จอมราชันองค์ที่สามของกองกำลังนกหวีดน้อยจ้องเขม็งไปที่วัวทรายที่อยู่ตรงหน้ากับตน โดยที่วัวทรายตัวนี้ยืนนิ่งดั่งตอไม้อยู่ตรงนั้น ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ เหมือนว่าได้กลับกลายเป็นรูปแกะสลักไปแล้ว
“ไป…” จอมราชันผู้นี้ตวาดเสียงทุ้มต่ำออกไป และหยั่งเชิงด้วยนิ้วเดียวที่ผงาดฟ้าฟาดจากด้านบนไปที่วัวทรายตัวนี้
แรกทีเดียว จอมราชันผู้นี้ยังเข้าใจว่าวัวทรายจะมีการโจมตี ได้ยินเสียงดัง “ปุ” การโจมตีของจอมราชันกลับสามารถโจมตีถูกตัวของวัวทรายได้อย่างง่ายดาย ทำให้จอมราชันผู้นี้ตะลึงนิดหนึ่งและรู้สึกอยู่เหนือความคาดคิด
“ช่าาา” วัวทรายตัวนี้ถูกก่อขึ้นมาจากเม็ดทราบจำนวนนับไม่ถ้วนจริงๆ เมื่อถูกนิ้วของจอมราชันผู้นี้จิ้มเข้าให้ มันถึงกับถล่มลงมากองอยู่กับพื้นเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเต็มพื้นไปหมด
ทุกคนถึงกับรู้สึกแปลกใจ เมื่อเห็นวัวทรายตัวนี้ช่างเปราะบางรับกับการโจมตีไม่ได้เลย ถูกจอมราชันอาศัยเพียงนิ้วเดียวก็โจมตีจนแหลกละเอียดไป “นี่มันอ่อนเกินไปแล้วกระมัง ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะต่อกรกับจอมราชันเลยนี่”
แต่ทว่า เมื่อร่างของวัวทรายแหลกละเอียดลงไปกองเต็มพื้นแล้วนั้น ปรากฏว่า สีหน้าของจอมราชันผู้นี้แปรเปลี่ยนไปมากทีเดียว
“แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์” ในขณะนี้ เศษชิ้นส่วนทั้งหมดที่แตกกระจายอยู่เต็มพื้นกลับแผ่ประกายออกมา ประกายทุกสายต่างห่อหุ้มอักขระยันต์เอาไว้ตัวหนึ่ง ตัวอักขระยันต์มีสัจธรรมที่แวบวับอยู่ภายใน เหมือนว่าทุกๆ สัจธรรมล้วนแล้วแต่กำเนิดขึ้นมาจากภายในอักขระยันต์เหล่านั้น
ลักษณะของอักขระยันต์ที่ทุกคนมองเห็นล้วนแล้วแต่แตกต่างกันไป ถ้าหากเป็นผู้ที่มีจิตเป็นพุทธ เมื่อมองเห็นตัวอักขระยันต์แต่ละตัวแล้ว จะมองเห็นเป็นพระอรหันต์แต่ละองค์ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น จะได้ยินเสียงสวดมนต์ของพระอรหันต์แต่ละองค์ดังขึ้นที่ข้างหู เป็นเสียงเทศนาธรรมของพระอรหันต์แต่ละองค์ที่กำลังโปรดสัตว์ นำพาให้บุคคลผู้นั้นก้าวสู่แดนนิพพาน
ถ้าหากเป็นผู้ที่มีจิตละโมบเมื่อได้มองเห็นอักขระยันต์แต่ละตัวนี้แล้ว ตัวอักขระยันต์เหล่านี้ก็จะกลับกลายเป็นขุมทรัพย์แต่ละแห่งที่บุคคลผู้นี้ต้องการ ภายในขุมทรัพย์เหล่านี้เก็บซ่อนเคล็ดลับ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ และโลหะศักดิ์สิทธิ์ เหล็กเซียนปริมาณมหาศาลที่บุคคลผู้นั้นใฝ่ฝันอยากได้มันมาครอบครอง…
ยามที่ตัวอักขระยันต์แต่ละตัวปรากฏขึ้นมา จอมราชันผู้นี้พลันมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป และรีบเร่งนั่งขัดสมาธิทันที ร่ายคาถากลับกลายเป็นสัจธรรมสูงสุด ชะตาฟ้าทั้งสามสายทิ้งตัวลงมาให้การคุ้มครอง ขณะเดียวกันจอมราชันผู้นี้ได้ทำจิตให้รู้แจ้งเปี่ยมด้วยสติปัญญา ปกป้องรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนเอาไว้
