ไกลกันดารคือยุคสมัยไม่สมประกอบที่ยังคงหลงเหลืออยู่ และคือหนึ่งในยุคสมัยไม่สมประกอบที่หลงเหลืออยู่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของแดนแห่งการสืบค้น ที่ยากยิ่งกว่าก็คือ ในไกลกันดารซึ่งเป็นยุคสมัยที่ไม่สมประกอบซึ่งยังหลงเหลืออยู่กลับยังคงมีผู้ยิ่งใหญ่ของยุคสมัยดังกล่าวที่ยังคงมีชีวิตอยู่
สถานที่ที่สามารถยกย่องว่าเป็นยุคสมัยไม่สมประกอบที่ยังหลงเหลืออยู่ได้เต็มปากมีอยู่หลายแห่งด้วยกัน แต่ทว่า สถานที่ที่เป็นยุคสมัยไม่สมประกอบที่ยังหลงเหลืออยู่แต่ละแห่งล้วนแล้วแต่เป็นพื้นที่มรณะ ไม่มีสิ่งมีชีวิตหลงเหลืออยู่
แต่ไกลกันดารกลับแตกต่างกัน มีผู้ยิ่งใหญ่จำนวนไม่น้อยที่ยังคงรอดชีวิตและอยู่ในไกลกันดาร
เพียงแต่บรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่รอดชีวิตมาได้นั้นทำได้เพียงนอนหลับใหลอยู่ท่ามกลางยุคสมัยไม่สมประกอบที่ยังหลงเหลืออยู่เท่านั้น ถูกฝังอยู่ภายใต้ซากปรักหักพังเป็นนิรันดร์
เนื่องจากพวกเขาไม่ได้อยู่ในยุคสมัยนี้อีกแล้ว พวกเขาถือเป็นประเภทที่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาที่ได้ไหลเคลื่อนผ่านไปนานมากแล้ว หากพวกเขาต้องการไปจากไกลกันดารล่ะก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อไหร่ที่พวกเขาก้าวออกจากไกลกันดาร กาลเวลาล้านล้านปีก็จะไหลผ่านตัวของพวกเขาไป ต่อให้พวกเขามีความแข็งแกร่งเพียงใดก็ตาม จะไม่สามารถทนต่อกาลเวลานับล้านล้านปีที่เคลื่อนผ่านไป เมื่อถึงตอนนั้น พวกเขาก็ต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไป
พื้นที่ของไกลกันดารนั้นกว้างขวางใหญ่โตมาก สถานที่หลายแห่งเรียกได้ว่าอันตรายยิ่งนัก ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังมาด้วยตนเองก็ไม่แน่ว่าจะกลับออกไปได้อย่างปลอดภัย กระทั่งอาจต้องตายอนาถอยู่ในนี้ก็เป็นได้
ณ สถานที่แห่งหนึ่งของไกลกันดาร ลึกลับและประหลาดมาก สถานที่แห่งนี้น้อยคนนักที่จะเข้ามาถึง ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังที่ได้ครอบครองชะตาฟ้าสิบสายก็ไม่ต้องการก้าวมาอยู่ที่ตรงนี้
สถานที่แห่งนี้ตั้งอยู่บริเวณที่ห่างไกลมากของไกลกันดาร แต่ว่ามันกลับเป็นศูนย์กลางของไกลกันดาร
ที่ตรงนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วยไอหมอก ทั่วทั้งอาณาบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยพลังที่ลึกลับ ภายนอกยากจะมองเห็นสภาพของด้านใน เนื่องจากสถานที่ตรงนี้ได้ถูกตัดขาดการมองเห็นอย่างเด็ดขาดจากพลังที่ยิ่งใหญ่ปราศจากผู้เทียบเทียม
สถานที่ตรงนี้ไม่เพียงถูกปกคลุมด้วยไอหมอกเท่านั้น ทั่วทั้งบริเวณล้วนแล้วแต่มีสีดำเป็นสีหลัก ทอดสายตามองออกไป เห็นเพียงท้องฟ้าที่มีเมฆหมอกเป็นสีม่วงดำ อีกทั้งมีความเข้มข้นไม่มีเสื่อมสลาย เหมือนหนึ่งเป็นเลือดสดๆ ที่กึ่งแห้งอย่างนั้น
สถานที่ตรงนี้มีสิ่งปลูกสร้างหลังแล้วหลังเล่า อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังยังอยู่ในสภาพดี สิ่งปลูกสร้างทุกหลังไม่ได้งดงามและโอ่อ่าอะไรมากนัก โดยก่อขึ้นมาด้วยหินสีดำที่ไม่ทราบชนิด ทุกหลังล้วนแล้วแต่ดูเรียบง่ายแต่ใช้สอยได้ดี และมีความแข็งแรงยิ่งนัก
สิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนี้ ได้ให้ความรู้สึกกับผู้คนถึงไม่มีวันถูกทำลายได้ตลอดกาล สิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างด้วยหินสีดำนี้ดูหนาและแข็งแรงมากเป็นพิเศษ เหมือนว่าต่อให้ฟ้าถล่มลงมาก็ยังทำลายสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ไปไม่ได้
สมควรทราบว่า ท่ามกลางยุคสมัยไม่สมประกอบที่ยังหลงเหลืออยู่ สิ่งก่อสร้างส่วนใหญ่จะถูกทำลาย แต่ทว่า เฉกเช่นสถานที่ที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกป้องกันไว้ได้สมบูรณ์เช่นนี้ ไม่อาจไม่เรียกว่าเป็นความมหัศจรรย์ไม่ได้
ณ สถานที่ลักษณะเช่นนี้ ถ้าหากเดินผ่านไปท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างแต่ละหลังบริเวณนี้ จะบังเกิดมโนภาพขึ้นมา เหมือนว่าที่ตรงนี้เคยมีการบูชายันต์อะไรมาก่อนอย่างนั้น แม้ว่ากาลเวลาได้ผ่านไปนานนับไม่ถ้วนแล้วก็ตามที ขณะที่ก้าวเดินอยู่ท่ามกลางสิ่งปลูกสร้างเหล่านี้ จะรู้สึกได้ว่าเหมือนได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดที่น่าเวทนา เสียงร้องโหยหวนดังก้องกังวานอยู่ข้างหูอย่างนั้น
มโนภาพเช่นนี้ทำให้ผู้คนอดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้ กระทั่งผู้ที่ใจเสาะถึงกลับไม่กล้าก้าวเดินไปข้างหน้าอีกต่อไป
บริเวณที่เป็นส่วนที่ลึกที่สุด และก็คือส่วนที่เป็นศูนย์กลางของสถานที่แห่งนี้ ที่ตรงนั้นปรากฏแท่นบูชาสีดำแท่นหนึ่ง แท่นบูชานี้ไม่ได้มีขนาดที่ใหญ่โตมากเป็นพิเศษ แต่กลับมีความละเอียดมากเป็นพิเศษ อีกทั้งแลดูเหมือนมีความสลับซับซ้อนมาก โดยแท่นบูชานี้ก่อขึ้นโดยหินสีดำขนาดเล็กแต่ละก้อน อีกทั้งหินขนาดเล็กแต่ละก้อนล้วนแล้วแต่มองไม่เห็นร่องของมัน ดูไปแล้วเหมือนว่ามันคือแท่นบูชาที่สมบูรณ์และเป็นเนื้อเดียวกันอย่างนั้น
สิ่งปลูกสร้างทั้งหมดที่อยู่บริเวณนี้ล้วนแล้วแต่ก่อสร้างได้หยาบมาก เป็นงานก่อสร้างที่ดูเป็นงานทั่วไป ซึ่งแตกต่างจากงานของแทนบูชา มันเปรียบเสมือนเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ผ่านการแกะสลักและเจียระไนมาเป็นพันล้านปีอย่างนั้น
ในขณะนี้ มีคนกลุ่มหนึ่งที่ล้อมรอบแท่นบูชาแห่งนี้ คนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่สวมชุดสีดำและอำพรางใบหน้าเอาไว้หมดทุกคน พวกเขาต่างล้อมรอบแท่นบูชาและปากพร่ำบ่นเบาๆ เหมือนเป็นการอธิฐาน และเหมือนเป็นการเทศนาธรรม
ขณะเดียวกัน บนแท่นบูชาได้จัดวางโลงศพสีดำอยู่โลงหนึ่ง โดยที่โลงสีดำโลงนี้ถูกจัดวางอยู่กึ่งกลางของแท่นบูชา หันหัวไปทางทิศเหนือ ส่วนท้ายหันไปทางทิศใต้ ลักษณะท่าทางเหมือนเป็นการพาดผ่านฟ้าดินอย่างนั้น
กลุ่มคนที่ล้อมวงอยู่กับแท่นบูชาก็คือกลุ่มคนที่เป็นกองกำลังของเผ่ารอยโลหิตซึ่งโดยสารมากับเรือนิรันดรนั่นเอง ในเวลานี้โลงศพสีดำที่พวกเขาแบกมาด้วยได้มีการเปิดฝาโลงออกมาแล้ว
