ครั้นธิดาราชันฉีหลินได้ฟังการอธิบายความเกี่ยวกับแม่น้ำเหิงเหอแล้วถึงกับต้องจินตนาการไปไกลมาก คิดไกลไปถึงยุคสมัยที่อาศัยพุทธศาสนาเป็นหลัก มันช่างเป็นยุคสมัยที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก
“พวกเราจะข้ามทะเลไปรึ?” เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น
หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ถูกต้อง ข้าจะมอบวาสนาให้กับเจ้า ในฝอเหย่ไม่มีวาสนาใดดีไปกว่าการข้ามแม่น้ำเหิงเหอนี้ไปอีกแล้ว เมื่อไปถึงแล้ว สามารถได้รับวาสนาเช่นใด ก็ต้องขึ้นอยู่กับตัวเจ้าเองแล้ว”
“สามารถข้ามไปได้รึ?” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับพูดขึ้นมาว่า “เล่าลือกันว่าเคยมีจอมราชันเซียนหวังหลงอยู่ท่ามกลางแม่น้ำเหิงเหอแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลย”
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “จำนวนผู้คนที่หลงอยู่ในแม่น้ำเหิงเหอมีมากมายเหลือเกิน จอมราชันเซียนหวัง จอมเทพระดับสูงล้วนเคยหลงทางมาก่อน และไม่ได้กลับออกมาอีกเลย ถ้าหากหมายก้าวข้ามโดยอาศัยกำลังล่ะก็ ยาก ยากมาก ยากมากๆ มันต้องก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ยาว ยาวมากๆ ยังไม่ทันก้าวไปถึงจุดเริ่มต้นของมันก็จะแก่ชราและเสียชีวิตลงเสียก่อน ในขณะนี้หากคิดจะข้ามไปต้องอาศัยเรือเท่านั้น”
“จอมราชันเซียนหวัง มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงมาก ทำไมถึงหลงทางได้หละ?” ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ ตัดเรื่องทักษะยุทธแข็งแกร่งและอ่อนด้อยไม่ต้องไปพูดถึง อย่างน้อยที่สุดการที่บุคคลผู้นั้นสามารถเป็นถึงระดับจอมราชันเซียนหวังได้นั้น พวกเขาล้วนแล้วแต่มีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคงมาก แล้วจะหลงอยู่ท่ามกลางแม่น้ำเหิงเหอได้อย่างไรกัน
“เจ้าทดลองดูแล้วก็จะเข้าใจเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมย
“เรื่องนี้…” สีหน้าของธิดาราชันฉีหลินพลันแปรเปลี่ยนไป สิ่งนี้หาใช่เป็นเพราะนางเป็นคนใจเสาะ เพียงแต่กระทั่งจอมราชันเซียนหวังยังหลงทางได้ นางเองก็ไม่มีความมั่นใจเช่นกัน ตัวของนางในเวลานี้ยังไม่สามารถเทียบได้กับจอมราชันเซียนหวัง
“วางใจเถอะ มีข้าคอยคุ้มครองเจ้าอยู่ ไม่เกิดเรื่องขึ้นแน่นอน” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย และกล่าวว่า “ลองดูสักครั้งก็ดี ไม่แน่นักอาจจะเป็นผลดีต่อวาสนาของเจ้า ทดลองลิ้มลองสักหน่อยก็พอ ถึงเวลานั้นข้าจะดึงตัวเจ้ากลับมาทันการอยู่แล้ว”
เมื่อธิดาราชันฉีหลินได้ยินคำพูดคำนี้ของหลี่ชิเย่แล้วถึงกับโล่งอก นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ยืนอยู่ริมแม่น้ำเหิงเหอและตัดสินใจเด็ดขาด กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นว่า “ข้าพร้อมแล้ว”
