หลี่ชิเย่ยืนอยู่ตรงนั้น ท่ามกลางรัศมีเซียนที่ไม่มีสิ้นสุด ทั่วทั้งตัวของเขาพวยพุ่งเป็นเปลวเพลิงเซียนออกมา นาทีนี้ เดิมหลี่ชิเย่ที่ดูเป็นบุคคลธรรมดากลับไม่ธรรมดาสักนิด เสมือนหนึ่งได้กลายเป็นเซียนที่ถูกส่งตัวลงมาจากสวรรค์
หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ท่ามกลางรัศมีเซียนที่ไม่มีสิ้นสุด ร่างกายของเขาถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงเซียน ตัวของเขาเสมือนหนึ่งเป็นวิถีเซียนที่กำลังไหลรินอยู่ แม้ว่าตัวของเขาจะยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้ขยับตัว ทันใดนั้นทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเขาได้ไหลผ่านสายน้ำแห่งกาลเวลาไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นอดีตหรืออนาคตล้วนแล้วแต่ถูกเขาก้าวข้ามไป กาลเวลาไม่ใช่ช่วงห่างอีกต่อไปแล้ว
เมื่อหลี่ชิเย่ยืนอยู่ตรงนั้นนิ่งๆ เหมือนว่าทุกอย่างได้กลับกลายเป็นฝุ่นผงไปแล้ว เหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนไม่มีความสำคัญ การถือกำเนิดและดับสูญของโลกขึ้นอยู่กับเสี้ยวหนึ่งของความคิดของเขาเท่านั้นเอง
ในเวลานี้ เมื่อหลี่ชิเย่ก้าวเท้าออกเดินก็ให้กำเนิดโลกมนุษย์ หยุดเดิน ก็คือการล่มสลายของหนึ่งยุคสมัย การยืนอยู่ที่ตรงนั้นของเขาได้ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ ไม่เพียงแค่จักรวาล แม้แต่กาลเวลาก็แค่ทรายที่ไหลผ่านร่องระหว่างนิ้วมือของเขาเท่านั้นเอง
เขายืนอยู่ตรงนั้นในลักษณะเช่นนี้ กลายเป็นอดีตถึงปัจจุบัน กลายเป็นนิรันดร์ เหมือนว่าแม้แต่จอมราชันเซียนหวังเมื่ออยู่ตรงหน้าของเขาก็จะค่อยๆ ผ่านไปเหมือนสายน้ำ แม้ว่าระหว่างจอมราชันเซียนหวังกับตัวของเขายังคงมีช่องว่างที่ไม่สามารถก้าวข้ามกันไปได้ตลอดกาล
“นี่มันอะไรกันเนี่ย? จะกลายเป็นเซียนแล้วรึ?” ทุกคนมองดูด้วยความงงงัน เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ที่อยู่ในบริเวณลึกที่สุดของไกลกันดารถูกปกคลุมไปด้วยรัศมีเซียนไปทั่วทั้งร่าง ไม่รู้ว่าสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือเรื่องจริงหรือเท็จ กระทั่งสงสัยว่าได้กลายเป็นเซียนจริงๆ แล้วใช่หรือไม่
นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน ผู้คนบนโลกต่างรู้ว่าไม่มีเซียนบนโลกนี้ และไม่มีใครสามารถกลายเป็นเซียนได้ แต่ทว่า เวลานี้เมื่อได้เห็นลักษณะของหลี่ชิเย่แล้ว ผู้คนจำนวนมากถึงกับรู้สึกว่าบนโลกนี้น่าจะมีเซียนจึงจะถูก