กลุ่มคนเผ่ารอยโลหิตที่ล้อมวงอยู่กับแท่นบูชาและเหมือนกำลังเทศนาธรรมเบาๆ ภาษาที่พวกเขาเปล่งออกมานั้นบุคคลภายนอกไม่มีใครฟังออก มันเป็นภาษาที่โบราณและไม่ถือเป็นภาษาของยุคสมัยนี้
สมควรทราบว่า สถานที่แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นจุดศูนย์กลางของไกลกันดาร ต่อให้รู้ว่ามีสถานที่แห่งนี้ก็ไม่แน่ว่าสามารถมาถึงได้ ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังที่แข็งแกร่งมากองค์หนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะมาถึงที่ตรงนี้ได้ กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า ยังไม่ทันได้มาถึงก็ตายอนาถอยู่กลางทางเสียแล้ว
ซึ่งแตกต่างจากเผ่ารอยโลหิต พวกเขาดูเหมือนมีส่วนเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง สำหรับผู้อื่นไกลกันดารคือแผ่นดินอาถรรพ์ แต่กับเผ่ารอยโลหิตของพวกเขาแล้ว ไกลกันดารเป็นความรู้สึกที่เหมือนได้กลับบ้านอย่างหนึ่ง แน่นอน อยู่ที่ว่าบ้านหลังนี้จะยอมรับพวกเขาหรือไม่
ในเวลานี้ คนของเผ่ารอยโลหิตหลายสิบคนกำลังล้อมวงเทศนาธรรมอยู่กับแท่นบูชา หรือจะกล่าวให้ถูกต้องมากกว่านี้เป็นการล้อมวงเทศนาธรรมให้กับโลงสีดำที่ถูกเปิดออกโลงนั้น พวกเขาเหมือนกำลังอธิฐาน เหมือนกำลังเล่าเรื่อง และเหมือนกำลังภาวนาขอ…
“จี๊ด” ในเวลานี้เอง เสียงที่แผ่วเบามากเสียงหนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงที่แผ่วเบาจนยากที่จะได้ยิน แต่ทว่า ในขณะนี้โลงสีดำโลงนั้นถึงกับปรากฏเป็นเส้นเลือดฝอยที่ยื่นออกมาจากภายในโลง
เจ้าสิ่งนี้หาใช่เส้นเลือดฝอยไม่ หากจะกล่าวให้ถูกต้องจะต้องเรียกว่าเป็นหนวดที่มีสีแดง อีกทั้งยังไม่ได้มีเพียงเส้นเดียวเท่านั้น โดยหนวดแต่ละเส้นได้เกาะอยู่กับข้างโลง มันค่อยๆ ไหลออกมาจากภายในโลงเลียบไปตามโลงแล้วลงมายังแท่นบูชา
หนวดสีแดงคาวเลือดแต่ละเส้นขณะเคลื่อนไหวกระดืบไปข้างหน้าแลดูคล้ายเลือดสดๆ ที่กำลังไหลริน จากโลงสีดำไหลไปตามแท่นบูชา
มองดูหนวดสีแดงที่มีขนาดเล็กแต่ละเส้นที่กระจายเต็มพื้นที่ของโลงสีดำโลงนั้นแล้ว เหมือนว่ามันมีหนวดงอกขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วนโดยพลัน ทำให้ขนลุกขนพองเมื่อพบเห็น กระทั่งขณะที่มันเคลื่อนไหวกระดื้บๆ ไปข้างหน้าทำให้รู้สึกสะอิดสะเอียนมากเป็นพิเศษ แทบอยากจะสำรอกอาเจียนออกมา
จากการที่หนวดสีแดงที่คลานออกมาจากโลงศพสีดำเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ภาพตรงนั้นดูไปแล้วยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้น เหมือนว่ามีหนอนโลหิตจำนวนนับไม่ถวนต้องการคลานออกมาจากโลงศพสีดำ จากนั้นก็จะมุดเข้าไปในแทนบูชาอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม จากการที่หนวดสีแดงเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คนของเผ่ารอยโลหิตหลายสิบคนที่ส่งเสียงพึมพำๆ ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แรกทีเดียวพวกเขายังพึมพำด้วยเสียงทุ้มต่ำ มาภายหลังพวกเขาได้เปลี่ยนเป็นเสียงเทศนาที่เป็นเสียงโทนสูงมากขึ้น มองดูท่าทางของพวกเขาที่ส่ายไปส่ายมา ให้ความรู้สึกเหมือนถูกธาตุไฟเข้าแทรกอย่างนั้น