วัวทรายเป็นผู้ควบคุมเรื่องความศรัทธา มันไม่จำเป็นต้องอาศัยการโจมตีใดๆ เพียงอาศัยโปรดบุคคลผู้นั้นก็เพียงพอแล้ว มันสามารถทำให้ความต้องการของบุคคลผู้นั้นกลายเป็นจริง อีกทั้งขณะที่วัวทรายได้กลับกลายเป็นตัวอักขระยันต์นั้น ไม่ใช่เป็นภาพมายา แต่เป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของบุคคลผู้นั้น
ภายใต้ผลกระทบจากวัวทราย ถ้าหากบุคคลผู้นั้นไม่สามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนเอาไว้ให้มั่นคง ต้องถูกโปรดโดยวัวทรายอย่างแน่นอน เมื่อถึงตอนนั้นบุคคลผู้นั้นก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งในความศรัทธาของวัวทราย
แน่นอนที่สุด ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่มองไม่เข้าใจกับภาพเช่นนี้ ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดจอมราชันจึงได้มีท่าทีเหมือนพบกับศึกใหญ่เช่นนี้ แต่ สำหรับผู้ที่มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริงกลับเข้าใจเป็นอย่างดี ถ้าหากในเวลานี้จอมราชันยังคงอาศัยความรุนแรงมาแก้ไขปัญหา จะยิ่งทำให้ตนเองนั้นต้องตกอยู่ในสภาพของความบ้าคลั่ง ซึ่งจะทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนต้องสั่นคลอนอย่างแน่นอน กล่าวสำหรับจอมราชันองค์หนึ่งแล้ว เมื่อไรที่จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเกิดสั่นคลอนขึ้นมา มันเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก เกรงว่าต่อให้ไม่ถูกทำร้าย ชาตินี้ทั้งชาติก็จะคงไว้ซึ่งเงามืดอยู่ในใจ และส่งผลเสียในภายหลัง
ดังนั้น ในเวลานี้จอมราชันผู้นี้จึงนั่งขัดสมาธิกับพื้น อาศัยชะตาฟ้ามาปกป้องตนเอง รักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเอาไว้อย่างมั่นคง เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกโปรดโดยวัวทราย มิฉะนั้นล่ะก็ จอมราชันเช่นเขาจะต้องกลายเป็นส่วนหนึ่งในความศรัทธาของวัวทราย กลายเป็นสาวกของมันไป
การต่อสู้ชี้ขาดของจอมราชันผู้นี้ดูไปแล้วเหมือนมีอันตรายน้อยที่สุด แต่ความจริงแล้วเป็นการต่อสู้ชี้ขาดที่อันตรายมากที่สุด จอมราชันองค์อื่นๆ หากพ่ายแพ้ยังมีโอกาสรอดชีวิตไปได้ และมีความเสียหายน้อยมาก แต่หากจอมราชันผู้นี้ต้องพ่ายแพ้ล่ะก็ เท่ากับแพ้ทั้งกระดาน ทุกสิ่งทุกอย่างของตนล้วนแล้วแต่เดิมพันเข้าไปด้วย
สุดท้ายที่ยังคงรีรอไม่ได้ลงมือก็คือราชันมารเซ่าเจี้ยนที่แข็งแกร่งมากที่สุดของกองกำลังนกหวีดน้อย ราชันมารเซ่าเจี้ยนในเวลานี้จ้องเขม็งไปที่หนอนบุ้งตัวน้อยที่อ้วนตุ๊ต๊ะตัวนั้น ไม่สิ มันคือพยาธิตัวตืด
พยาธิตัวตืดหมอบอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย เหมือนว่ามีลมหายใจแต่ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างนั้น กระทั่งกำลังพ่นฟองอากาศออกมา มองดูแล้วยังคงน่าสงสัยอยู่ว่าแค่ยกเท้ากระทืบลงไปก็สามารถบี้เจ้าหนอนบุ้งให้เละเป็นเนื้อบดได้หรือไม่