ขณะเดียวกัน ผู้คนจำนวนมากรู้สึกสะเทือนหวั่นไหวจนยากจะหาใดเทียม อ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้น แม้แต่ระดับจอมเทพก็เป็นเช่นนั้น ในเวลานี้พวกเขาไม่สามารถเรียกสติคืนกลับมา เนื่องจากหลี่ชิเย่อาศัยมือขนาดใหญ่เพียงข้างเดียวก็สามารถบดขยี้ทำลายราชันมารเซ่าเจี้ยนได้ เกรงว่าภาพที่น่าสยองขวัญเช่นนี้ ชั่วชีวิตพวกเขาคงจะได้เห็นเป็นครั้งแรก
ราชันมารเซ่าเจี้ยนคือจอมราชันที่มีชะตาฟ้าห้าสายอยู่ในครอบครอง ต่อให้ร่างตัวแทนของเขาจะมีพลังเพียงแค่หนึ่งหรือสองในสิบส่วน ยังคงน่ากลัวยิ่งนัก แข็งแกร่งสุดจะหาใดเทียม แต่หลี่ชิเย่ในเวลานี้บอกจะทำลายก็ทำลาย บอกจะเข่นฆ่าก็ฆ่าเลย แค่ลงมือก็สามารถบดขยี้ทำลายร่างตัวแทนของราชันมารเซ่าเจี้ยนจนไม่เหลือซากอย่างง่ายดาย ช่างเป็นพลังที่น่าสยองขวัญเช่นใด
“นี่มันคือพลังอะไรกันแน่นะ?” ในเวลานี้แม้แต่ระดับจอมเทพยังเซ่อไปเลย บนตัวของหลี่ชิเย่ไม่ได้มีกลิ่นอายของชะตาฟ้า และไม่ได้มีพลังจากกลิ่นอายขมุกขมัวที่สูงสุดแบบนั้น แต่ทว่า การที่เขายืนอยู่ตรงนั้นก็คล้ายดั่งกลายเป็นเซียนแล้วอย่างนั้น มือข้างเดียวบดขยี้และสยบร่างตัวแทนของจอมราชัน ความสยองขวัญเช่นนี้ ทำให้ผู้คนอดที่จะคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่ได้ ทำให้ผู้คนหวาดกลัวและศิโรราบด้วยสัญชาตญาณ
“นี่เป็นการฝืนลิขิตสวรรค์นะเนี่ย หรือว่าบนโลกใบนี้มีผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นนี้อยู่จริง บางทีอาจมีเพียงจอมราชันเซียนหวังที่มีสิบสองชะตาฟ้าจึงสามารถท้าทายเขาได้แล้วหละ” จอมเทพรุ่นดึกดำบรรพ์ดูจะรู้ดีมากกว่ายอดฝีมืออื่นๆ กล่าวด้วยความหวาดหวั่นพรั่นพรึง และรู้สึกขนลุกซู่ในใจ เมื่อได้เห็นลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่
“ตูม…” เสียงดังสนั่น ขณะที่ทุกคนกำลังอยู่ระหว่างตกใจและหวาดหวั่นพรั่นพรึง ทันใดนั้น ท้องฟ้าพลันแตกละเอียด เสมือนหนึ่งท้องฟ้าทั้งผืนของไกลกันดารถูกใครเขาเหยียบจนละเอียดอย่างนั้น มีผู้ที่ก้าวเดินมาจากมิติที่ห่างไกลมาก ขณะที่ท้องฟ้าของไกลกันดารสำหรับเขาแล้ว ก็แค่ประตูที่บอบบางเหมือนกระดาษเท่านั้น แค่ยกเท้าตามอามรณ์ก็สามารถกระทืบจนแหลกละเอียด
ทันใดนั้น ร่างเงาที่สูงตระหง่านสี่สายปรากฎตรงหน้าของทุกๆ คน พวกเขาปรากฎตัวได้รวดเร็วมาก ไม่มีใครสามารถมองเห็นพวกเขามาปรากฏตัวที่ไกลกันดารได้อย่างไร เมื่อทุกคนมองเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาก็ได้ยืนอยู่ที่ไกลกันดารกันแล้ว
เสียง “ตูม…” ดังสนั่น นาทีนี้อานุภาพจอมราชันเซียนหวังไม่มีสิ้นสุดได้อาละวาดไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ต่อให้ชะตาฟ้ายังไม่ปรากฏก็ตาม แต่พลังของชะตาฟ้าก็ได้กวาดไปทั่วโลกาอย่างบ้าคลั่ง พลังของชะตาฟ้าดั่งพายุที่โหมพัดกรรโชกเข้ามา ทำให้ทุกๆ ชีวิตต้องสั่นเทาภายใต้พลังลักษณะเช่นนี้
