ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1897 ฉินไป่หลี่ และจินเก๋อ

ตอนที่ 1897 ฉินไป่หลี่ และจินเก๋อ

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ฝ่ามือที่มีขนปุกปุยของแมวมังกรได้ยื่นไปถึงด้านหน้าของหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “พวกเราไม่สามารถนำเอาเมล็ดพันธุ์พุทธไปปลูกเอาไว้กลางใจของมนุษย์ แต่ทว่าเวลานี้ก็คือโอกาส มันสามารถปลูกลงกลางใจของคนๆ หนึ่ง พวกเราไม่ได้เฝ้าปรารถนาให้ท่านปลูกมันเอาไว้ หวังเพียงท่านพามันไปหาเขา ขอเพียงท่านให้เมล็ดพันธุ์พุทธะกับเขา ข้าเชื่อว่าเขาสามารถบอกกล่าวในสิ่งที่ท่านอยากจะรู้”

“เขา” ที่แมวมังกรพูดถึงก็คือหนึ่งในเก้าอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่ง และเป็นอริยสงฆ์เพียงหนึ่งเดียวที่โชคดีรอดชีวิตมาได้ท่ามกลางการล่มสลายของยุคสมัยนั้น

หลี่ชิเย่พยักหน้ามองดูเมล็ดพันธุ์พุทธะที่อยู่บนฝ่ามือที่มีขนปุกปุยของแมวมังกร และกล่าวว่า “เรื่องนี้ข้าสามารถช่วยเหลือพวกเจ้าได้” จากนั้นได้เก็บเมล็ดพันธุ์พุทธะนั้นเอาไว้

“หนทางข้างหน้าเต็มไปด้วยทุกข์เข็ญ แต่ละยุคสมัยไม่ง่ายนัก หวังว่าท่านสามารถก้าวเดินไปจนถึงที่สุด อย่าได้หลงอยู่ในความมืดมิด ยุคสมัยที่ผ่านมา มีปรัชญาเมธีมากมายเท่าไรที่ไม่สามารถยืนหยัดอยู่ได้” สุดท้าย แมวมังกรพนมมือแสดงคารวะเต็มรูปแบบต่อหลี่ชิเย่

“บอกได้แต่เพียงว่าเป็นเพราะพวกเขามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ไม่มั่นคง” แม้ว่าพวกเขาจะมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงถึงขั้นปราศจากผู้ต่อกร ให้พวกเขาได้บุกเบิกเส้นทางที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่กลับไม่สามารถยืนหยัดตนเองเอาไว้! ผู้ที่มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่มั่นคง ต่อให้มีโชควาสนายิ่งใหญ่เพียงใด มันก็แค่ความหายนะของมนุษย์โลกเท่านั้น

“สรรพชีวิตมีอยู่มากมาย จะมีสักกี่คนที่คงเส้นคงวาได้เล่า ทุกอย่างกำเนิดเพราะโลภ และสิ้นสุดลงเพราะโลภ” แมวมังกรก็ทอดถอนใจออกมาด้วยความจริง

“พูดเช่นนี้แสดงว่ามีคนเคยมาหาเจ้าอยู่ก่อนแล้ว?” หลี่ชิเย่มองดูแมวมังกรแล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ดูท่าฝอเหย่ของพวกเจ้ายังมีค่าบ้างเหมือนกันนะ”

“ข้าเป็นเพียงจิตที่ยึดติดสายหนึ่งเท่านั้น ไม่มีคุณค่าจะกล่าวถึง” แมวมังกรกล่าวว่า “เพียงแต่ของเหล่านี้ทำให้พวกเขาคาดหวังด้วยความกระหายอยากเท่านั้น”

“ก็ถูก” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและกล่าวว่า “ก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลา รวบรวมความศรัทธาเหล่าสรรพชีวิต ผู้คนมากมายเท่าไรกระหายอยากมีชีวิตอมตะกันเล่า ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวว่า ข้ามไปยังแดนนิพพานได้ ก็สามารถได้รับผลแห่งสุขของเหล่าสรรพสิ่งมีชีวิต! อาศัยพวกเขา คู่ควรรึ!” พูดถึงตรงนี้แล้วถึงกับหัวเราะเยาะขึ้นมา

