ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ผู้คนจำนวนมากที่จ้องมองฉินไป่หลี่และจินเก๋อแล้ว ไม่อาจไม่เคารพเลื่อมใส เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเย้ายวนเช่นนี้แล้ว พวกเขายังคงสามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้ สมควรทราบว่า เรื่องของจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรใช่ว่าจะควบคุมก็ควบคุมได้เลย มันต้องผ่านการเจียระไนมาครั้งแล้วครั้งเล่า ต้องเป็นผู้ที่ผ่านการเจียระไนและตกผลึกแล้ว จึงสามารถสะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้
จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรหาใช่สิ่งที่จับต้องไม่ได้ และไม่ใช่อาศัยเพียงคำพูดก็สามารถทำได้ บ่อยครั้งการเจียระไนจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรยากกว่าการฝึกเคล็ดราชันเสียอีก เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นเคล็ดจอมราชันหรือว่าวิชาเซียนหวัง ล้วนแล้วแต่มีตำราที่จะปฏิบัติตาม
ขณะที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรแตกต่างกัน ไม่มีตำราให้ฝึกตาม แต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน อีกทั้งทุกคนต่างก็มีเลือดมีเนื้อ มีเจ็ดอารมณ์ความรู้สึกหกความปรารถนาเฉกเช่นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วไป ดังนั้น การเจียระไนจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรจึงฝึกได้ยากยิ่งกว่าการฝึกเคล็ดวิชาใดๆ
เคยมีดาวรุ่งจำนวนไม่น้อยที่สุดยอดยากจะหาใดเทียม การฝึกวิชาของพวกเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าสามารถเย้ยหยันทั่วหล้า แต่ทว่า มักจะทยอยกันร่วงหล่นลงมาในที่สุด ตรงกันข้ามกับผู้ที่หาได้มีพรสวรรค์ที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งจำนวนไม่น้อยกลับสามารถก้าวเดินไปจนถึงที่สุด กลายเป็นจอมราชันเซียนหวัง!
เวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นฉินไป่หลี่ หรือจินเก๋อ พวกเขามีทั้งพรสวรรค์ มีทั้งทักษะยุทธ มีทั้งจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร เรียกได้ว่าพวกเขาที่มีพื้นฐานลักษณะเช่นนี้ คิดจะไม่บรรลุการใหญ่ หรือไม่ต้องการโดดเด่นเหนือผู้อื่นก็คงยาก
ทุกคนต่างเข้าใจกันได้ว่า เวลานี้ที่จินเก๋อขาดไปก็คือชะตาฟ้า ขอเพียงสามารถอดทนผ่านการถูกลอบโจมตีไปได้ เขาจะต้องได้เป็นจอมราชันอย่างแน่นอน เขาต้องเป็นจอมราชันที่ได้รับการคัดเลือกคนหนึ่งอย่างแน่นอน
“ในเมื่อพวกเจ้าต่างก็สามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ เวลานี้สมควรเป็นทีของข้าบ้างแล้ว” หลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่ตรงนั้นกล่าวเรียบๆ ขึ้นมา “จะเป็นของวิเศษลักษณะเช่นใดให้พวกเจ้าเป็นผู้เลือกก็แล้วกัน”
จินเก๋อและฉินไป่หลี่สองคนสบตาทีหนึ่ง สุดท้าย พวกเขาก็ไม่เกรงใจและลุกขึ้นยืน พวกเขาได้เฝ้าสังเกตของวิเศษทุกๆ ชิ้นที่อยู่ภายในศาลเจ้าทองคำอย่างละเอียด
ของวิเศษที่อยู่ภายในศาลเจ้าทองคำมีมากมายเหลือเกิน มองดูกันจนตาลายไปหมด ขณะที่จินเก๋อและฉินไป่หลี่เลือกของวิเศษให้กับหลี่ชิเย่ ไหนเลยจะไม่เป็นการทดสอบตัวเองอยู่เช่นกัน
ของวิเศษที่อยู่ตรงหน้ามากมายดั่งดอกเห็ด อีกทั้งของวิเศษเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของวิเศษที่ล้ำค่าและหาได้ยากยิ่ง ถ้าหากแค่มองผ่านตาเพียงแวบเดียวไปเฉยๆ บางทีอาจไม่ทำให้ต้องใจเต้นตูมตาม แต่เมื่อมีการครุ่นคิดพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียดกับของวิเศษแต่ละชิ้นล่ะก็ ไม่แน่นักอาจจะถูกใจกับของวิเศษชิ้นใดชิ้นหนึ่ง และทำให้หัวใจเต้นตูมตามขึ้นมาได้
ในเวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองดูทุกๆ ความเคลื่อนไหวของจินเก๋อและฉินไป่หลี่ ในขณะนี้ทุกคนต่างเข้าใจได้ว่า ทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อมีทางเลือกอยู่สองทาง
หนึ่งนั้นก็คือสุ่มเลือกชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้กับหลี่ชิเย่ เมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็สามารถชนะเกมนี้ไปได้อย่างง่ายดาย หรือสองก็คือตั้งใจเลือกของวิเศษที่ดีที่สุดชิ้นหนึ่ง เพื่อเป็นการทดสอบจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของหลี่ชิเย่
แน่นอนที่สุด กล่าวสำหรับจินเก๋อและฉินไป่หลี่แล้ว อาศัยของวิเศษล้วนๆ เพื่อเอาชนะหลี่ชิเย่นั้น ถือว่าไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง เนื่องจากพวกเขาไม่สนใจต่อการใช้เล่ห์เหลี่ยมเช่นนี้ การที่หลี่ชิเย่ได้ทำการเลือกของวิเศษที่เหมาะสมกับพวกเขาที่สุดด้วยความบริสุทธิ์ใจและเปิดเผย พวกเขาก็จะไม่สุ่มเลือกของวิเศษชิ้นใดชิ้นหนึ่งเพื่อที่จะได้เอาชนะหลี่ชิเย่ได้ในเกมนี้
ตรงกันข้าม พวกเขายิ่งมีความต้องการเลือกของวิเศษสักชิ้นที่สามารถทำให้หัวใจหลี่ชิเย่เต้นตูมตามได้ พวกเขาก็ต้องการดูว่า เมื่อต้องเผชิญกับความเย้ายวนแล้ว หลี่ชิเย่สามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้หรือไม่
สิ่งที่พวกเขาต้องการหาใช่การเป็นผู้ชนะในเกมนี้ แต่ต้องการรู้ว่าผู้ใดสามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้ได้ กล่าวสำหรับพวกเขาแล้วสิ่งนี้จึงถือเป็นการทดสอบที่สำคัญที่สุด
ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ขณะฉินไป่หลี่และจินเก๋อกำลังเลือกหาของวิเศษกันอยู่ ทุกคนต่างต้องการรู้ว่าพวกเขาจะเลือของวิเศษอย่างไรให้กับหลี่ชิเย่
เลือกกันไปมา ในที่สุดฉินไป่หลี่และจินเก๋อทั้งสองสบตากันทีหนึ่ง ในเวลานี้พวกเขาต่างบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้อย่างหนึ่ง
“ไม่ทราบว่าพี่หลี่ไว้ใจพวกเราหรือไม่?” ในที่สุดฉินไป่หลี่ได้ยิ้มและเอ่ยคำขึ้นมา
หลี่ชิเย่มองดูพวกเขาทั้งสองและยิ้มเฉยเมยกล่าวว่า “วางใจเถอะ บนโต๊ะพนันเช่นนี้ ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าก็ได้เอาเกียรติภูมิของตัวเองวางไว้บนโต๊ะพนันด้วย ยังจะมีอะไรไม่วางใจหละ?”
“ดี เมื่อได้รับความไว้วางใจจากพี่หลี่เช่นนี้ สามารถเป็นศัตรูกับพี่หลี่นับว่าเป็นเกียรติอย่างหนึ่ง” ฉินไป่หลี่แสดงคารวะแบบจีน และยิ้มกล่าวขึ้นมา
ย่อมไม่เป็นที่กังขา ทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อได้บรรลุข้อตกลงเป็นที่เรียบร้อย พวกเขาได้คัดเลือกของวิเศษให้กับหลี่ชิเย่ได้แล้ว
ในเวลานี้จินเก๋อได้เดินไปข้างหน้า แสดงคารวะต่อพระอริยสงฆ์รูปหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านหน้าศาลาหลังหนึ่ง พนมมือไหว้ด้วยท่าทีที่เคารพเลื่อมใสศรัทธา จากนั้นจินเก๋อได้ใช้มือทั้งสองยกเอาปลาไม้ที่วางอยู่ด้านหน้าของพระอริยสงฆ์ขึ้นมา
หลังจากที่จินเก๋อหยิบเอาปลาไม้มาแล้วก็ได้วางไว้ด้านหน้าของหลี่ชิเย่ กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “สหายหลี่ นี่แหละคือของวิเศษที่ข้ากับพี่หลี่ช่วยกันเลือกให้กับท่าน!”
