เมื่อบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ฟังคำพูดเช่นนี้แล้วไม่ได้รู้สึกตกใจ และกล่าวว่า “ดังนั้น เจ้าจึงมาหาข้า นับว่าเป็นการเลือกที่ดีมาก อย่างน้องที่สุดคนอย่างข้าหนีไปไหนไม่พ้น ไม่ว่าจะหนีอย่างไรก็ยังอยู่ในไกลกันดาร เป้าหมายชัดเจน เชือดไก่ให้ลิงดู ฆ่าข้าแล้วเพียงพอที่จะสยบทั้งยุคสมัยได้ หากเป็นข้า ข้าก็จะเลือกเช่นนี้เหมือนกัน”
“บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเคยเป็นจุดเริ่มต้นของความมืดในยุคสมัยหนึ่ง ข้าเชื่อว่าไม่มีพลังสยบจากการสังหารผู้ยิ่งใหญ่อื่นๆ เทียบได้กับการสังหารเจ้า ที่เหลืออยู่ไม่แน่เสมอว่าจะแข็งแกร่งมากไปกว่าเจ้า หรือต่อให้มีผู้ที่แข็งแกร่งมากกว่าเจ้าอยู่จริง ก็ไม่เห็นจะมีบารมีเทียบเท่ากับเจ้าได้” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย
“พูดไปแล้วก็เป็นเกียรติของข้า” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเป็นผู้มีรสนิยมสูงมาก ยิ้มกล่าวว่า “กวาดล้างความมืดให้ราบคาบด้วยการเริ่มต้นที่ตัวข้า นับว่าเป็นการเปิดเกมที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวมาก และเป็นการเปิดเกมที่เฉลียวฉลาดมาก”
มองดูท่าทีบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่มีความรู้ลุ่มลึก และบุคลิกลักษณะสง่างามเช่นนั้น ฟังการพูดการจาของเขาแล้ว ยากจะจินตนาการได้ว่าเขาคือผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืด ผู้ที่กลืนกินสิ่งมีชีวิตเป็นหมื่นล้านล้านล้านล้านชีวิต ยากมากที่ผู้ใดจะนำเอาผู้เฒ่าที่ดูมีความรู้ลุ่มลึก และบุคลิกลักษณะสง่างามมาเชื่อมโยงกับผู้ที่เก็บเกี่ยวชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในแต่ละยุคสมัยเข้าด้วยกันได้ ไม่สามารถจินตนาการได้อย่างสิ้นเชิงว่า ผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ที่มือทั้งสองข้างเปื้อนเลือดมามากมายเหลือเกิน ชีวิตที่ถูกเขากลืนกินเข้าไป ผู้ที่ถูกเขาฆ่าตาย เรียกได้ว่านับกันไม่หวั่นไม่ไหว กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่า เขาคือหนึ่งในผู้ที่สังหารคนมามากที่สุดคนหนึ่งท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา
“โลกนี้มีคนชั่วมากมายเหลือเกิน เพียงแต่บางคนซ่อนตัวได้มิดชิดมากเท่านั้นเอง บนโลกใบนี้มีบันทึกเกี่ยวกับพวกเขาอีกแล้ว และยากที่จะสืบค้นร่องรอยของเขาได้” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย และกล่าวว่า “เมื่อมีการสังหารบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแล้ว ข้าเชื่อว่าจะมีผู้คนจำนวนมากต้องประเมินตนเองแล้วหละ”
การกระทำเช่นนี้ของหลี่ชิเย่คือการสยบ โดยอาศัยบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเป็นตัวเปิดเกม จะอย่างไรเสียมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะคงอยู่บนโลกนี้ได้ตลอดไป ไม่มีใครรู้ว่าในอนาคตจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเขาเลือกที่จะสังหารบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยมาเป็นตัวเปิดเกม เพื่อสยบยุคสมัยนี้เอาไว้
“ข้าเห็นความมืดมามากกว่าเจ้า” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและส่ายหน้า กล่าวว่า “เจ้าไม่สามารถจินตนาการได้ว่า ความมืดช่างทำให้ผู้คนยอมทนทุกข์ทรมาน และเจ็บปวดเช่นใด บนโลกนี้มีด้านสว่างก็ต้องมีด้านมืด ถ้าหากไม่มีด้านมืดแล้วจะมีสว่างได้อย่างไรกัน ไม่มีคนชั่ว แล้วรู้ได้อย่างไรว่าอะไรที่เรียกว่าเป็นคนดี ต่อให้เจ้าฆ่าข้าเสียก็ไม่สามารถทำให้ความมืดหายไปอย่างไร้ร่องรอย มันคงอยู่เช่นนี้ตลอดนับเป็นอดีตกาลจนถึงปัจจุบัน ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับมันหรือไม่ก็ตาม”