“กี่ปีที่ผ่านไป พวกเจ้ายังคงไม่เลิกรา หรือว่าต้องให้เข่นฆ่าล้างเผ่าพันธุ์รอยโลหิตให้สิ้นพวกเจ้าจึงยอมเลิกรา” ในขณะที่พิธีกรรมของพวกเขาได้ดำเนินจนถึงระดับสูงสุด พลันปรากฎเสียงที่เอ้อระเหยลอยมาขัดจังหวะพิธีกรรมของพวกเขา
เสียงที่ดังขึ้นมากะทันหันนี้ ทำให้พิธีกรรมทั้งหมดหยุดลงทันที ขณะที่หนวดสีแดงที่อยู่ที่โลงศพสีดำเหมือนถูกทำให้ตกใจ “เฟี้ยวว” ทั้งหมดหลบกลับเข้าไปในโลงศพสีดำนั้นอย่างรวดเร็ว
จากการที่พิธีกรรมถูกขัดขวาง ทำให้บรรดาเผ่ารอยโลหิตหลายสิบคนหันขวับมาทันที พวกเขาจ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ ถ้าหากพวกเขามีดวงตาล่ะก็ แต่ว่าต่อให้ไม่มีดวงตาก็ยังคงสามารถรับรู้ถึงความโกรธของพวกเขาได้
ผู้ที่พูดคำพูดนี้ออกมาก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง เวลานี้หลี่ชิเย่ได้เดินเข้ามาอย่างเอ้อระเหย เพียงมองดูเผ่ารอยโลหิตที่กำลังโกรธอย่างยิ่งด้วยท่าทีที่เรียบเฉยทีหนึ่ง จากนั้นไปนั่งลงบนแท่นบูชาด้วยท่าทีที่ไม่เกรงใจ มองดูสิ่งที่อยู่ภายในโลงศพสีดำนั้นทีหนึ่ง ยิ้มนิดหนึ่ง แล้วกล่าวว่า “แม้ว่าการถือกำเนิดของชีวิตใหม่บนโลกไม่ได้หมายความถึงความชั่วร้าย แต่ทว่า ด้วยนิสัยคนอย่างข้า สมควรที่ข้าจะทำลายล้างพวกเจ้าให้สิ้นซากใช่หรือไม่”
ในเวลานี้ เผ่ารอยโลหิตทุกคนล้วนแล้วแต่จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ แม้ว่าพวกเขาจะไม่มีดวงตา แต่ยังคงจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่
ภายในใจของพวกขอเผ่ารอยโลหิตต่างรู้สึกตระหนกระคนความสงสัยไม่สามารถทำจิตให้สงบลงได้ แต่ไม่กล้าทำอะไรโดยพละการ แม้ว่าพวกเขาไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่มีประวัติความเป็นมาอย่างไร และไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่มีความแข็งแกร่งเพียงใด แต่ว่าเผ่าพันธุ์ของพวกเขามีสัญชาตญาณพิเศษ พวกเขารู้สึกหวาดกลัวต่อกลิ่นอายของหลี่ชิเย่ที่แผ่กระจายออกมา เหมือนว่าหลี่ชิเย่คือคู่ปรับของพวกเขา บนตัวเขามีกลิ่นอายที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวยิ่งนัก
“สหาย พวกเราไม่ได้ได้มีเจตนาร้าย พวกเรามาที่นี่เพียงแค่ต้องการอธิฐานเท่านั้นเอง ไม่ได้ทำสิ่งชั่วร้าย” ในที่สุด ท่ามกลางเผ่ารอยโลหิตมีคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา โดยมีชุดสีดำปกคลุมทั้งตัว เปิดปากพูดออกมา เสียงดูแก่หง่อม เขาน่าจะเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์แล้ว
“ไม่มีเจตนาร้าย?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา และกล่าวว่า “ในสายตาของข้ามองว่า ยามที่เผ่ารอยโลหิตพวกเจ้าปรากฎตัวขึ้นที่นี่ก็ไม่สามารถใช้คำว่ามีเจตนาร้ายหรือไม่มาประเมินได้แล้ว”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “สหาย บนตัวของท่านแผ่แสงสว่างออกมา แต่ มันไม่ได้หมายความว่าพวกเราปรารถนาความมืด พวกเราเป็นเพียงเผ่าพันธุ์ที่มีชีวิต หาใช่เป็นพวกดำมืดชั่วร้ายโดยกำเนิด”