“โลกนี้ไม่มีผลแห่งสุขของเหล่าสรรพสิ่งมีชีวิตอีกแล้ว ชีวิตอมตะมาจากไหนกัน” แมวมังกรกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ผู้ที่มีจิตละโมบ มันก็แค่จิตใจที่บังเกิดความคิดที่จับต้องไม่ได้เท่านั้นเอง”

“ต่อให้แดนนิพพานของพวกเจ้ายังคงอยู่ ผลแห่งสุขของเหล่าสรรพสิ่งมีชีวิตยังคงอยู่ และ ใครคิดอยากได้ครอบครองต้องถามข้าก่อนว่าอนุญาตหรือไม่!” หลี่ชิเย่หัวเราะน่าเกรงขามออกมาและกล่าวว่า “ซ่อนตัวอยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลาก็นับว่าเพียงพอแล้ว ยังหวังจะเป็นอมตะไม่มีวันตาย! คงมีสักวันที่ข้าจะกวาดล้างไปทั่วแดน ไถกลบให้ราบเรียบนิจนิรันดร์!”

ปรกติแล้วหลี่ชิเย่มีจิตที่สงบดั่งน้ำในบ่อ มาคราวนี้ยากนักที่จะได้ยินเขาพูดคำพูดออกมาด้วยอารมณ์เช่นนี้

“ท่านยังคงมีจิตต่อเหล่าสรรพสัตว์ หาไม่แล้วท่านใยต้องใส่ใจ” แมวมังกรกล่าวพร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา

“เหล่าสรรพสัตว์เกี่ยวอะไรกับข้า” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “เพียงแต่มีผู้คิดจะขัดขวางเส้นทางของข้าเท่านั้นเอง! ใครกล้าขวางทางของข้าฆ่าไม่มีละเว้น ข้าไม่สนหรอกนะว่าพวกเขาจะเป็นพวกที่ก้าวเดินไปข้างหน้าโดยไม่หวั่นต่ออุปสรรคเช่นใด”

“ข้าเชื่อว่าท่านสามารถทำได้” แมวมังกรกล่าวว่า “สุดปลายทางของโลกอยู่ไกลโพ้นเหลือเกิน ปราศจากเงื่อนเวลากำหนด รักษาตัวด้วย บางทีในอนาคตไม่มีเวียนว่ายตายเกิด และไม่มีการทำลายโลก คำตอบทุกอย่างอยู่ในใจของมนุษย์โลก”

“รักษาตัวด้วย” หลี่ชิเย่พยักหน้าเงียบๆ จากนั้นหันหลังจากไป

เมื่อหลี่ชิเย่กลับมายังศาลเจ้าโบราณอีกครั้ง มองดูกายเนื้อของอริยสงฆ์ทั้งแปดถึงกับต้องทอดถอนใจออกมาเบาๆ เคยเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแห่งยุค แต่ท้ายที่สุดแล้วก็ต้องเสียชีวิตไป ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ยาวไกล จะมีใครบ้างที่จดจำพวกเขาได้เล่า?

“ช่วยโลก…” หลี่ชิเย่ที่มองดูกายเนื้อของอริยสงฆ์ทั้งแปด ถึงกับหัวเราะเยาะตัวเองว่า “ข้าไม่เคยช่วยโลกอยู่แล้ว! ที่ที่ข้าปรากฏมีเพียงการเข่นฆ่า มีแต่ความตาย! ถ้าหากต้องการโลกใหม่ ก็ให้มันกำเนิดขึ้นมาท่ามกลางเลือดสดๆ ก็แล้วกัน!”

ครั้นหลี่ชิเย่พูดมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ เหมือนดั่งเช่นแมวมังกรได้พูดเอาไว้ สุดปลายทางของโลกอยู่ไกลโพ้นเหลือเกิน ปราศจากเงื่อนเวลากำหนด!

“แว้งค์” เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง ผนังของศาลเจ้าเปล่งประกายขึ้นมา จากนั้นได้ยินเสียงดัง “ปุ” เกิดการกระเพื่อมของช่องว่าง เห็นธิดาราชันฉีหลินถูกส่งตัวกลับออกมา

“คุณชาย…” ธิดาราชันฉีหลินเผยรอยยิ้มออกมาโดยพลันที่เห็นหน้าหลี่ชิเย่ รอยยิ้มในขณะนี้ของนางช่างงดงามเหลือเกิน งามหยาดเยิ้มจนผู้พบเห็นถึงกับเคลิบเคลิ้มหลงไหล