“ข้อนี้ข้ารู้” หลี่ชิเย่พยักหน้าและกล่าวว่า “ในโลกนี้ จะมีใครบ้างที่สามารถขจัดความมืดให้หายไปอย่างไร้ร่องรอยได้เล่า ข้าเพียงแค่ช่วยจุดประกายแห่งความหวังขึ้นมาเท่านั้น ความมืดไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่จินตนาการ ใช่ว่าผู้ใดบนโลกก็ตามล้วนต้องตกลงสู่ความมืด ยังคงมีผู้ที่มั่นคงเฝ้ารักษาความสว่างเอาไว้ ต่อให้ต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ไปนับไม่ถ้วน เพื่อจุดติดความมืดของเจ้า สาดส่องแสงสว่างให้กับยุคสมัยนี้ก็ตาม!”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้บรรดาจอมราชันเซียนหวังทั้งหมดถึงกับรู้สึกเย็นวาบ คำพูดนี้หลี่ชิเย่พูดกับบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย แต่ว่า ไหนเลยจะไม่เป็นการพูดให้บรรดาจอมราชันเซียนหวังได้ฟังเล่า
นาทีนี้ พวกของราชันสวรรค์จ้านหวังจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า การที่หลี่ชิเย่ต้องการสังหารบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหาใช่เพื่อสนองกิเลสของตนเอง ไม่เพียงเพราะต้องการขุมทรัพย์เท่านั้น แต่เขากำลังเตือนไปยังบรรดาจอมราชันเซียนหวังของสิบสามทวีปอยู่
ลองนึกภาพดู ยามที่ความมืดมาถึงนั้น หากผู้ยิ่งใหญ่เฉกเช่นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยลงมือ เหล่าจอมราชันเซียนหวังทั้งหลายต้องเผชิญหน้ากับการเลือกเช่นใดหละ? ต่อต้านจนถึงที่สุด หรือยอมสยบต่อความมืด?
จอมราชันเซียนหวังระดับสูงไม่มีคนใดที่ไม่เป็นผู้มีสติปัญญาฉลาดล้ำเลิศสักคน เวลานี้ หลี่ชิเย่พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน มันได้ไปแจ้งเตือนขึ้นภายในจิตใจของพวกราชันสวรรค์จ้านหวัง
“ให้ความเคารพต่อความสว่าง” ท่าทีของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยดูหนักแน่นจริงจังในเวลานี้ ไม่ได้มีความคิดที่จะล้อเลียนแม้แต่น้อย กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ปราศจากความสว่าง ก็ไม่มีความมืด ไม่มีแสงสว่างที่สาดส่องกระจายไปทั่วทั้งโลก แล้วจะให้ชีวิตเติบโตมีความอุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร แล้วจะนำพาการเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไรกัน ให้ความเคารพต่อความสว่าง ต่อให้ต้องโอนเอนไปมาท่ามกลางความมืด มันยังคงไม่ดับสูญตลอดกาล”
คำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยฟังดูแล้วดูจะโหดร้ายทารุณยิ่งนัก แฝงไว้ซึ่งกลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้น แต่ว่า คำพูดของเขากลับเปี่ยมด้วยเหตุผล ไม่มีความสว่าง ไหนเลยจะทำให้โลกนี้เจริญรุ่งเรืองและเติบใหญ่ได้
“ให้ความเคารพต่อความมืด มีความมืดวนเวียนอยู่ท่ามกลางจิตใจของพวกเรา จึงสามารถเป็นสิ่งเตือนใจให้พวกเรามั่นคงในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ทำให้พวกเราสู้รบจนถึงที่สุด ผู้ใดไม่ลืมความตั้งใจแรกเริ่ม ผู้นั้นจึงไม่เนรคุณต่อผู้ที่รักเจ้า และผู้ที่เจ้ารัก” หลี่ชิเย่ก็ได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ด้วยท่าทีที่หนักแน่นจริงจังเช่นกัน