แต่ว่า ราชันมารเซ่าเจี้ยนยังคงมีท่าทีที่ระมัดระวัง ท่าทางของเขาหนักแน่นจริงจัง ค่อยๆ หยิบเอาอาวุธของตนเองออกมา มันเป็นธนูนกหวีดขนาดเล็กดอกหนึ่ง ส่วนหางของธนูยังมีด้ายแดงขนาดเล็กร้อยอยู่แส้นหนึ่ง
ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่รู้สึกเย็นวาบในใจขึ้นมา เมื่อได้เห็นราชันมารเซ่าเจี้ยนหยิบเอาธนูนกหวีดออกมา เนื่องจากธนูนกหวีดคืออาวุธที่ร้ายแรงที่สุดของราชันมารเซ่าเจี้ยน กระทั่งมีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ธนูนกหวีดนี้คืออาวุธเพียงหนึ่งเดียวที่ราชันมารเซ่าเจี้ยนมีอยู่ และชั่วชีวิตของราชันมารเซ่าเจี้ยนก็มีอาวุธชิ้นนี้เพียงชิ้นเดียวเท่านั้น เท็จจริงอย่างไรไม่มีใครทราบแน่ชัด
สรุปก็คือ ธนูนกหวีดของราชันมารเซ่าเจี้ยนสยดสยองมาก ฆ่าคนไร้เงา อีกทั้งยังสามารถฆ่าคนที่อยู่ห่างไกลกับตนนับล้านล้านลี้ เคยมีระดับจอมเทพที่ถูกราชันมารเซ่าเจี้ยนสังหาร กระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงาของราชันมารเซ่าเจี้ยนด้วยซ้ำ
หลังจากที่ได้จ้องเขม็งอยู่ที่พยาธิตัวตืดอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดราชันมารเซ่าเจี้ยนได้ลงมือแล้ว “ฟิววว” ธนูนกหวีดถูกปล่อยออกจากมือ ธนูดอกนี้รวดเร็วเหลือเกิน ก้าวข้ามกาลเวลา ทุกคนต่างมีความรู้สึกเหมือนแก่ขึ้นสิบปีในทันที เนื่องจากธนูนกหวีดของราชันมารเซ่าเจี้ยนเหมือนได้พาทุกคนไปยังสิบปีข้างหน้า
แต่ว่า ในขณะที่ทุกคนกำลังเกิดภาพลวงตาขึ้นมานั้น เหมือนได้ยินเสียง “แว้งค์” ดังขึ้นมาที่ข้างหู แต่ภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้ายังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง และตนเองก็ไม่ได้มีอายุแก่ขึ้นไปอีกสิบปี ขณะที่ราชันมารเซ่าเจี้ยนก็ยังคงยืนอยู่ตรงนั้น ยังคงกำธนูนกหวีดอยู่ในมือ ระหว่างราชันมารเซ่าเจี้ยนกับพยาธิตัวตืดเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้น
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นนะเนี่ย?” ทุกคนต่างรู้สึกว่าตัวเองคงตาฝาดไป เมื่อมองเห็นในมือของราชันมารเซ่าเจี้ยนยังคงกำธนูนกหวีดอยู่ ธนูนกหวีดในมือของเขาไม่เคยถูกซัดออกไป เมื่อครู่นี้คงมองผิดไป
แต่ทว่า สีหน้าของราชันมารเซ่าเจี้ยนในเวลานี้ดูหนักแน่นจริงจังยิ่งนัก ในขณะนี้ ได้ยินเสียงดัง “ตูม” ชะตาฟ้าห้าสายถูกทิ้งตัวลงมาทำการปกป้องตนเองอย่างเข้มงวด
“ฟิววว” ธนูนกหวีดถูกซัดออกไปอีกครั้ง ทุกคนต่างมองธนูดอกนี้ได้ไม่ชัดเจน เนื่องจากมันรวดเร็วเหลือเกิน ต่อให้ระดับจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์ห้าถึงหกดวงก็มองเห็นไม่ชัดเจนว่าธนูดอกนี้ของราชันมารเซ่าเจี้ยนถูกซัดออกไปได้อย่างไรกระทั่งไม่เห็นแม้แต่เงาของธนูนกหวีด มันรวดเร็วเหลือเกินจริงๆ