“ไปเถอะ…” ในเวลานี้เอง ด้านหลังของธิดาราชันฉีหลินปรากฏเสียงของหลี่ชิเย่ที่ดังขึ้นมา ผลักตัวนางเบาๆ นางก็ก้าวเท้าเข้าไปอยู่ท่ามกลางแม่น้ำเหิงเหอเลย เมื่อธิดาราชันฉีหลินก้าวสู่แม่น้ำเหิงเหอแล้ว ร่างของนางพลันหายตัวไปทันที
ในเวลานี้ ด้านหน้าของธิดาราชันฉีหลินเปลี่ยนไป มันมีแม่น้ำเหิงเหอเสียที่ไหนกัน ในขณะนี้นางเหมือนอยู่ท่ามกลางโลกที่วุ่นวาย เห็นเพียงเมืองโบราณที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก สถานที่แห่งนี้มีกลิ่นอายที่บอกไม่ถูกตลบอบอวลอยู่ กลิ่นอายนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกสงบ ทำให้จิตใจสงบลง เมื่อธิดาราชันฉีหลินยืนอยู่ท่ามกลางเมืองโบราณแห่งนี้ รับรู้กลิ่นอายที่สงบเช่นนี้แล้ว ทำให้นางไม่รู้สึกตื่นตระหนกเลยแม้แต่น้อย จิตใจสงบลง แต่ว่า ในขณะนี้นางยังคงมีสติที่ดีมากอยู่
ขณะที่ธิดาราชันฉีหลินปรากฏตัวท่ามกลางเมืองโบราณแห่งนี้นั้น บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ดูคึกคักและมีความเจริญรุ่งเรืองยิ่งนัก แต่ว่า ท่ามกลางความเจริญลักษณะเช่นนี้ยังคงมีความเอ้อระเหยสบายๆ และสงบอย่างบอกไม่ถูก
ธิดาราชันฉีหลินถึงกับพินิจพิเคราะห์ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาตรงหน้า รูปแบบของเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวของพวกเขาเหล่านั้นนางไม่เคยเห็นมาก่อน อีกทั้งพวกเขายังประกอบด้วยชาติพันธุ์ที่หลากหลาย และเป็นชาติพันธุ์ที่นางไม่เคยพบเห็นมาก่อนเช่นกัน อีกทั้งภาษาที่พวกเขาใช้พูดกันนั้นนางก็ฟังไม่รู้เรื่อง
ขณะที่ธิดาราชันฉีหลินปรากฏตัวอยู่ในเมืองโบราณที่ไม่รู้จักชื่อ ผู้คนที่เดินเฉียดนางผ่านไปมาถึงกับจ้องมองนางหลายครั้ง ธิดาราชันฉีหลินมองว่าผู้คนโลกนี้แปลกประหลาดน่าตื่นเต้น ขณะเดียวกัน ไหนเลยที่ผู้คนบนโลกนี้จะไม่มองว่าธิดาราชันฉีหลินนั้นประหลาดยิ่งนักกันเล่า
แม้ว่าการปรากฏตัวของธิดาราชันฉีหลินบนโลกใบนี้ดูจะเข้ากันไม่ได้กับโลกนี้เลย แต่ว่า บรรดาผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมากลับไม่ได้มีการมุงดูนาง ตรงกันข้าม ผู้คนเหล่านี้ต่างเผยรอยยิ้มที่สงบสุขและยิ้มพยักหน้าให้กับธิดาราชันฉีหลิน ดูเป็นมิตรยิ่งนัก
ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกว่านี่อาจเป็นเพียงภาพลวงตา ดังนั้น นางจึงทักทายกับคนที่อยู่ข้างกาย จับมือกับเขา นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นและเป็นจริงยิ่ง นี่คือการดำรงอยู่ที่แท้จริง นางได้มาอยู่ในโลกที่ไม่เคยมีมาก่อน
ในขณะนี้ ธิดาราชันฉีหลินมีสติเต็มร้อย นางสามารถตัดสินได้ว่านี่หาใช่เป็นมโนภาพ ดังนั้น เวลานี้นางมั่นใจว่าตนเองจะต้องมาอยู่ ณ โลกที่ไม่เคยมีมาก่อนแน่นอน