ร่างจริงของจอมราชันเซียนหวังทั้งสี่มาด้วยตนเอง อานุภาพจอมราชันของพวกเขาได้สยบทุกคนเอาไว้ เปลวเพลิงจอมราชันได้ปกคลุมไปทั่วทั้งโลกา ประกายจอมราชันของพวกเขาละลานตาจนไม่สามารถลืมตาขึ้นมาได้ เหมือนหนึ่งดวงอาทิตย์นับล้านล้านดวงที่ลอยขึ้นมาอย่างช้าๆ กระทั่งเนตรฟ้ายังยากที่จะลืมตาขึ้นมาได้
จอมราชันเซียนหวังทั้งสี่ล้วนแล้วแต่สวมชุดเกราะ เสมือนหนึ่งคือขุนพลสวรรค์ที่ปราศจากผู้ต่อกร พวกเขาสามารถกวาดล้างสิ้นคนเลวทั้งหมดบนโลกใบนี้! ไม่มีผู้ใดสามารถต้านอานุภาพจอมราชันของพวกเขาได้ ไม่มีผู้ใดสามารถต่อต้านปณิธานจอมราชันของพวกเขาได้
“ฝ่าบาท…” ยามที่จอมราชันเซียนหวังทั้งสี่องค์มาด้วยตนเองนั้น ไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่สยบทั้งกายใจ ส่งเสียงร้องดังขึ้นมา ศิโรราบภายใต้อานุภาพของจอมราชันเซียนหวัง
“กองกำลังนกหวีดน้อย…” แม้แต่ระดับจอมเทพยังต้องถอยห่างไปด้วยความเคารพยำเกรง ต่างทยอยกันถอยไปให้ไกล ไม่กล้าไปแปดเปื้อนน้ำครำในครั้งนี้ เมื่อเห็นจอมราชันทั้งสี่มาด้วยตนเอง
ยกเว้นราชันสวรรค์ขวางเส้าที่ถูกสังหารไป สมาชิกที่เป็นจอมราชันเซียนหวังทั้งสี่ของกองกำลังนกหวีดน้อยล้วนอยู่ที่ตรงนี้
ฉับพลันนั้น ฟ้าดินเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนล้วนแล้วแต่กลั้นลมหายใจเอาไว้ และเข้าใจกันว่า กองกำลังนกหวีดน้อยต้องการแก้แค้นให้กับราชันสวรรค์ขวางเส้าที่ตายไป
พวกเขาขณะสาบานเป็นพี่น้องร่วมสาบานเคยให้สัตยาบันว่า จะก้าวเดินไปด้วยกัน ในฐานะที่เป็นระดับจอมราชันเซียนหวัง คำมั่นสัญญาของพวกเขาหาใช่เป็นเพียงลมปาก และไม่ใช่คำพูดโกหกหลอกลวง พวกเขาจะต้องทำตามที่พูด ที่พูดออกไปคือคำบัญชา ไม่สนใจว่าศัตรูจะเป็นใครก็ตาม กองกำลังนกหวีดน้อยจะต้องแก้แค้นให้กับราชันสวรรค์ขวางเส้า
เนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง จึงทำให้ราชันสวรรค์ขวางเส้าใช้อำนาจบาตรใหญ่เสมอมา แต่ว่าไม่ค่อยจะมีใครกล้าไปหาเรื่องกับเขา จะอย่างไรเสียการจะสังหารราชันสวรรค์ขวางเส้าสักคนไม่ยาก แต่หากไปหาเรื่องกับกองกำลังนกหวีดน้อยเข้าล่ะก็ยุ่งยากแน่นอน
“เจ้าก็คือหลี่ชิเย่!” ในบรรดาจอมราชันเซียนหวังทั้งสี่ ผู้ที่แผ่อานุภาพจอมราชันที่แข็งแกร่งมากที่สุด ซึ่งเป็นชายวัยกลางคนได้ก้าวเดินออกมา โดยชายวัยกลางคนผู้นี้มีดวงตาคู่ที่เป็นเนตรกษัตรา เหมือนหนึ่งเป็นเนตรวัฏสงสาร ดวงตาคู่นั้นของเขาสามารถทำให้เกิดวัฏสงสารราชวงศ์แล้วราชวงศ์เล่า สามารถทำลายล้างยุคสมัยแล้วยุคสมัยเล่า ผู้คนจำนวนมากแค่ถูกเขามองตาทีหนึ่งก็ถูกดูดเอาวิญญาณไปแล้ว อย่าว่าแต่ไปต่อต้านเขาเลย