แม้จะกล่าวว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่มองไม่เห็นธนูนกหวีดดอกนี้ของราชันมารเซ่าเจี้ยนได้อย่างชัดเจน แต่ว่า ทุกคนสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่า ขณะที่ธนูดอกนี้ถูกยิงออกไปนั้น ทุกคนรู้สึกได้ถึงกาลเวลาที่ไหลเคลื่อนผ่านไป ฉับพลันเหมือนรู้สึกว่าตนเองนั้นได้ก้าวข้ามไปเป็นร้อยปี เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้นตนเองก็แก่ลงอีกร้อยปีอย่างนั้น
แต่ว่า เสียง “แว้งค์” ดังขึ้น เมื่อทุกคนสามารถมองเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจนอีกครั้ง มันยังคงไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ราชันมารเซ่าเจี้ยนยังคงกำธนูนกหวีดอยู่ในมือ ท่าทางหนักแน่นจริงจังยากจะเทียบเทียม ขณะที่พยาธิตัวตืดยังคงหมอบอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย เป่าฟองอากาศออกมาอย่างมีลมหายใจแต่ปราศจากเรี่ยวแรง
“นี่มันเป็นอะไรไปกันแน่ หรือว่าข้าเกิดภาพลวงตาขึ้นอย่างนั้นรึ?” ภาพลวงตาที่เกิดขึ้นสองครั้งสองครา ครั้งหนึ่งก้าวข้ามไปสิบปี ครั้งหนึ่งก้าวข้ามไปเป็นร้อยปี แต่ว่า กลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ทำให้ระดับบรรพบุรุษถึงกับคลั่ง ถึงกับสงสัยว่าตัวเองนั้นเสียสติไปแล้วใช่หรือไม่
“ไม่เหมือนภาพลวงตา” มีระดับจอมเทพที่มองออกถึงเส้นสนกลใน ท่าทางหนักแน่นจริงจังยิ่งนัก กล่าวอย่างระมัดระวังออกมาว่า “นี่คือการต่อสู้ชี้ขาดกันระหว่างราชันมารเซ่าเจี้ยนกับพยาธิตัวตืดในด้านกาลเวลา พวกเขาไม่ได้ยืนอยู่ในอาณาจักรของพวกเราอีกแล้ว พวกเขาต่างยืนอยู่ท่ามกลางกาลเวลาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ราชันมารเซ่าเจี้ยนหวังเอาความเร็วมาไล่ตีเสมอกาลเวลา หวังจะอาศัยธนูนกหวีดของตนก้าวข้ามอาณาจักรกาลเวลาของพยาธิตัวตืด ขอเพียงทำลายอาณาจักรกาลเวลาได้ ก็สามารถสังหารพยาธิตัวตืดได้…”
“…แต่ว่า พยาธิตัวตืดได้ควบคุมกาลเวลาอาณาจักรของตนเอาไว้ จากการลงมือทั้งสองครั้งของราชันมารเซ่าเจี้ยนเมื่อครู่ ครั้งหนึ่งได้อาศัยความเร็วที่ไวมากก้าวข้ามไปเป็นสิบปี แต่ยังคงไม่สามารถทำลายได้ ทำให้ราชันมารเซ่าเจี้ยนกลับมาอยู่ที่จุดกำเนิดเดิม ราชันมารเซ่าเจี้ยนลงมืออีกเป็นครั้งที่สอง ก้าวข้ามเป็นร้อยปี แต่ยังคงทำลายกาลเวลาของอาณาจักรไม่ได้ ยังคงกลับมาอยู่จุดเดิม ดังนั้น ดูไปแล้วเหมือนว่าไม่เคยมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นมาอย่างนั้น ธนูนกหวีดยังคงอยู่ในมือของราชันมารเซ่าเจี้ยนเหมือนเดิม” เมื่อระดับจอมเทพผู้นี้เอ่ยมาถึงตรงนี้ ได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ
กล่าวสำหรับจอมเทพแล้ว ต่อให้ตัวเขาที่มีดวงตราสัญลักษณ์หกดวงในครอบครอง เรื่องอาณาจักรกาลเวลาเขาก็จับความได้เพียงน้อยนิดเท่านั้นเอง
ถ้าหากเปลี่ยนเป็นตัวเขาไปต่อสู้ชี้ขาดกับพยาธิตัวตืดล่ะก็ เกรงว่าคงพ่ายแพ้เรียบร้อยแล้ว ขณะที่ราชันมารเซ่าเจี้ยนสามารถควบคุมกาลเวลาของตนเอาไว้ได้จากการต่อสู้ชี้ขาดถึงสองครั้ง นับว่าไม่ง่ายแล้ว หากเปลี่ยนเป็นจอมราชันเซียนหวังองค์อื่นๆ ที่ด้อยกว่านี้ เกรงว่ายังไม่ทันที่ตัวเองจะไปทำลายอาณาจักรกาลเวลาของพยาธิตัวตืด ขณะที่กาลเวลาของตนคงสับสนวุ่นวายไปหมดแล้ว