ธิดาราชันฉีหลินก้าวเดินอยู่ท่ามกลางเมืองโบราณแห่งนี้ ทำความเข้าใจกับขนบธรรมเนียมประเพณีของเมืองโบราณแห่งนี้ จากการที่นางก้าวเดินไปเรื่อยๆ นางพบว่าที่นี่เป็นโลกที่มีพุทธศาสนาเป็นใหญ่ การได้บวชเป็นพระเป็นสิ่งแสวงหาของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาจำนวนมาก
ธิดาราชันฉีหลินเดินอยู่ในเมืองโบราณแห่งนี้ เดินไปหยุดไป เริ่มรู้จักโลกนี้มากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่ก้าวเดินอยู่ท่ามกลางโลกใบนี้ นางได้ผ่านเมืองโบราณเมืองแล้วเมืองเล่า ไปถึงสถานที่แต่ละแห่ง ได้รู้จักขนบธรรมเนียมประเพณีของโลกใบนี้เป็นอันมาก
ธิดาราชันฉีหลินเริ่มรู้สึกชอบโลกนี้ขึ้นมาเสียแล้ว ขณะที่นางก้าวเดินอยู่บนโลกใบนี้ นางรู้สึกถึงความสงบสุข ธิดาราชันฉีหลินรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นได้หลอมรวมเข้าไปอยู่ในโลกใบนี้แล้วอย่างไม่รู้ตัว
แรกเริ่มเดิมทีนางยังคงมีสติที่เต็มร้อย แต่จากการที่นางก้าวเดินบนโลกใบนี้นานเข้าๆ นางได้หลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้อย่างช้าๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เข้าแล้ว ในเวลานี้นางไม่สนใจว่าตัวเองนั้นมาจากไหน ต่อให้รู้ว่านางไม่ใช่คนในโลกใบนี้ แต่นางก็ไม่สนใจอีกต่อไป ได้แต่ก้าวเดินบนโลกนี้ต่อไปเรื่อยๆ ต้องการกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้
อีกทั้ง จากการที่ธิดาราชันฉีหลินก้าวเดินบนโลกนี้ต่อไป นางรู้สึกได้ว่าเหมือนมีพลังสายหนึ่งเรียกหานางอยู่ท่ามกลางความมืดมนให้นางไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง ในขณะนี้ธิดาราชันฉีหลินไม่สามารถควบคุมเสียงเพรียกหาเช่นนี้ได้อีก เริ่มปล่อยไปตามจิตของตนเชื่อฟังเสียงเพรียกหาเช่นนี้ ไปยังสถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดของเสียงนี้
จังหวะที่ธิดาราชันฉีหลินมุ่งไปยังสถานที่แห่งนั้น ทันใดนั้น สภาพตรงหน้ามีการเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่หายไปสิ้น ในเวลานี้สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าของนางยังคงเป็นน้ำในแม่น้ำเหิงเหอที่ไหลรินอย่างเงียบๆ
ในเวลานี้ธิดาราชันฉีหลินตะลึงงันอยู่ตรงนั้น เหงื่อเย็นไหลโทรมกายด้วยความตกใจ นาทีนี้นางจึงเข้าใจได้ว่าตนเองได้หลงอยู่ท่ามกลางโลกใบนั้น ถ้าหากไม่เป็นเพราะหลี่ชิเย่ดึงตัวนางกลับมาในวินาทีสุดท้าย เกรงว่านางที่เชื่อฟังตามคำเพรียกหาคงไม่สามารถกลับมาได้อีก
ไม่ง่ายนักกว่าธิดาราชันฉีหลินจะได้สติกลับมาพร้อมกับเหงื่อเย็นที่ไหลออกมาและร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง นางอดที่จะถามขึ้นมาว่า “ข้าเข้าไปนานแค่ไหนแล้ว?”
“แค่แวบเดียวเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉย
ธิดาราชันฉีหลินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง เพื่อสะกดจิตใจของตนให้มั่น และพูดด้วยความสะเทือนหวั่นไหวว่า “ข้าได้เห็นมุมหนึ่งของโลก”
“ไม่ ที่เจ้าเห็นนั้นเป็นเพียงเม็ดทรายเม็ดหนึ่งของแม่น้ำเหิงเหอเท่านั้นเอง เป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ ของยุคสมัยนั้นเท่านั้น ซึ่งคล้ายดั่งยุคสมัยของพวกเราที่เริ่มมีสิ่งมีชีวิตจนถึงปัจจุบัน ได้เปลี่ยนยุคสมัยไปแล้วจำนวนนับไม่ถ้วน เคยกำเนิดจอมราชันเซียนหวังมาแล้วแต่ละยุคสมัย ขณะที่เจ้าได้รั้งอยู่ที่ยุคสมัยนั้นเพียงไม่กี่วัน ดังนั้น การรั้งอยู่ที่ยุคสมัยลักษณะเช่นนี้ของเจ้านับว่าเป็นระยะเวลาที่น้อยมาก” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ
คำพูดของหลี่ชิเย่ยิ่งสร้างความหวาดกลัวมากต่อธิดาราชันฉีหลิน นางได้รั้งอยู่ที่นั่นด้วยเวลาที่สั้นมากจนไม่คู่ควรจะกล่าวถึง แต่ นางได้หลงอยู่ที่นั่นเสียแล้ว หากไม่เป็นเพราะหลี่ชิเย่ นางจะไม่ได้กลับมาอีกเลย ดังนั้น นาทีนี้นางจึงได้เข้าใจแล้วว่าเพราะอะไรจึงมีจอมราชันเซียนหวังที่หลงอยู่ท่ามกลางแม่น้ำเหิงเหอ เพราะต้องท่องไปเป็นยุคสมัยเลยนะ
“ท่องไปเป็นยุคสมัย” ธิดาราชันฉีหลินถึงกับผวา และกล่าวว่า “เกรงว่าคงไม่มีใครสามารถก้าวข้ามไปได้ ยังไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ามีใครที่สามารถมีชีวิตอยู่ได้เป็นยุคสมัย!”
“ขอเพียงเจ้ามีอายุเป็นอมตะ ขอเพียงเจ้ามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มั่นคง เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถก้าวผ่านยุคสมัยเช่นนี้ไปได้” หลี่ชิเย่หัวเราะออกมาทีหนึ่ง
“โลกนี้มีใครสามารถทำเช่นนี้ได้รึ?” ธิดาราชันฉีหลินไม่อยากจะเชื่อ สิ่งนี้ใช่ว่านางไม่เชื่อในเรื่องจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของจอมราชันเซียนหวัง แต่เป็นเพราะต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังก็ไม่สามารถมีชีวิตอยู่เป็นอมตะได้ การที่จะก้าวข้ามยุคสมัยเช่นนี้รับประกันได้ว่าจะต้องตายอยู่ในนั้นแน่ เพราะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในนานถึงเพียงนั้น
“เคยมีคนผู้หนึ่ง” หลี่ชิเย่มองดูน้ำในแม่น้ำเหิงเหอ มองจนเหม่อลอย และยิ้มกล่าวเรียบๆ ขึ้นมาว่า “เคยมีคนผู้หนึ่งที่ก้าวสู่แม่น้ำเหิงเหอ ก้าวเดินไปทีละก้าวๆ ก้าวเดินทุกยุคทุกสมัย ก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลาในทุกๆ ช่วงเวลาของยุคสมัยนี้ ก้าวไปทุกซอกทุกมุม สุดท้ายก้าวข้ามยุคสมัยนี้ไปได้ และก้าวไปถึงอีกฟากฝั่งของยุคสมัยนั้นอย่างแท้จริง ยืนยันในตำนานดังกล่าว”
“ใช่จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายรึ?” ธิดาราชันฉีหลินหลุดปากพูดออกมา เนื่องจากเรื่องราวของราชันเทพชิงมู่เต็มไปได้ความอัศจรรย์
แต่ ธิดาราชันฉีหลินได้สติกลับมาอย่างรวดเร็ว มองดูท่าที่และรอยยิ้มที่เฉยเมยของหลี่ชิเย่แล้ว และมองเห็นสายตาของหลี่ชิเย่ที่จ้องมองไปยังน้ำในแม่น้ำเหิงเหอ นางถึงกับตัวสั่นเทาทีหนึ่ง และร้องเสียงหลงว่า “เป็นคุณชายท่าน!”