“วาสนาไม่เบาเลยนี่ ได้รับโชคชะตาใหญ่” หลี่ชิเย่จ้องมองไปที่ธิดาราชันฉีหลินพยักหน้ากล่าวด้วยใบหน้าที่แฝงด้วยรอยยิ้ม

“ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ เป็นเพราะการแนะนำและการสนับสนุนจากคุณชาย หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากคุณชาย ก็จะไม่มีโชควาสนาของข้า” ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกดีใจมาก ย่อตัวแสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่

มาคราวนี้ นางนับว่าได้รับโชควาสนาใหญ่อย่างแท้จริง เรียกได้ว่าโชควาสนาที่ได้ในครั้งนี้ ทำให้นางได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง สามารถทำให้นางก้าวบนเส้นทางที่ไม่มีใครเหมือนเส้นหนึ่ง

หลี่ชิเย่เพียงพยักหน้าเบาๆ ยอมรับการคารวะเต็มรูปแบบจากธิดาราชันฉีหลินอย่างสงบ

ที่ศาลเจ้าทองคำยังคงคึกครื้นยิ่งนัก ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่ยังคงอยู่ที่ด้านหน้าของศาลเจ้าทองคำไม่ได้ลดลงแต่กลับเพิ่มมากขึ้น แต่มาคราวนี้ทุกคนไม่ได้มาเพื่อสมบัติ แต่มาเพื่อต้องการดูความคึกครื้น

ความจริงแล้ว ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้เลิกล้มความตั้งใจต่อสมบัติที่อยู่ภายในศาลเจ้าทองคำแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้มีผู้คนจำนวนมากได้ทดลองแล้วล้วนแล้วแต่ไม่ประสบความสำเร็จ กระทั่งระดับจอมเทพที่หวังจะหยิบเอาของวิเศษไปก็ต้องเอาชีวิตมาทิ้งที่นี่ ดังนั้นทุกคนจึงได้แต่ละทิ้งไป

แม้ว่าของวิเศษนั้นเย้ายวนใจเหลือเกิน แต่ว่า ชีวิตกลับมีค่ายิ่งกว่า

เวลานี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากมุงกันอยู่ด้านนอกศาลเจ้าทองคำ ทุกคนเบียดเสียดกันจนน้ำยังเล็ดรอดเข้าไปยังศาลเจ้าทองคำไม่ได้ ที่ทุกคนมามุงกันอยู่ตรงนี้ก็เพื่อดูอะไรสนุกๆ

ผู้ที่ได้รับความสนใจจากผู้คนภายในศาลเจ้าทองคำไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นจินเก๋อกับฉินไป่หลี่นั่นเอง และคงมีเพียงระดับเช่นพวกเขาเท่านั้นที่สร้างความแตกตื่นได้ขนาดนี้เมื่อปรากฏตัวออกมา

ในขณะนี้ ภายในศาลเจ้าทองคำ บนกองเหรียญทองคำกองนั้นได้มีการจัดวางโต๊ะตัวหนึ่ง ด้านหนึ่งเป็นฉินไป่หลี่นั่งอยู่ อีกด้านหนึ่งเป็นจินเก๋อ พวกเขาสองคนปรากฏตัวขึ้นที่นี่พร้อมกัน จึงดึงดูดผู้คนที่มาล้อมดูเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน

ทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่พลิกสถานการณ์ในชิงโจวได้ คนหนึ่งเป็นสุดยอดดาวรุ่งแห่งยุค แม้ว่าเคยพ่ายแพ้ให้กับจินเก๋อมาก่อน แต่ยังคงมีความเด่นไม่ลดน้อยถอยลง ส่วนจินเก๋อนั้นไม่ต้องพูดถึง เป็นดาวรุ่งที่กำลังจะก้าวขึ้นเป็นจอมราชัน ไม่ว่าจะปรากฏตัวขึ้นที่ใด ก็เป็นที่จับตามองของผู้คนอยู่แล้ว

แน่นอนที่สุด สิ่งที่ทำให้เป็นที่จับตามองไม่เพียงแค่การปรากฏตัวขึ้นมาพร้อมๆ กันระหว่างจินเก๋อและฉินไป่หลี่เท่านั้น แต่เป็นเกมการพนันระหว่างพวกเขาทั้งสองคน

พวกเขาทั้งสองคนได้จัดวางโต๊ะตัวหนึ่งภายในศาลเจ้าทองคำ ทั้งสองคนต่างนั่งอยู่คนละฝั่งเปิดเล่นเกมพนันกันขึ้นมา