จอมราชันผู้นี้ก็คือราชันมารเซ่าเจี้ยน ผู้ก่อตั้งกองกำลังนกหวีดน้อย และเป็นจอมราชันที่แข็งแกร่งมากที่สุดในบรรดาสมาชิกกองกำลังนกหวีดน้อย เนื่องจากเขามีชาติกำเนิดเป็นเผ่ามาร ลูกตาดำคู่นั้นของเขามีอำนาจมารที่ยากจะหาผู้ใดมาเทียบเทียม
ฟังว่าราชันมารเซ่าเจี้ยนมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยมาก เขามีชาติกำเนิดเป็นไพร่ เป็นเด็กที่คอยบำบัดความใคร่ให้กับเศรษฐี ภายหลังได้ตำราโบราณมาเล่มหนึ่ง จากนั้นจึงได้ก้าวสู่เส้นทางการบำเพ็ญเพียร สุดท้ายได้กลายเป็นจอมราชันแห่งยุค
เรียกได้ว่า การที่ราชันมารเซ่าเจี้ยนมีชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยถึงเพียงนี้ กลับสามารถสร้างผลงานได้เช่นนี้นับว่าไม่ง่ายเลย
“ถูกต้อง” ในเวลานี้หลี่ชิเย่นั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางรัศมีเซียน ถูกห่อหุ้มด้วยเปลวเพลิงเซียนทั้งตัว เสมือนหนึ่งเขาคือเซียนองค์หนึ่ง ไม่มีดับสูญนับแต่อดีตเป็นต้นมา เพียงเขาเอ่ยคำออกมาตามอารมณ์สักคำก็จะกลายเป็นสัจธรรม
ในขณะนี้ ดวงตาของราชันมารเซ่าเจี้ยนดูลึกล้ำและจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ หลังจากผ่านไปชั่วครู่ เขาได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ไม่ทราบว่าสหายมีชาติกำเนิดมาจากที่ใด?”
ต่อให้ราชันมารเซ่าเจี้ยนคือจอมราชันที่มีชะตาฟ้าห้าสาย แต่ว่าเขายังคงมองหลี่ชิเย่ไม่ขาด ในสายตาของเขามองว่า แม้หลี่ชิเย่จะไม่มีชะตาฟ้า แต่กลับน่ากลัวยิ่งกว่าพวกเขาที่เป็นเพียงจอมราชันระดับล่าง
จะอย่างไรเสียราชันมารเซ่าเจี้ยนคือผู้ที่ผ่านอุปสรรคมาจำนวนนับไม่ถ้วน เขาไม่อวดดีเหมือนเช่นราชันสวรรค์ขวางเส้า จะอย่างไรเสีย ชีวิตของราชันสวรรค์ขวางเส้าราบรื่นเกินไป เจอะเจอกับใครก็ทำนิสัยแบบนี้ ขณะที่ราชันมารเซ่าเจี้ยนทำอะไรก็จะสุขุมรอบคอบกว่ากันมากทีเดียว
“ชาติกำเนิดอะไร มันสำคัญมากนักรึ?” หลี่ชิเย่เอ่ยราบเรียบขึ้นมาว่า “ในเมื่อพวกเจ้าบอกว่าจะสู้ งั้นก็สู้กันก็แล้วกัน”
การที่หลี่ชิเย่พูดตรงเช่นนี้ ทำให้ราชันมารเซ่าเจี้ยนและจอมราชันเซียนหวังอีกสามองค์ถึงกับตะลึง พวกเขาที่เป็นจอมราชันทั้งสี่มายืนอยู่ที่ตรงนี้ หลี่ชิเย่ยังคงดูถูกพวกเขาถึงเพียงนี้ ยังคงประกาศศึกกับพวกเขา นับว่าพาลเหลือเกิน
“สหาย พวกเราที่เป็นพี่น้องของกองกำลังนกหวีดน้อยทั้งห้าเคยสาบานร่วมเป็นร่วมตาย ก้าวไปด้วยกัน” ราชันมารเซ่าเจี้ยนจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ แววตากระตุกนิดหนึ่ง และกล่าวว่า “เจ้าสังหารพี่น้องขวางเส้าของพวกเรา แค้นนี้ไม่อาจเลิกราเพียงเท่านี้”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่หัวเราะจางๆ ท่าทีสงบสบายๆ กล่าวเอ้อระเหยว่า “พวกเจ้าคิดจะทำอย่างไรหละ?”