“แสงสว่าง?” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มที่ครุ่นคิดออกมา ยิ้มกล่าวว่า “บนตัวของข้ามีแสงสว่างหรือไม่นั้นข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ว่าข้าคือเพชฌฆาตที่คอยเข่นฆ่าสิ่งที่ชีวิตที่ดำมืด! ส่วนใครจะดำมืดและชั่วร้ายโดยกำเนิดหรือไม่นั้น บางสิ่งเป็นอะไรที่พูดยาก ดังนั้น เจ้าคิดว่าคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายใต้ดาบสังหารของข้าหรือไม่หละ พวกเจ้าต้องการร้องคร่ำครวญภายใต้ดาบสังหารของข้าใช่หรือไม่?”
คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้ฝ่ายตรงข้ามสะเทือนหวั่นไหว แม้ว่าเผ่ารอยโลหิตจะมียอดฝีมือหลายสิบคนอยู่ที่นี่ และมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ พวกเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม พวกเขาหวั่นเกรงต่อกลิ่นอายที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสองของหลี่ชิเย่
แสงสว่างที่เผ่ารอยโลหิตเอ่ยถึงก็คือ จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่มีเพียงหนึ่งเดียวดวงนั้นของหลี่ชิเย่ ซึ่งจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนี้ถือว่าตรงกันข้ามกับทิศทางการถือกำเนิดของเผ่าพันธุ์พวกเขาอย่างสิ้นเชิง กระทั่งอาจกล่าวได้ว่า จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงนี้เป็นต้นกำเนิดคู่ปรับของพวกเขา
“พวกเราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ชั่วร้าย” สุดท้าย เผ่ารอยโลหิตผู้นี้ได้กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “พวกเราไม่ได้ไปทำชั่ว พวกเราเป็นเพียงเผ่าพันธุ์หนึ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกนี้เท่านั้น ไม่ได้มีข้อแตกต่างอะไรมากมายกับเผ่าสวรรค์ เผ่ามาร เผ่าเทพ และร้อยชาติพันธุ์สักเท่าไร”
“อย่างนั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “เป็นใครกันที่กลืนกินชีวิตไปจำนวนนับไม่ถ้วนในครั้งนั้น แน่นอน นับแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่ละเผ่าต่างเข่นฆ่าซึ่งกันและกัน จำนวนผู้ที่เสียชีวิตก็นับกันไม่หวั่นไม่ไหว การเสียชีวิตไปนับพันล้านบางทีอาจไม่สามารถตัดสินชี้ขาดได้ว่าใครคือฝ่ายธรรมะ ใครคือฝ่ายอธรรม แต่เมื่อมีการก้าวข้ามเส้นนั้นเมื่อไหร่ ใครคือฝ่ายอธรรมก็ชัดเจนขึ้นในทันที”
คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้คนของเผ่ารอยโลหิตนิ่งเงียบ แต่ท้ายที่สุด คนผู้นี้ได้โต้แย้งว่า “พวกเราเพียงต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น พวกเราเพียงต้องการสืบทอดต่อไป เพียงแค่นี้เท่านั้นเอง พวกเราไม่ได้บอกว่าต้องการครอบครองโลกใบนี้ และไม่ได้บอกว่าต้องการแทนที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ พวกเราเพียงต้องการสืบทอดต่อไปรุ่นสู่รุ่นเท่านั้น”