หลี่ชิเย่เพียงอมยิ้มไม่ตอบคำถาม สำหรับการคาดเดาของธิดาราชันฉีหลิน
ธิดาราชันฉีหลินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ภายในใจรู้สึกหวั่นไหวยิ่งนัก นางรู้ว่าหลี่ชิเย่เป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งเท่านั้น นาทีนี้นางจึงได้เข้าใจว่าอะไรที่เรียกว่าลึกล้ำยากจะหยั่งถึง นางรั้งอยู่ในยุคสมัยนั้นเพียงแค่ช่วงระยะเวลาที่สั้นมากยังคงหลงอยู่ในนั้นเสียแล้ว
ขณะที่หลี่ชิเย่ก้าวข้ามยุคสมัยทั้งยุค ก้าวข้ามทุกช่วงเวลาของสายน้ำแห่งกาลเวลาของยุคนั้น ทุกซอกทุกมุม ช่างเป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะน่าสยดสยองเพียงใด เป็นผู้ที่สามารถก้าวข้ามการดำรงอยู่ของสายน้ำแห่งกาลเวลาอย่างสิ้นเชิง นั่นเท่ากับได้หลุดพ้นจากความเป็นความตายไปแล้ว
การดำรงอยู่ในลักษณะเช่นนี้ เกรงว่าคงไม่ด้อยไปกว่าจอมราชันเซียนหวังใดๆ ที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายไว้ในครอบครอง!
“เรือข้ามฟากมาแล้ว พวกเราไปกันเถอะ ไปยังแดนนิพพานสักหน่อย ดูว่ายังคงเป็นแดนนิพพานในวันนั้นหรือไม่ แต่ หากมีวาสนาก็จะได้รับโชค” หลี่ชิเย่เงยหน้ามองดูแม่น้ำเหิงเหอและพูดเฉยเมยขึ้นมา
ธิดาราชันฉีหลินเงยหน้ามองเห็นแม่น้ำเหิงเหอปรากฎเรือลำหนึ่งที่ค่อยๆ แล่นเข้ามา ไม่ช้าไม่เร็วเกินไป
เมื่อมองดูเรือลำนี้ให้ละเอียดจะพบว่าเรือลำนี้ไม่ใหญ่และเล็กเกินไป สามารถจุคนได้เพียงสามถึงห้าคนเท่านั้นเอง ตัวเรือเป็นสีดำทั้งลำ ไม่ทราบชนิดของไม้ที่ใช้สร้าง ผู้ที่พายเรือลำนี้เป็นภิกษุสงฆ์ผู้หนึ่ง
เมื่อเรือมาจอดเทียบที่ท่าเรือแล้วนั้น ทุกคนจึงได้เห็นภิกษุสงฆ์ที่พายเรือนั้นเป็นคนตายคนหนึ่ง แม้ว่าภิกษุสงฆ์คนนี้จะเป็นคนที่ตายไปแล้ว ใบหน้าออกเป็นสีเหลืองอ่อนๆ นัยน์ตาปราศจากประกาย แต่เขายังคงมีการเคลื่อนไหวที่คล่องแคล่ว เหมือนไม่มีสิ่งใดแตกต่างไปจากคนที่ยังมีชีวิตอยู่