“ปัง…” นาทีนี้ เซียนหวังที่ต่อสู้ชี้ขาดกับตั๊กแตนตำข้าวช่องว่างได้กลับออกมาจากขั้นของมิติที่ลึกมากๆ ขณะที่ตั๊กแตนตำข้าวช่องว่างก็ตามมาติดๆ
เสียง “ตูม…” ดังสนั่น ขณะที่ทั้งสองฝ่ายเพิ่งจะกลับมายังช่องว่างหลักนั้น พลันก่อเกิดพายุช่องว่างที่พุ่งขึ้นสูงนับล้านล้านจ้าง ยามที่พายุช่องว่างเช่นนี้พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น พลันทำให้ทางช้างเผือกเป็นล้านล้านสายถูกกลืนหายเข้าไปท่ามกลางช่องว่างแห่งมิติที่ไม่มีสิ้นสุด ดวงดาวจำนวนนับล้านล้านดวงคล้ายดั่งเป็นเกี้ยวที่ถูกเทลงไปในหม้อน้ำ บุ๋มบุ๋มบุ๋มหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ปัง” เสียงดังสนั่นเกิดขึ้น จังหวะที่ทั้งสองฝ่ายทำให้เกิดพายุช่องว่างอย่างรุนแรงขึ้นมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเซียนหวังองค์นั้นหรือว่าตั๊กแตนตำข้าวช่องว่าง ทั้งสองต่างไม่สามารถสยบช่องว่างเอาไว้ได้ จึงถูกดูดเข้าไปอยู่ท่ามกลางพายุช่องว่างทั้งคู่อีกครั้ง ทั้งสองถูกเนรเทศไปยังช่องว่างมิติที่ลึกเข้าไป
ทุกคนต่างรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่เมื่อได้เห็นพายุช่องว่างเช่นนี้ ถ้าหากพายุของช่องว่างลักษณะเช่นนี้ไปบังเกิดอยู่ที่สำนัก หรือแคว้นของตน สภาพนั้นคงเป็นที่สยดสยองยิ่ง ไม่ว่าสำนักหรือแคว้นของตนจะมีเนื้อที่กว้างใหญ่เช่นใดก็ตาม ต้องถูกพายุของช่องว่างเช่นนี้กลืนกิน ไม่เพียงพื้นที่ที่ตั้งแคว้นถูกเนรเทศไปในทันที เกรงว่าสิ่งมีชีวิตเป็นพันเป็นหมื่นที่อยู่บนพื้นที่ของแคว้นทั้งหมดพลันถูกเนรเทศไปยังช่องว่างมิติในทันที
สมควรทราบว่า นี่คือชั้นของช่องว่างที่ลึกมาก เมื่อไรที่ถูกเนรเทศไปยังช่องว่างเช่นนี้แล้ว อย่าว่าแต่ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนทั่วไปเลย ต่อให้เป็นจอมเทพระดับล่างคิดจะฟันฝ่ากลับมาก็ยากมาก มีเพียงเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสายเช่นนี้จึงสามารถฟันฝ่ากลับออกมาจากชั้นของพายุช่องว่างที่ลึกเพียงนี้ภายในระยะเวลาอันสั้น
หากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น ไม่แน่นักอาจไม่สามารถกลับมาได้อีกชั่วชีวิต คงกลายเป็นศพแห้งกรังของมิติแห่งช่องว่างไปนานแล้ว
“ตูม…ตูม…ตูม…” ลึกเข้าในชั้นอวกาศ จอมราชันกำลังต่อสู้กับหมูเขาเดียวจนฟ้าถล่มดินทลาย ทั้งสองฝ่ายต่างอาศัยพลังที่ไม่มีสิ้นสุดโจมตีต่อฝ่ายตรงข้าม จอมราชันอาศัยมือข้างเดียวคว้าเอาทางช้างเผือกแต่ละสายฟาดใส่หมูเขาเดี่ยว ขับเคลื่อนฟ้าดิน ขณะที่หมูเขาเดี่ยวทำลายหมื่นอาณาจักร แค่พุ่งชนก็ทะลุทะลวงทุกสิ่งได้ กระทั้งพุ่งชนจนจอมราชันกระเด็นลอยออกไป
ย่อมไม่เป็นที่สงสัย จอมราชันองค์นี้ต้องเสียเปรียบไม่น้อยกับการต่อสู้ชี้ขาดกับหมูเขาเดียว ตกอยู่ในฐานะเป็นรอง หากไม่เป็นเพราะมีชะตาฟ้าคอยให้การคุ้มครอง เกรงว่าคงบาดเจ็บสาหัสไปนานแล้ว