หลี่ชิเย่ไม่มีท่าทีประณีประนอมเลย ทำให้พวกของราชันมารเซ่าเจี้ยนถึงกับมองตากันและกัน สุดท้ายยังคงเป็นราชันมารเซ่าเจี้ยนออกหน้า กล่าวเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “สหาย เจ้าสังหารพี่น้องของพวกเรา ข้อเรียกร้องของพวกเราก็ไม่เกินเลย ขอเพียงสหายยอมก้มหัวรับผิดต่อหน้าสุสานฝังหมวกและชุดของพี่น้องเรา เพื่อเซ่นวิญญาณที่อยู่บนฟ้าของพี่น้องเรา ข้าเชื่อว่าพวกเราสามารถให้บุญคุณความแค้นนี้จบสิ้นลงได้”
คำพูดของราชันมารเซ่าเจี้ยนสร้างความตื่นตะลึงให้กับผู้คนจำนวนมาก แรกทีเดียวทุกคนรู้ว่าราชันมารเซ่าเจี้ยนต้องการเปิดศึกกับหลี่ชิเย่ แต่ว่า ภายในระยะเวลาอันสั้นราชันมารเซ่าเจี้ยนกลับเปลี่ยนท่าที และเป็นท่าทีที่ยอมอ่อนข้อให้ นับว่าทำให้ผู้คนยากจะเชื่อ
ราชันมารเซ่าเจี้ยนเองหาใช่เป็นคนกินมัง ในรอบพันปีหมื่นปีที่ผ่านมานับว่าเขาไม่ได้เสียชาติเกิด แม้ว่าเขาจะไม่รู้ถึงชาติกำเนิดของหลี่ชิเย่ แต่ก็ดูออกว่าหลี่ชิเย่นั้นลึกล้ำยากจะหยั่งถึง
พูดตามตรง เพื่อราชันสวรรค์ขวางเส้าแล้วปะทะกับศัตรูที่ไม่อาจประเมินได้จนถึงที่สุด เป็นการกระทำที่ไม่ฉลาดเอาเสียเลย พวกของราชันมารเซ่าเจี้ยนย่อมรู้ดีว่าคนอย่างราชันสวรรค์ขวางเส้ามีนิสัยร้ายกาจอย่างไร การที่เขาถูกผู้อื่นสังหารไม่ได้อยู่เหนือความคาดคิดของพวกเขาเลย
แต่ว่า ครั้งนั้นพวกเขามีคำมั่นสัญญาอยู่ก่อน ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ต้องทำตามสัญญา ต่อให้ไม่สามารถทำให้หนี้เลือดต้องล้างด้วยเลือดให้กับราชันสวรรค์ขวางเส้า ก็สมควรได้ปลอบประโลมวิญญาณของราชันสวรรค์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์บ้าง
เวลานี้ทุกคนต่างกลั้นลมหายใจและมองไปที่หลี่ชิเย่ ขนาดความแค้นที่ยิ่งใหญ่เพียงนี้พวกของราชันมารเซ่าเจี้ยนยังยินดีสลายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นนั้นแล้ว หลี่ชิเย่จะเลือกอย่างไร เพราะว่าขอเพียงผู้ที่มีสติสัมปชัญญะสักนิดก็ต้องเข้าใจว่าสมควรสลายความแค้นนี้เสีย
“เจ้ารู้หรือไม่?” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “การเป็นศัตรูกับข้ามีทางเลือกเพียงสองทาง หนึ่ง ไม่ก็อยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ต่อให้ข้าเลาะฟันของเจ้าออกจนหมดปาก เจ้าก็ต้องกลืนมันลงท้องไป หลังจากนั้นหากพบกับข้า โลกนี้กว้างไกลแค่ไหนก็จงหลบไปให้ไกลเท่านั้น ยอมอยู่อย่างวันๆ บนโลกแต่โดยดี ไม่ว่าเจ้าจะเคยแข็งแกร่งเพียงใด เคยมีหน้ามีตาเช่นใด ในเวลานี้หากเป็นมังกรก็จงขดตัวเอาไว้ หากเป็นพยัคฆ์ก็จงหมอบอยู่ตรงนั้น!”
“สอง ถ้าหากพวกเจ้าไม่สามารถกล้ำกลืนความอัปยศเช่นนี้หละก็ให้เข้ามาเลย อาศัยกำปั้นของเจ้าไปทำให้ความคิดของเจ้าเป็นจริง บุกโจมตีข้าอย่างหนักหน่วง!” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “แต่ว่า ใครที่เลือกเช่นนี้จะมีทางให้เดินเพียงสายเดียวเท่านั้น…ตาย! ”