เป็นที่ทราบกันดีว่า ผู้คนจำนวนมากที่เข้าไปในศาลเจ้าทองคำนั้นล้วนแล้วแต่ อกสั่นขวัญแขวนทั้งสิ้น ตัวของศาลเจ้าทองคำเองจะไม่โจมตีต่อผู้ใดทั้งสิ้น แต่ เมื่อบุคคลผู้นั้นที่ยืนอยู่ในศาลเจ้าทองคำบังเกิดจิตที่ละโมบขึ้นมา เมื่อนั้นเขาจะต้องตายอย่างไม่น่าสงสัย

ที่เห็นอยู่ตรงหน้าล้วนแล้วแต่เป็นของล้ำค่าเซียนและของวิเศษ ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนก็คือภูเขาทองภูเขาเงิน ใครบ้างที่จะไม่บังเกิดจิตละโมบขึ้นมา? ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มีใครบ้างที่หาญกล้าบอกว่าตนเองนั้นสามารถควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนได้อย่างสิ้นเชิง

เนื่องเพราะไม่มีใครกล้าบอกว่าตัวเองสามารถควบคุมจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนได้อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้ายืนอยู่ในศาลเจ้าทองคำ เว้นแต่ผู้ที่ตั้งใจจะไปแย่งชิงสมบัติจึงกล้าเข้าไปเสี่ยง

ในเวลานี้ฉินไป่หลี่และจินเก๋อทั้งสองคนต่างเดินเข้าไปยังศาลเจ้าทองคำอย่างไม่สะทกสะท้าน พวกเขาทั้งสองถึงกับนั่งอยู่ภายในศาลเจ้าทองคำอย่างมั่นคง อาศัยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวของทั้งสองคน ก็ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากนับถือ

จะอย่างไรเสีย จินเก๋อคือผู้ที่กำลังจะได้เป็นจอมราชันอยู่แล้ว ขณะที่ฉินไป่หลี่ก็มีอนาคตที่ไร้ขีดจำกัด หากเปลี่ยนเป็นดาวรุ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่คนอื่นๆ จะไม่ไปเสี่ยงเช่นนี้อย่างเด็ดขาด แต่พวกเขาทั้งสองกลับนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไม่เกรงใจใคร

ทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อได้จัดแข่งขันเกมการพนันที่พิเศษมากขึ้นภายในศาลเจ้าทองคำ พวกเขาทั้งสองคนจะแข่งสมบัติ แข่งสายตา แข่งความนิ่ง

พวกเขาทั้งสองต่างคนต่างหยิบสิ่งของจากศาลเจ้าทองคำมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นนำมาเปรียบเทียบกัน ของใครเหนือกว่าก็จะเป็นฝ่ายชนะ

แรกทีเดียว ฉินไป่หลี่และจินเก๋อเพียงหยิบเอาเหรียญทองคำบนพื้นมาพนันกัน หลังจากนั้น ทั้งสองคนจึงเริ่มหยิบเอาของวิเศษที่ดีกว่าจากศาลเจ้าทองคำมา

เป็นที่ทราบกันดีว่า เป็นความจริงที่ศาลเจ้าทองคำจะไม่ทำร้ายผู้คน ถ้าหากคนผู้นั้นไม่บังเกิดจิตที่ละโมบขึ้นมา ต่อให้รั้งอยู่ภายในศาลเจ้าทองคำ หรือหยิบฉวยเอาของวิเศษภายในศาลเจ้าทองคำมาเล่นเป็นเวลานานเท่าไรก็จะปลอดภัยโดยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

แต่ ถ้าหากเจ้าบังเกิดความละโมบขึ้นในใจแม้เพียงน้อยนิด ต่อให้เป็นเพียงใจเต้นตูมตามเพียงนิดเดียว หรือมีความคิดที่จะนำเอาของวิเศษชิ้นนี้ไปล่ะก็ จะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

แม้ว่าทั้งฉินไป่หลี่และจินเก๋อทั้งสองต่างเป็นผู้ที่เคยเห็นของวิเศษมาแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน พวกเขาต่างมีชาติกำเนิดมาจากสายสำนักราชันเซียน อย่าว่าแต่ของวิเศษทั่วไปเลย แม้แต่ของวิเศษของจอมราชันเซียนหวัง พวกเขาก็พบเห็นมามากแล้ว