การที่จินเก๋อและฉินไป่หลี่ถึงกับเลือกเอาปลาไม้ให้กับหลี่ชิเย่ สร้างความงงงันให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ทันที ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่คิดว่าจินเก๋อและฉินไป่หลี่ถึงกับเลือกสิ่งนี้มาให้กับหลี่ชิเย่
ภายในศาลเจ้าทองคำแห่งนี้ ของวิเศษมีมากมายดั่งดอกเห็ด อีกทั้งบรรดาของวิเศษเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นของวิเศษที่ยากจะหาใดเทียมในหล้า ไม่ว่าใครก็ตามที่มาถึงศาลเจ้าทองคำแล้ว ก็ต้องถูกดึงดูดด้วยของวิเศษที่กองพเนินดั่งภูเขานั่น สำหรับปลาไม้ที่วางอยู่ด้านหน้าอริยสงฆ์นั้น เกรงว้าคงไม่มีใครจ้องมองดูมากกว่าครั้งหนึ่ง
เนื่องจากปลาไม้ลักษณะเช่นนี้ไม่มีอะไรพิเศษเอาเสียเลย ปลาไม้ลักษณะเช่นนี้ไม่ว่าศาลเจ้าแห่งใดก็สามารถพบเห็นได้ทั่วไป ไม่มีค่าคู่ควรจะกล่าวถึงอยู่แล้ว
ทว่า เวลานี้จินเก๋อและฉินไป่หลี่กลับจะเลือกปลาไม้ให้กับหลี่ชิเย่ตัวหนึ่ง ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนเป็นจำนวนมาก แรกทีเดียวทุกคนยังเข้าใจว่าฉินไป่หลี่และจินเก๋อจะต้องเลือกของวิเศษที่ยอดเยี่ยมสักชิ้นให้กับหลี่ชิเย่
“จินเก๋อและฉินไป่หลี่หาใช่คนถ่อย” ผู้ที่มองเห็นจินเก๋อและฉินไป่หลี่เลือกปลาไม้ให้กับหลี่ชิเย่แล้วถึงกับพึมพำออกมา
แม้ว่าพวกเขาจะเลือกปลาไม้ให้กับหลี่ชิเย่ แต่ทุกคนไม่คิดว่านี่เป็นการแกล้งของจินเก๋อและฉินไป่หลี่ที่จงใจเลือกของวิเศษที่แย่ที่สุดให้กับหลี่ชิเย่ ในนั้นจะต้องมีสิ่งแอบแฝงอยู่
“เข้าท่า” หลี่ชิเย่มองดูปลาไม้ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา
จินเก๋อกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ประสบการณ์ของสหายหลี่เหนือกว่าพวกเรา พวกเรามองภาพที่แท้จริงของปลาไม้ตัวนี้ไม่ออก พวกเราเชื่อว่าสหายหลี่ต้องยินดีท้าทายตนเอง เคาะอภินิหารของปลาไม้ตัวนี้ให้ปรากฎ ให้พวกเราทั้งหมดได้เปิดหูเปิดตากัน”
ผู้คนจำนวนมากรู้สึกเหนือความคาดคิดเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ แต่ก็อยู่ในความคาดคิดของผู้คนจำนวนมากเช่นกัน เนื่องจากว่านับตั้งแต่จินเก๋อและฉินไป่หลี่เลือกเอาปลาไม้มานั้น ก็มีผู้คนจำนวนมากที่เข้าใจว่าในนั้นต้องมีสิ่งแอบแฝงอยู่แน่นอน
เวลานี้เมื่อจินเก๋อพูดออกมาเช่นนี้ ทุกคนจึงได้เข้าใจที่แท้เจ้าปลาไม้ที่ไม่สะดุดตาตัวนี้เป็นสิ่งของที่ยอดเยี่ยมชิ้นหนึ่ง
ในเวลานี้ทุกคนจึงได้เข้าใจว่า ตัวเองนั้นห่างชั้นกับบุคคลที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นจินเก๋อและฉินไป่หลี่อย่างไร ในสายตาของพวกเขามองว่า ปลาไม้เป็นสิ่งของที่ธรรมดามากอยู่แล้ว ไม่เห็นจะมีตรงไหนที่ดูแล้วมีค่า ขณะที่จินเก๋อและฉินไป่หลี่แม้ว่าไม่สามารถมองออกถึงความอภินิหารของปลาไม้ตัวนี้ แต่กลับรู้ว่าเป็นของวิเศษที่ยอดเยี่ยมมากชิ้นหนึ่ง
“เอาเถอะ ให้พวกเจ้าได้ประจักษ์ถึงความลึกซึ้งพิสดารของของวิเศษทางพุทธศาสนาก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง พนมมือขึ้นช้าๆ เอ่ยพุทธวาจาออกมา “อามิตาพุทธ…” ทันใดนั้น พุทธวาจาดังกล่าวดังก้องทั่วฟ้าดิน ทันใดนั้นเอง ทั่วร่างของหลี่ชิเย่พวยพุ่งเป็นรัศมีพุทธออกมา ฉับพลันนั้นรัศมีพุทธได้สาดส่องทั่วปฐพี โปรดเวไนยสัตว์ หลี่ชิเย่ในเวลานี้ได้กลับกลายเป็นอริยสงฆ์สูงสุดรูปหนึ่ง
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้กลายร่างเป็นทองคำ ทุกอณูของร่างกายเหมือนหล่อขึ้นมาจากทองคำอย่างนั้น เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่ส่งประกายสีทองแวบวับ กลายเป็นสิ่งล้ำค่าของแคว้นพุทธะตัวหนึ่ง กลายเป็นสุดยอดจีวรในหล้าตัวหนึ่ง
ด้านหลังของหลี่ชิเย่ปรากฏเป็นธรรมจักรขึ้นมา ภายในธรรมจักรได้รับการคุ้มครองจากอริยสงฆ์นับหมื่นนับพัน ปรากฏแคว้นพุทธแต่ละแคว้นที่ผุดขึ้นมา มีสรรพชีวิตนับล้านล้านคอยเทศนาธรรมให้กับเขา ในเวลานี้ เสียงสวดมนต์ดังไม่ขาดสาย นาทีนี้เสมือนหนึ่งสถานที่แห่งนี้ได้กลับกลายเป็นโลกของพุทธ
“ต๊อก…” นาทีนี้ หลี่ชิเย่ได้เคาะปลาไม้ให้ดังขึ้นมา
จากเสียง “ต๊อก” เสียงหนึ่งที่ดังขึ้น ตามด้วยเสียง “แว้งค์” ฉับพลันนั้น ศาลเจ้าทองคำทั้งหลังได้พวยพุ่งประกายสีทองออกมา โดยที่ประกายสีทองประดุจดั่งมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล พลันท่วมทุกสิ่งทุกอย่างจนจมมิดไป
เสียงนี้ที่ดังขึ้น ทำเอาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของทุกคนต้องสั่นเทา เสมือนหนึ่งเป็นอริยสงฆ์สูงสุดรูปหนึ่งกำลังเทศนาธรรม ณ ที่ตรงนี้
“ต๊อก…” เสียงเคาะปลาไม้ดังขึ้นเป็นครั้งที่สอง นาทีนี้ ภายในศาลเจ้าทองคำปรากฎพระพุทธองค์สีทองแต่ละองค์ที่ลอยขึ้นมา แต่ละองค์มีความสูงนับล้านล้านจ้าง สืบทอดฟ้าดิน เจริญรอยตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ความเป็นพุทธได้ตลบอบอวล ไปทั่วโลกธาตุ ทำการโปรดสรรพชีวิตทั้งหมดในหล้า
“ตุบ” เสียงคุกเข่าดังขึ้นเป็นระยะ ขณะที่เสียงเคาะปลาไม้ดังขึ้นเป็นครั้งที่สองนั้น บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน จำนวนมากที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้าทองคำไม่สามารถยืนได้อีกต่อไป ต่างทยอยกันคุกเข่าลงกับพื้น
“ต๊อก…” เสียงเคาะปลาไม้ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม พริบตาเดียวนั้นเอง ทั่วทั้งฝอเหย่เสมือนหนึ่งกลายเป็นโลกของพุทธ ทั่วทั้งฝอเหย่ล้วนซึมซาบอยู่ท่ามกลางการความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป็นพระได้
“องมานีปามีฮง…” นาทีนี้เอง ฟ้าดินพลันปรากฏเสียงสวดมนต์ดังขึ้น เสียงบทสวดดังขึ้นไม่ขาดสาย ความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป็นพระซึมซาบอยู่ภายในจิตใจของผู้คนทุกคน
นาทีนี้ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกได้ว่า ตนเองนั้นอาศัยอยู่ท่ามกลางแคว้นพุทธะที่กว้างใหญ่ไพศาล ศาสนาพุทธท่ามกลางแคว้นพุทธะบงการนิรันดร์ ทำให้สรรพชีวิตของฟ้าดินล้วนแล้วแต่อาบเอิบอยู่ท่ามกลางรัศมีของพุทธะ ต่างหมอบกราบอยู่เบื้องหน้าอริยสงฆ์
ในเวลานี้ บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกศาลเจ้าทองคำต่างสยบทั้งกายใจ ทยอยกันคุกเขาลงกราบอยู่ตรงนั้นด้วยการคุกเข่าลงทั้งสองข้าง สองมือกราบโดยมีศีรษะแตะอยู่ที่ตำแหน่งเท้าของผู้ที่เราเคารพกราบไหว้
เวลานี้ แม้แต่ฉินไป่หลี่และจินเก๋อทั้งสองต่างมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาก พวกเขาต่างทยอยกันรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้อย่างมั่นคง เพื่อป้องกันไม่ให้จิตของตนเองถูกกัดกร่อนโดยความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป็นพระ นาทีนี้ พวกเขาที่มีความแข็งแกร่งปานนี้ยังคงต้องแบกรับแรงกดดันที่สุดแสนจะหนักหน่วงเช่นกัน ทำให้พวกเขายากที่จะหายใจได้ทัน
หลังสิ้นเสียงเคาะปลาไม้ไปสามครั้งแล้ว หลี่ชิเย่ได้เรียกคืนความเป็นไปได้ที่จะบรรลุเป็นพระ สลายรัศมีพุทธะ ฉับพลันนั้นพลังแห่งพุทธะทั้งหมดล้วนแล้วแต่มลายหายไปจนสิ้น ทันใดนั้นเหมือนดั่งฟ้าหลังฝนผ่านพ้นไป เหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องใดเกิดขึ้นมาก่อน
หลี่ชิเย่ยังคงเป็นหลี่ชิเย่ เขายังคงนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีสงบนิ่ง ปลาไม้ยังคงเป็นปลาไม้ ยังคงวางอยู่นิ่งๆ ตรงนั้น เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
ถ้าหากเวลานี้ไม่เป็นเพราะด้านนอกศาลเจ้าทองคำมีผู้คนคุกเข่าอยู่เต็มไปหมด ทุกคนต่างไม่อยากจะเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นเป็นความจริง
ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่เมื่อนึกถึงภาพเมื่อครู่ นั่นเป็นเพียงเสียงเคาะปลาไม้เท่านั้นเอง พวกเขาก็ไม่สามารถรองรับกับพลังเช่นนี้ได้แล้ว ต่างทยอยกันคุกเข่าลงทั้งสองข้าง สองมือกราบโดยมีศีรษะแตะอยู่ที่ตำแหน่งเท้าของผู้ที่เราเคารพกราบไหว้ ช่างเป็นพลังที่น่ากลัวเหลือเกิน
“พวกเราแพ้แล้ว…” เวลานี้ฉินไป่หลี่ถึงกับทอดถอนใจออกมาและกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ หรือจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร พี่หลี่ล้วนอยู่เหนือพวกเราทั้งสิ้น เกมนี้พวกเราพ่ายแพ้ทั้งกายและใจ”