว จึงเข้าใจในพลังเช่นนี้เป็นอย่างดี หากเป็นไปได้ พวกเราสามารถถ่ายทอดหลายสิ่งหลายอย่างให้กับท่าน”
“ไม่ เจ้าคิดผิดแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ข้าไม่ใช่พระเจ้าที่ช่วยโลก และข้าไม่เคยคิดจะช่วยโลก โลกจะเป็นอย่างไรนั้น พูดตามจริงนะข้าไม่เคยไปนึกถึงมากมายนัก ถ้าหากพวกเจ้าคิดว่าสามารถถ่ายทอดหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องที่จะช่วยโลกล่ะก็ บอกได้แต่เพียงพวกเจ้าหาผิดคนแล้วหละ”
“หากโลกล่มสลายแล้วท่านไม่ช่วย หรือว่าท่านจะหลบซ่อนตัวอยู่กับความมืด?” แมวมังกรได้พูดขึ้นมา
“เจ้าคิดมากไปแล้วหละ” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าและยิ้มกล่าวว่า “เพราะอะไรหากไม่ช่วยโลกแล้วจะต้องไปหลบซ่อนตัวในความมืด? ช่วยหรือไม่ช่วยโลกมันไม่เกี่ยวอะไรกับข้า สิ่งที่ข้าทำคือการกำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางทางของข้าเท่านั้นเอง ใต้เท้าของข้าก็คือโลกใยจะต้องไปช่วย! กลยุทธของพวกเจ้าผิดพลาดตั้งแต่เริ่มต้น ในขณะที่การทำลายบังเกิดขึ้นมาพวกเจ้ากลับไปช่วยโลก แต่ไม่ใช่ตัดความยึดติดที่อยู่ในใจของตน…” “…ท่ามกลางโลกมนุษย์ที่กว้างใหญ่ไพศาล สวรรค์ไม่เคยเวทนาสงสาร และไม่มีผู้ใดไปเวทนาสงสาร หากมีใครที่ไปเวทนาสงสารรังแต่สูญเสียโอกาสเท่านั้นเอง พวกเจ้าสามารถช่วยได้หนึ่งยุค สามารถช่วยเหลือได้ตลอดกาลรึ? มีเพียงตัดมันทิ้งเสีย โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลจึงจะคงอยู่ได้ตลอดไป ส่วนที่ว่าหลังจากตัดทิ้งซึ่งจิตที่ยึดติดแล้วจะคงโลกธาตุเอาไว้ได้หรือไม่ ต้องถามจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนแล้ว”
ครั้นหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “โลกใบนี้ ไม่เคยมีพระเจ้าที่ช่วยโลกอยู่แล้ว เนื่องจากทุกสิ่งล้วนแล้วแต่อยู่ที่จิตของมนุษย์ อย่าลืมประโยคหนึ่งที่ว่าจิตที่ละอายต่อใจไปสิ! ดังนั้น ทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ โลกแตกสลายก็ดี ความมืดมิดก็ช่าง ล้วนอยู่ในใจของพวกเราทั้งสิ้น ดังนั้น เจ้าช่วยโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลได้ ช่วยจิตใจของมนุษย์ได้หรือ?”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำเอาแมวมังกรถึงกับนิ่งเงียบ การก้าวมาถึงระดับอย่างพวกเขามองทะลุปรุโปร่งทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว เพียงแต่มีจุดยืนเช่นใดเท่านั้นเอง
“ยุคสมัยของพวกเจ้า พุทธรัศมีส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเสมอภาค มีจิตเมตตากรุณา แต่กลับไม่สามารถช่วยเหลือโลกธาตุพวกเจ้าเอาไว้ได้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ทุกคนต่างรู้ว่า การช่วยโลกใช่จะทำให้ภายในวันเดียว สวรรค์โจรก็รู้ข้อนี้ดี ในโลกนี้จะมีใครที่สามารถช่วยโลกได้? เพียงทำได้แค่เวียนว่ายตายเกิดไปครั้งแล้วครั้งเล่าเท่านั้นเอง สิ่งนี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวเจ้าหรือตัวข้า และไม่อยู่ที่สวรรค์โจร อยู่ที่จิตของมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ภายในจิตใจของชาวโลก”
“ถ้าหากท่านไม่ช่วยชาวโลก ไฉนจึงต้องตามหาอย่างยากลำบาก แล้วเหตุใดจึงยึดติดไม่ยอมปล่อยวาง” สุดท้ายแล้ว แมวมังกรได้กล่าวขึ้นมาช้าๆ “อาศัยโชควาสนาของท่าน เพียงพอที่จะหนีไปให้ไกล ไฉนท่านจะต้องทนทุกข์ต่อสู้ให้ถึงที่สุด”
“ข้าต้องการเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ที่ข้าต่อสู้จนถึงที่สุด สิ่งที่ทำไม่ได้เพื่อช่วยชาวโลก เพียงต้องการคำตอบๆ เดียวเท่านั้น!”
“โลกไม่มีคำตอบแต่แรกอยู่แล้ว ไม่มีใครสามารถตอบคำถามของท่านได้ หรือบางทีคำตอบนั้นได้อยู่ในใจของท่านมานานแล้ว” แมวมังกรกล่าวว่า “ต่อให้ท่านต่อสู้จนถึงที่สุดก็ไม่เห็นว่าจะได้คำตอบ!”
“ไม่มีปัญหา ต่อใหข้ามีคำตอบภายในใจอยู่แล้ว ข้ายังคงต้องการคำตอบอีกคำตอบหนึ่ง” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “ถ้าหากไม่ให้คำตอบกับข้า ข้าจะอัดมันจนกระทั่งยอมให้คำตอบกับข้า!”
“หลังจากท่านได้คำตอบแล้วหละ?” แมวมังกรได้กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ถ้าหากท่านทำได้สำเร็จ ซึ่งเสมือนดั่งที่ท่านกล่าวไว้ว่า โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลก็อยู่ใต้ฝ่าเท้าของท่าน สำหรับโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนี้แล้ว ท่านจะช่วยหรือไม่ช่วย?”
“ข้าบอกไปแล้วว่า โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเรา อยู่ที่จิตใจของมนุษย์โลก” หลี่ชิเย่ยิ้มอย่างมีเลศนัย กล่าวว่า “ช่วยหรือไม่ช่วยโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลขึ้นอยู่กับตัวของมนุษย์โลกเอง จำเอาไว้ จิตที่ละอายต่อฟ้าดิน คำพูดคำนี้ไม่ใช่คำเล่าลือ และไม่ใช่ความเท็จ ไม่ใช่พูดขึ้นมาเลื่อนลอย มันดำรงอยู่เช่นนั้นตลอดมา…”
“…ดังนั้น ยามที่ชาวโลกแหงนมองท้องฟ้า ยามที่ภัยพิบัติมาเยือน ให้เอามือลูบอกตัวเองแล้วถามตัวเองให้ดีๆ หากมีวันนั้นมาถึงจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น ความละอายต่อฟ้าดินคงอยู่ตลอด มันหาใช่เป็นเรื่องเล่าลือ เช่นนั้นแล้ว โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลก็คงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีคำว่าทำลายโลกอะไรที่ว่า และไม่ได้มีเวียนว่ายตายเกิดที่ว่า”
เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้จ้องมองแมวมังกรทีหนึ่ง ยิ้มอย่างมีเลศนัยและกล่าวว่า “การที่พวกเจ้าได้ปลูกหน่อพุทธะเอาไว้ โปรดเวไนยสัตว์ ถ้าหากไม่มีความชั่วร้ายแล้วจะโปรดได้อย่างไรกัน? พวกเจ้าโปรดมาแล้วยุคแล้วยุคเล่าแต่กลับไม่สามารถโปรดเหล่าเวไนยสัตว์ได้ เป็นเพราะพวกเจ้ามีความเมตตากรุณาไม่เพียงพอ หรือว่าบนโลกนี้มีความชั่วร้ายมากเกินไป? หรือบางทีบนโลกไม่มีดีชั่วอยู่แล้ว ดังนั้นจะมาโปรดได้อย่างไรกัน?”