อาศัยประสบการณ์ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขา เรียกได้ว่าของวิเศษที่สามารถเข้าตาพวกเขามีอยู่ไม่มาก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของพวกเขาต้องหวั่นไหวเลย

ของวิเศษภายในศาลเจ้าทองคำก็มีจำนวนมากดั่งดอกเห็ด ไม่ด้อยไปกว่าขุมทรัพย์ของสายสำนักราชันเซียนใดๆ ถ้าหากมองจากระยะห่างไกลบางทีอาจไม่สามารถทำให้หวั่นไหวได้ แต่หากได้พิจารณาอย่างละเอียดและอยู่ในมือ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถบอกว่าตัวเองนั้นจะไม่รู้สึกหวั่นไหว จะอย่างไรเสียของวิเศษจำนวนมากที่อยู่ในนี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าของวิเศษของจอมราชันเซียนหวังเลย

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เมื่อไหร่ที่บังเกิดใจเต้นตูมตามขึ้น ก็เท่ากับรนหาที่ตายเอง

“ปัง” ในขณะนี้ ฉินไป่หลี่ได้เลือกเอาถ้วยทองคำขึ้นมาใบหนึ่งวางไว้บนโต๊ะ ขณะที่จินเก๋อได้เลือกไข่มุกวิเศษวางไว้บนโต๊ะ

พวกเขาทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างพิจารณาดูอย่างละเอียด ต่างฝ่ายต่างผลัดกันชื่นชมอย่างละเอียด ในที่สุด จินเก๋อได้พูดขึ้นมาว่า “เกรงว่าถ้วยทองคำใบนี้ของพี่หลี่ต้องเป็นสิ่งของที่ติดตามตัวของอริยสงฆ์สูงสุดรูปหนึ่ง ถ้วยทองคำใบนี้มีกลิ่นอายที่เป็นอมตะ มีความเป็นไปได้อาจมาจากแดนนิพพานที่อยู่ในตำนาน ส่วนไข่มุกของน้องแม้ว่าจะได้รับการบ่มฟักจากมังกรฟ้า ตัวไข่มุกเม็ดนี้แม้ว่าจะไม่ธรรมดาเลย แต่เมื่อเทียบกับสิ่งของจากแดนนิพพานแล้ว นับว่าด้อยว่ากันอยู่ เกมนี้พี่ฉินเป็นฝ่ายชนะ”

“เอือกก…” เสียงกลืนน้ำลายดังขึ้น สิ้นเสียงของจินเก๋อ บรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ด้านหน้าศาลเจ้าทองคำก็มีผู้ที่กลืนน้ำลายจำนวนไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นถ้วยทองคำ หรือไขมุกวิเศษล้วนแล้วแต่เป็นของวิเศษที่ประเมินค่าไม่ได้ พวกเขาต่างกลืนน้ำลายกันเมื่อได้ยิน ถ้าหากเวลานี้พวกเขาล้วนแล้วแต่อยู่ในศาลเจ้าทองคำล่ะก็ เกรงว่าคงเสียชีวิตไปแล้ว

แต่ว่า ทั้งจินเก๋อและฉินไป่หลี่ต่างก็ปลอดภัยดี แสดงว่าพวกเขาทั้งสองต่างไม่ได้บังเกิดความละโมบต่อของวิเศษทั้งสองชิ้นนี้แต่อย่างใด

ลำพังอาศัยความนิ่งเช่นนี้ก็ทำให้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวมมากที่อยู่ในเหตุการณ์รู้สึกเลื่อมใสอย่างยิ่ง อย่างน้อยที่สุดพวกเขาเองทำเช่นนี้ไม่ได้

“หวุดหวิด หวุดหวิด น้องเองก็แค่เสี่ยงดวงเท่านั้นเอง” ฉินไป่หลี่หัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “เวลานี้ท่านกับข้าต่างชนะมาสามเกม พี่จินเก๋อยังต้องการจะพนันต่อไปอีกหรือไม่?”

“ไหนๆ ก็มาแล้ว ไฉนจึงไม่พนันกันให้สะใจไปเลย” จินเก๋อหัวเราะและพูดขึ้นมา

“ตกลง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะยอมสละทุกอย่างเพื่อท่านก็แล้วกัน” ฉินไป่หลี่หัวเราะเสียงดัง และกล่าวด้วยบุคลิกลักษณะอันห้าวหาญ

…………..

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท