“หมวกชั้นดี…” แม้แต่จินเก๋อที่มีชาติกำเนิดมาจากตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังยังต้องออกปากชื่นชม ไม่อาจไม่ยอมรับว่ามันคือของวิเศษที่สามารถทำให้ผู้คนหัวใจเต้นตูมได้ตามชิ้นหนึ่ง
ฉินไป่หลี่ก็ได้นั่งลงมา ยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ใช่เพียงแค่เป็นหมวกที่ดีใบหนึ่งเท่านั้น มันเป็นของวิเศษที่สุดยอดมากชิ้นหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะอยู่ในศาลเจ้าทองคำ ข้าจะต้องครอบครองหมวกใบนี้ให้จงได้ หมวกใบนี้มีประโยชน์กับข้าอย่างยิ่ง เสมือนหนึ่งเป็นสิ่งที่คู่กับข้าอย่างนั้น หากข้าได้ครอบครองหมวกใบนี้หล่ะก็ ต้องทำให้พลังต่อสู้ของข้าก้าวขึ้นไปได้อีกขั้นหนึ่งอย่างแน่นอน”
“ของวิเศษที่เหมาะสมหาได้ยาก” จินเก๋อก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับพยักหน้า พวกเขาที่ก้าวมาถึงขั้นนี้ ไม่ต้องการค้นหาอาวุธที่ทรงพลังที่สุดอีกแล้ว มักจะเป็นการค้นหาอาวุธที่เหมาะสมกับตนเองอยู่เสมอๆ มากกว่า
“เจ้าเองก็ไม่ธรรมดา” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “ในจังหวะเช่นนี้สามารถควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้ สะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรให้มั่นเอาไว้ สามารถทำได้ถึงจุดนี้นับว่าไม่ง่ายนัก”
“ความเป็นความตายอยู่แค่เอื้อม มีเพียงจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งดั่งเหล็กกล้าเท่านั้น” ฉินไป่หลี่หัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “หากเปลี่ยนเป็นอยู่สถานที่อื่น ข้าคงไม่สามารถสะกดความคิดละโมบที่อยู่ในใจเอาไว้ได้”
ด้านนอกศาลเจ้าทองคำ ผู้คนที่มองดูหมวกศักดิ์สิทธิ์ใบนี้แล้วถึงกับน้ำลายหกมีไม่รู้เท่าไร ต่อให้หมวกใบนี้ไม่แน่ว่าจะเหมาะสมกับพวกเขาก็ตาม ยังคงทำให้พวกเขาต้องหัวใจเต้นตูมตามเช่นกัน ทำให้พวกเขาบังเกิดความต้องการอยากได้ครอบครองมากทีเดียว
เหมือนเช่นที่ฉินไป่หลี่ได้พูดเอาไว้ว่า หมวกศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้เสมือนหนึ่งถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเขาอย่างนั้น ด้วยของวิเศษลักษณะเช่นนี้หากจะบอกว่าไม่ทำให้หัวใจต้องเต้นตูมตามหล่ะก็ เป็นเรื่องโกหกอย่างแน่นอน ของวิเศษชิ้นนี้นับว่าเหมาะสมกับฉินไป่หลี่เป็นอันมาก เพียงแต่ฉินไปหลี่ยังคงควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนในนาทีสุดท้ายเอาไว้ได้ สะกดความคิดละโมบของตนเอาไว้! ซึ่งเป็นบ่งบอกถึงความมั่นคงในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของฉินไป่หลี่ได้เป็นอย่างดี
“ไม่ทราบว่าสหายหลี่จะเลือกของวิเศษเช่นใดให้กับข้า?” ดวงตาทั้งสองของจินเก๋อพลันสุกใสขึ้น เมื่อเห็นฉินไป่หลี่สามารถควบคุมสถานการณ์เอาไว้ได้มั่น ในเวลานี้เขาก็มีปณิธานการต่อสู้ที่ฮึกเหิมอยากจะลองดูบ้างเหมือนกัน
นาทีนี้ใช่ว่าจินเก๋อต้องการจะเอาชนะเกมนี้ให้ได้ หรือต้องการเอาชนะหลี่ชิเย่ให้ได้ ในเวลานี้ เป็นจินเก๋อเองที่ได้ปลุกปณิธานการต่อสู้ของตนเองขึ้นมา เขาต้องการท้าสู้กับตนเอง
เฉกเช่นฉินไป่หลี่อย่างนั้น สุดท้าย เขายังคงสะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนเอาไว้ได้ เมื่อต้องเผชิญหน้ากับของวิเศษที่เหมาะสมกับตัวเขาถึงเพียงนี้ ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า ฉินไป่หลี่สามารถเอาชนะตนเองได้แล้ว
ในขณะนี้ จินเก๋อก็คิดจะท้าสู้กับตนเอง หากจะต้องเผชิญหน้ากับของวิเศษที่สามารถเย้ายวนใจตนตรงหน้า ตนเองสามารถสะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเหมือนดั่งฉินไป่หลี่ได้หรือไม่ ดังนั้น จินเก๋อจึงต้องการคำตอบ และต้องการทดลองสักครั้ง
“ในโลกของจ้านหวังแม้ว่าจะเป็นหนึ่งสำนักห้าราชัน” หลี่ชิเย่มองดูจินเก๋อและกล่าวเฉยเมยขึ้นว่า “แม้ว่าพวกเจ้าเองก็มีเคล็ดราชันอยู่ในความครอบครองเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ว่า รากฐานของเจ้ากลับไม่ได้อยู่ในโลกของจ้านหวัง ต้นกำเนิดรากฐานของเจ้าอยู่ที่สวรรค์! ดังนั้น สัญลักษณ์เทียนฉวนของเจ้าจึงแตกต่างจากผู้อื่น ตราสัญลักษณ์เทียนฉวนสีทองมีประกายที่ดุจดั่งกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไปดั่งสายน้ำ เป็นการบ่งบอกว่าเจ้าได้ฝึกเคล็ดวิชาสวรรค์มา”
ทุกคนต่างรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ในเวลานี้ ผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้าทองคำทั้งหมดทยอยกันจ้องมองไปที่สัญลักษณ์เทียนฉวนบริเวณหว่างคิ้วของจินเก๋อ
“ใช่จริงๆ ด้วย มีประกายของกาลเวลาที่เคลื่อนผ่านไปดั่งสายน้ำอยู่เล็กน้อย หากไม่พูดถึงยังไม่ทันได้สังเกตเสียด้วย” ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้วิพากวิจารณ์กันด้วยเสียงแผ่วเบา หลังจากที่ได้สังเกตดูอย่างละเอียดไปแล้ว ในเวลานี้ ทุกคนจึงได้พบว่าสัญลักษณ์เทียนฉวนของจินเก๋อเป็นเหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้จริงๆ ที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครสังเกตถึงมาก่อน
“สหายหลี่ไม่ธรรมดาจริงๆ มิน่าเล่าทุกคนต่างบอกว่าท่านนี่จัญไรยากจะหาผู้ใดเทียม!” จินเก๋อเองก็กล่าวด้วยท่าทีที่ตกใจว่า “สหายหลี่ถึงกับมองออกถึงต้นกำเนิดของข้า นับว่ายอดเยี่ยมมาก ในส่วนของบุคคลภายนอกท่านเป็นคนแรกที่สามารถมองออกได้ในทันที!”
จินเก๋อเองก็ยอมรับทั้งกายและใจ เมื่อหลี่ชิเย่สามารถดูออกถึงประวัติความเป็นมาของตนได้ในทันที แม้ว่าจะเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่ก็ตาม! เนื่องจากเว้นแต่ระดับบรรพบุรุษที่มีฐานะสูงส่งในตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง และผู้ได้รับความเคารพสูงสุดของสวรรค์แล้ว คนอื่นไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีกเลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบุคคลภายนอก
เวลานี้หลี่ชิเย่กลับพูดออกมาได้ถูกต้องอย่างง่ายดาย ช่างเป็นสายตาที่ร้ายกาจเหลือเกิน
การที่จินเก๋อยอมรับด้วยตนเอง ได้สร้างความตระหนกให้กับทุกๆ คน เนื่องจากทุกคนต่างรู้ดีว่า จินเก๋อนั้นได้สืบทอดตำแหน่งในตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังแล้ว และทุกคนรู้ว่าจินเก๋อนั้นได้ฝึกเคล็ดวิชาจอมราชันของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวัง แต่ไม่มีใครคิดว่าต้นกำเนิดของจินเก๋อถึงกับสืบสายมาจากสวรรค์
เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกสั่นเทา การที่จินเก๋อมีต้นกำเนิดมาจากสวรรค์ ย่อมบ่งบอกว่าเบื้องหลังของตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากเผ่าสวรรค์
แน่นอนที่สุด หลายคนที่นึกถึงเรื่องนี้อย่างรอบคอบแล้วก็ไม่รู้สึกว่ามันอยู่เหนือความคาดคิด จะอย่างไรเสียความสัมพันธ์ระหว่างตระกูลขุนนางโบราณจ้านหวังกับสวรรค์เป็นไปด้วยดีมาโดยตลอด โดยเฉพาะราชันสวรรค์เทียนตี้แล้วยิ่งมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแทบจะแยกกันไม่ออก
“เคล็ดวิชาลับสวรรค์แค่นั้นสามารถหลอกตาคนอื่นได้ แต่หลอกข้าไม่ได้” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “เจ้ามีสัจธรรมที่เรียบง่าย สามารถรองรับฟ้าดินได้ มีพลังอหังการที่แข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียม ด้วยพื้นฐานสัจธรรมลักษณะเช่นนี้เรียกได้ว่าพร้อมสรรพทั้งรุกและรับ เท่าที่ข้ารู้ ด้านในสุดของมุมนั้นมีถุงมือราชันอยู่ข้างหนึ่ง รับรองว่าเหมาะสมกับเจ้าเป็นที่สุด เมื่อมีถุงมือราชันนี้อยู่ในมือ สามารถกวาดล้างสิ้นใต้หล้า” กล่าวพลาง เขาได้ชี้ไปที่มุมขวามือสุดของบ้านหลังหนึ่ง
“ดี ข้าจะไปดูเดี๋ยวนี้” เมื่อจินเก๋อได้ยินคำจากหลี่ชิเย่แล้วก็ลุกขึ้นยืนทันทีและเดินไปทางนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
จากนั้น ได้ยินเสียงที่คุ้ยหาสิ่งของดังขึ้นมา เห็นจินเก๋อจัดการรื้อค้นสมบัติและของวิเศษที่กองอยู่ตรงนั้น ค้นเอาถุงมือข้างหนึ่งออกมาได้
สมควรรู้ว่า สิ่งที่กองสุมอยู่ ณ ที่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากทั้งสิ้น ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่เห็นแล้วก็ต้องน้ำลายหก แต่ จินเก๋อในเวลานี้ไม่ได้หวั่นไหวตรงเข้าไปหยิบเอาถุงมือข้างนั้น
ยามที่ถุงมือข้างนี้ถูกหยิบขึ้นมาได้เปล่งประกายวูบวาบ ถุงมือข้างนี้เสมือนถูกสร้างขึ้นจากทองคำอย่างนั้น มีเกล็ดปลาเรียงซ้อนกันไป ส่งประกายวูบวาบออกมา แต่ละเกล็ดคล้ายดั่งเป็นดวงตะวันดวงหนึ่ง
หลังจากที่จินเก๋อหยิบเอาถุงมือข้างนี้มาแล้วได้สวมมันโดยไม่ลังเล เขาจงใจท้าทายตัวเองโดยไม่ให้โอกาสตัวเองได้สยบใจเอาไว้ก่อน
“ตึง ตึง ตึง” เสียงโลหะดังขึ้นเป็นระลอก เมื่อจินเก๋อสวมใส่ถุงมือราชันกับมือแล้ว เห็นได้ว่าถุงมือราชันได้ขยายตัวยาวขึ้นๆ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็ปรากฏเกล็ดปลาที่ปกคลุมมือขวาของจินเก๋อเป็นชั้นๆ จนทั่ว มือขวาในขณะนี้ส่งประกายสีทองเจิดจ้า เหมือนว่ามือขวาข้างนั้นของเขาถูกหล่อขึ้นมาด้วยทองคำอย่างนั้น
“แว้งค์” เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนี้เอง สัญลักษณ์เทียนฉวนที่อยู่ระหว่างคิ้วของจินเก๋อเหมือนได้รับการกระทบกระเทือนทีหนึ่ง เหมือนว่าได้พลังยิ่งใหญ่มากในทันใด ทำให้สัญลักษณ์เทียนฉวนเปล่งประกายขึ้นมาในทันใด
“เป็นพลังที่แข็งแกร่งมาก” จินเก๋อถึงกับตกใจ พริบตาเดียวนั่นเองเขาหลับตาสองข้างลงพลัน สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งเพื่อสยบจิตใจเอาไว้
เนื่องจากถุงมือราชันข้างนี้เสมือนหนึ่งมีพลังมหาศาลอยู่ในตัว พลันสามารถทะลุผ่านเข้าไปทั่วร่างของเขา พลันทำให้ตัวเขาเหมือนหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ถุงมือราชันข้างนี้ได้สร้างผลกระทบต่อเขาไม่น้อย ดังนั้น เขาจึงต้องทำการสยบจิตใจเอาไว้โดยพลัน ถ้าหากเขาไม่สามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้ ไม่สามารถสยบจิตละโมบของตนเอาไว้ เขาจะต้องตายอย่างไม่น่าสงสัย
“เปิด…” ในเวลานี้เอง จินเก๋อคำรามเสียงทุ้มต่ำ โดยได้นำลมปราณของตนถ่ายทอดเข้าไปยังถุงมือราชันข้างนี้
“ตูม…” เสียงดังสนั่น ในเสี้ยววินาทีนี่เอง ถุงมือราชันได้พวยพุ่งประกายสีทองไม่มีสิ้นสุดออกมา ส่องสว่างไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ภายใต้ประกายที่น่าเกรงขามเช่นนี้ ทำให้ผู้คนยากที่จะลืมตาขึ้นมา
“อามิตาพุทธ…” ในเวลานี้เอง พุทธวาจานี้ดังก้องไปเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ทันใดนั้น เห็นมือขวาของจินเก๋อปรากฎแคว้นพุทธะลอยขึ้นมา และมีพระอริยสงฆ์แต่ละองค์ปรากฏขึ้นมา ท่ามกลางแคว้นพุทธปรากฏสัตว์มงคลตัวหนึ่ง
มันคือกิเลนที่มีประกายพุทธะวูบวาบ การที่กิเลนตัวนี้ปรากฏอยู่ท่ามกลางแคว้นพุทธเหมือนว่าหนึ่งลมหายใจของมันกลับกลายเป็นหมื่นแคว้น เหมือนว่าอริยสงฆ์แต่ละองค์ก็เกิดจากการหายใจเข้าออกของมัน
ทันใดนั้นเอง ทุกคนต่างบังเกิดเป็นภาพลวงตา เหมือนว่ามือข้างขวาข้างนี้ของจินเก๋อสามารถพุ่งทะลุโลกธาตุได้ สามารถต่อยท้องฟ้าแลจักรวาลจนแหลกลาน มือข้างขวาข้างนี้ของเขามีพลังที่ไร้ขีดจำกัด ขอเพียงเขาปล่อยหมัดขวาออกไป ไม่ว่าสิ่งใดก็ขวางเขาไม่อยู่ ไม่ว่าสิ่งใดก็จะถูกหมัดนี้ของเขาซัดเข้าให้กลับไม่สู่จุดเดิม!
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกสั่นเทาภายในใจ เมื่อมองเห็นพลังลักษณะเช่นนี้ เมื่อจินเก๋อสวมใส่ถุงมือราชันแล้ว ทำให้ตัวเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เหมือนว่าเป็นสังฆราชสูงสุดองค์หนึ่ง สามารถปกครองไปหนึ่งยุคสมัย
“นับเป็นของวิเศษที่เยี่ยมจริงๆ” จินเก๋ออดที่จะคลำเล่นอยู่ในมือเบาๆ สุดท้าย ได้ยินเสียงดัง “ตึง ตึง ตึง” จินเก๋อได้จัดการถอดถุงมือราชันออกมาแล้ววางเอาไว้บนโต๊ะ
ผู้คนจำนวนมากต่างตกใจกับภาพที่ได้เห็น เมื่อจินเก๋อต้องเผชิญหน้ากับของวิเศษเช่นนี้แล้ว ยังคงสามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้ ยับยั้งความเย้ายวน ช่างเป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งเหลือเกิน
สำหรับผู้คนจำนวนมากที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้าทองคำเรียกได้ว่าน้ำลายหกจนนองพื้นไปหมดแล้ว พวกเขาแทบอยากจะบุกเข้าไปชิงเอาถุงมือราชันนี้มาครอบครองให้รู้แล้วรู้รอดไป หากได้เห็นถุงมือราชันลักษณะเช่นนี้ยังไม่หวั่นไหว ย่อมไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย
“หากข้าเป็นพี่จินเก๋อ เกรงว่าคงควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ไม่อยู่กับถุงมือราชันข้างนี้” ฉินไป่หลี่ถึงกับรู้สึกประทับใจและทอดถอนใจออกมาด้วยความจริง
“ไม่กลัวว่าพี่ฉินจะหัวเราะเยาะ ข้าเองก็เกือบจะควบคุมไม่อยู่เหมือนกัน เมื่อสักครู่ข้าได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เพื่อสงบสติอารมณ์เอาไว้ก่อน เมื่อได้เตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้แล้ว จึงกล้าทดสอบพลังของถุงมือข้างนี้ มิฉะนั้นล่ะก็ ข้าเองก็รู้สึกไม่ไหวเหมือนกัน” จินเก๋อเองก็ยิ้มกล่าวสารภาพออกมาตามตรง และไม่มีสิ่งใดต้องปิดบังซ่อนเร้น
“พี่จินเก๋อยังคงชนะข้าอยู่ขั้นหนึ่ง ข้าได้ทำการสะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ก่อนที่จะลุกขึ้น ขณะที่พี่จินเก๋อสะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรหลังจากได้ของวิเศษแล้ว ข้อนี้ข้ายังคงสู้พี่จินเก๋อไม่ได้” ฉินไปหลี่ทอดถอนใจและพูดขึ้นมา
กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว แพ้ก็คือแพ้ ยอมรับอย่างไม่สะทกสะท้าน กล่าวสำหรับยอดฝีมือระดับพวกเขาแล้ว ต่อให้แพ้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าอับอาย เนื่องจากช่วงห่างระหว่างพวกเขาเพียงแค่น้อยนิดเท่านั้นเอง
“มิกล้า พี่ฉินถ่อมตัวเกินไปแล้ว” จินเก๋อหัวเราะกล่าว
หลี่ชิเย่ก็หัวเราะทีหนึ่ง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ได้รับของวิเศษเช่นนี้ สามารถสะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรขณะจวนตัวนับว่ายอดเยี่ยมมาก ถุงมือราชันเช่นนี้ หากจะบอกว่าไม่ทำให้จิตใจผู้คนต้องหวั่นไหวคงเป็นเรื่องโกหก ถุงมือราชันนี้พร้อมสรรพทั้งรุกและรับ ขอเพียงมีถุงมือนี้อยู่ในมือก็สามารถทำลายสิ่งกีดขวางทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าได้”
“สหายหลี่อย่าพูดต่อไปอีกเลย” จินเก๋อหัวเราะเสียงดัง และกล่าวว่า “หากสหายหลี่ยังคงพูดต่อไป ถุงมือราชันนี้ก็จะยิ่งทำให้จิตของผู้คนต้องหวั่นไหว ข้าเองก็ไม่กล้าบอกว่าจะอดกลั้นต่อไปได้อีก”
แม้ว่าพวกเขาทั้งสามคนต่างเป็นศัตรูกันและกัน แต่ว่าในขณะนี้พวกเขาสามคนกลับพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ต่างฝ่ายต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ทำให้บรรดาผู้บำเพ็ญตน ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดถึงกับต้องอิจฉา
กล่าวในฐานะที่เป็นยอดฝีมือ หากในชีวิตของตนสามารถพานพบศัตรูลักษณะเช่นนี้ นับว่าเพียงพอแล้ว
………………………………………………………………