แมวมังกรถึงกับนิ่งเงียบหลังจากฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้ว
“ดังนั้น เส้นทางของข้าแตกต่างจากทุกๆยุคสมัย สำเร็จเป็นพระก็ดี กลายเป็นมารก็ช่าง ต่อให้สำเร็จเป็นเทพเป็นเซียนล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องของชาวโลก ข้าแค่มอบสิ่งของสิ่งหนึ่งให้กับยุคสมัยนี้เท่านั้น…ความละอายต่อฟ้าดิน!” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ได้กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจังว่า “ในอนาคตโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลจะดับสูญ ร่วงโรยหรือเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่จิตของแต่ละคน เมื่อข้าต่อสู้จนถึงที่สุดแล้ว และความละอายต่อฟ้าดินได้อยู่ที่ตรงนั้นล่ะก็ สิ่งที่ข้าสมควรจะทำก็ได้เสร็จสิ้นลงแล้ว…”
“…โลกที่กว้างใหญ่ไพศาลจะดำรงคงอยู่หรือดับสูญ ทั้งหมดทั้งปวงนี้ล้วนแล้วแต่มอบให้กับชาวโลก นี่เป็นหน้าที่ของคนทุกคน เป็นสิ่งที่มีอยู่และติดตัวมากับทุกคนที่เกิดมาอยู่แล้ว! ดังนั้น โลกนี้จึงไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลก ไม่มีใครสามารถช่วยโลกของตนเองได้ เจ้าช่วยได้ชั่วคราวแต่ไม่สามารถช่วยได้ตลอดไป! ขอเพียงทุกคนมีจิตที่นึกคิดอย่างหนึ่ง นั่นแหละที่สามารถช่วยโลกของตนเองได้ หาไม่แล้ว พระเจ้าช่วยโลกที่ว่ามันก็แค่การปล่อยตามใจให้กับโลกที่กว้างใหญ่ไพศาลนั่นเท่านั้นเอง”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ท่าทีของเขาดูเข้มงวด และหนักแน่นยิ่ง เขาไม่เคยพูดคำพูดลักษณะเช่นนี้กับผู้ใดมาก่อน เนื่องจากมีเพียงผู้ที่อยู่ในระดับนี้เท่านั้น จึงสามารถถกปัญหาเช่นนี้ได้อย่างแท้จริง หาไม่แล้ว คนอื่นๆ ได้แต่มองเงาจันทราที่อยู่ในน้ำ หรือชื่นชมบุปผาในหมอกเท่านั้น
“ความละอายต่อฟ้าดิน…” สุดท้าย แมวมังกรได้พึมพำออกมา
“ดังนั้น ข้าไม่ใช่พระเจ้าที่ช่วยโลก พวกเจ้าเองก็ไม่ใช่พระเจ้าช่วยโลก” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ใช่ พวกเจ้าได้ปลูกเมล็ดพันธุ์พุทธะเอาไว้ เสียดาย กลับไม่ได้นำเมล็ดพันธุ์พุทธะปลูกลงกลางใจของผู้คน มิฉะนั้นล่ะก็บางทีพวกเจ้าอาจยังมีโอกาสรอดน้อยนิด เหมือนดั่งอริยสงฆ์อีกรูป ต่อให้เขาสามารถเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแล้วไง ต่อให้เขาสามารถต่อสู้จนถึงที่สุดแล้วไง? สุดท้ายแล้ว มันก็แค่ชะลอมตักน้ำมีแต่ความว่างเปล่าเท่านั้นเอง”
…………………………………………………….
[1] เวไนยสัตว์ คือสัตว์ที่สามารถสั่งสอนได้