คำพูดของหลี่ชิเย่สร้างความหวั่นไหวให้จอมราชันเซียนหวังเฉกเช่นพวกราชันสวรรค์จ้านหวัง หากว่าความมืดมาเยือน บรรดาจอมราชันเซียนหวังบนโลกสามารถรักษาความตั้งใจแรกเริ่มได้หรือไม่? นึกถึงคนที่ตนรัก นึกถึงคนที่รักตน ตนเองได้มีการทรยศต่อจิตตั้งใจแรกเริ่มดวงนั้นในครั้งนั้นหรือไม่
หลี่ชิเย่ต้องการสังหารบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย พวกเขาทั้งสองคือศัตรูคู่อาฆาต แต่ทว่าในเวลานี้ พวกเขาสนทนากันดั่งเป็นสหายเก่าแก่ที่จับเข่าคุยกันเป็นเวลานาน ท่าทีเหมือนบางคนที่อยู่ด้วยกันมานานกลับรู้สึกแปลกหน้า บางคนแค่พานพบเหมือนรู้จักกันมานาน กล่าวได้ว่าพวกเขาทั้งสองต่างเป็นผู้ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุด มีความรู้สึกต่างฝ่ายต่างเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
“สมควรแก่เวลาที่ข้าจะส่งเจ้าออกเดินทางได้แล้ว” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“ไม่ เจ้าเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว” หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “แม้ว่าข้าจะเป็นผู้ควบคุมเกมในวันนี้เพื่อสังหารเจ้าให้จงได้ แต่ว่า ข้าไม่ใช่ตัวหลักที่จะสังหารเจ้า!”
“ดี ข้าจะสังหารเจ้าก่อน แล้วค่อยมาดูว่ายังจะมีใครสามารถขวางข้าได้อีก” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะ มือขนาดใหญ่ครอบคลุมเข้ามาหา
มือขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมเข้ามานั้น ไม่ได้มีพลังที่ดั่งคลื่นยักษ์ ไม่ได้มีอานุภาพที่สะเทือนฟ้า แต่ทำให้แม้แต่จอมราชันเซียนหวังยังต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึงเมื่อมือขนาดใหญ่ครอบคลุมเข้ามา เนื่องจากภายใต้มือขนาดใหญ่นี้ไม่มีอะไรเลย นั่นย่อมเป็นการบ่งบอกว่า หากถูกมือขนาดใหญ่นี้ตบเข้าให้ก็จะไม่เหลืออะไรอีกเลย ไม่ว่าจะเป็นกาลเวลา หรือช่องว่าง และหรือฟ้าดิน และหรือจอมราชันเซียนหวัง ถ้าถูกตบเข้าให้ก็จะมลายหายไปสิ้น
นี่คือพลังอำนาจยิ่งใหญ่ไร้รูปอย่างหนึ่ง พลังอำนาจยิ่งใหญ่ลักษณะเช่นนี้สามารถทำลายสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้ พลังอำนาจเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องอาศัยกระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องอาศัยเคล็ดวิชา
กล่าวได้ว่า มือที่มีพลังอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้สามารถสังหารจอมราชัน ทำลายล้างเซียนหวัง เข่นฆ่าราชันในกระบวนท่าเดียว ไม่ใช่คำพูดเลื่อนลอยสำหรับบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย
“ปุ…” ทันใดนั้น ภายใต้พลังอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนี้ ประกายศักดิ์สิทธิ์บานเบ่ง พลันเติมพลังอำนาจยิ่งใหญ่นั้นจนเต็ม ทำให้ดูอิ่มเอิบน่าเกรงขามโดยพลัน ได้ยินเสียงดัง “ปัง” มือขนาดใหญ่ของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยถูกขวางเอาไว้
ในเวลานี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเพ่งมองอย่างละเอียด หดมือขนาดยักษ์กลับไป และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “บนโลกนี้ยังมีใครที่สามารถขวางข้าไว้ได้ ข้าควรจะนึกออกจึงจะถูก สหายเก่า พวกเราพบกันอีกแล้วนะ แค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น แต่ละยุคสมัยก็ได้ผ่านไปแล้ว ไม่ได้พบกันเสียนาน สหายเก่าสบายดีรึ”
ในเวลานี้ปรากฏผู้เฒ่าผู้หนึ่งได้ยืนขวางอยู่ด้านหน้าสุด เป็นตัวเขาที่ขวางมือขนาดใหญ่ของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเอาไว้นั่นเอง
ผู้เฒ่าผู้นี้สวมชุดสีเทาทั้งชุด บนแผ่นหลังมีปีกอยู่คู่หนึ่ง โดยปีกคู่นี้อยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ฝุ่นผงไม่สามารถกล้ำกลายบนตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย ต่อให้ตัวของเขาไม่ได้เปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ออกมา แต่ยังคงให้ความรู้สึกกับผู้คนถึงความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ยิ่งนัก
เมื่อมองดูผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าอย่างละเอียด แล้วหันไปมองดูบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยอย่างละเอียดแล้ว จะพบว่าพวกเขาทั้งสองเหมือนมากจริงๆ สิ่งที่เหมือนกันมากระหว่างพวกเขาสองคนไม่ใช่รูปร่างหน้าตา แต่เป็นบุคลิกความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่ไม่ธรรมดาระหว่างพวกเขาทั้งสองคน พวกเขาต่างเป็นผู้ที่มีบุคลิกความเด็ดเดี่ยวกล้าหาญที่ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญามาก และมีพลังที่ยิ่งใหญ่
ถ้าหากจะพูดถึงข้อแตกต่าง ระหว่างพวกเขาทั้งสองหนึ่งนั้นเป็นตัวแทนของความสว่าง อีกหนึ่งคือตัวแทนแห่งความมืด ซึ่งเป็นข้อแตกต่างด้านธาตุแท้
ผู้เฒ่าผู้นี้ไม่ใช่ใครที่ไหน คือนักปราชญ์นั่นเอง แน่นอนที่สุดผู้ที่รู้จักนักปราชญ์ผู้นี้ในโลกมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“ไม่พบกันเสียนาน” นักปราชญ์เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ร่างกายของข้าแข็งแรงยิ่งนัก ยังไม่ตายหรอกนะ ถ้าหากเจ้าคาดหวังให้ข้าตายเร็วล่ะก็ เกรงว่าคงทำให้เจ้าต้องผิดหวังกันบ้างแล้ว”
“ไม่ สหายเก่า เจ้าเข้าใจผิดแล้ว” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยส่ายหน้าและยิ้มกล่าวว่า “ในโลกนี้ ยังจะมีผู้ใดที่สามารถเป็นศัตรูกับข้ามายุคแล้วยุคเล่าได้อีก แล้วใครหละที่สามารถต่อต้านข้ายุคแล้วยุคเล่า? นอกจากสหายเก่าแล้วไม่มีใครอีก ถ้าหากแม้สหายเก่ายังไม่อยู่บนโลกนี้อีก เช่นนั้นแล้วในยุคสมัยของข้ามิน่าเบื่อเกินไปรึ”
“อย่างนั้นรึ?” นักปราชญ์เรียบเฉย เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “รอให้ข้าส่งเจ้าไปสู่สวรรค์ในวันนี้แล้ว เจ้าก็จะไม่เบื่ออีกต่อไป”
“ไม่ได้พบกันเสียนาน เหตุใดสหายเก่าต้องมีโมโหมากเพียงนี้เล่า” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและกล่าวว่า “คงเป็นเพราะสหายเก่าถูกคนเขาลอบทำร้ายก็เลยพาลโกรธข้าน่ะสิ เรื่องนี้จะโทษข้าก็ไม่ถูก เป็นเพียงการตัดสินใจเลือกของนางเท่านั้นเอง บนโลกใบนี้ไม่ก็ยอมต่อความสว่าง ไม่ก็ยอมต่อความมืด ยามที่มองไม่เห็นความหวังท่ามกลางความสว่าง ได้แต่พึ่งพาความมืด”
“ข้าไม่โทษนาง” นักปราชญ์เรียบเฉย และกล่าวว่า “เจ้าพูดถูก เป็นการเลือกของแต่ละคนเท่านั้น ในเมื่อยอมสยบต่อความมืด ที่ข้าทำได้ก็มีเพียงทำให้นางบริสุทธิ์ ให้จิตใจที่ดำมืดของนางจุดติดแสงสว่างขึ้นมา ท่ามกลางกาลเวลาที่ปกคลุมไปด้วยสีเลือด ในเวลาที่ข้ายังอยู่วัยเยาว์ ข้าเคยสาบานว่าจะกวาดล้างความมืดให้ราบคาบ และข้าเคยให้คำมั่นสัญญาต่อนางว่า ข้าจะกวาดล้างต้นกำเนิดแห่งความมืดให้ราบคาบ นางไม่สามารถรักษาเอาไว้อย่างมั่นคง แต่ข้าไม่ได้ลืมความตั้งใจแรกเริ่มของข้า!”
“ถูกต้อง” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพยักหน้า ถึงกับทอดถอนใจอยู่บ้าง และกล่าวว่า “คำพูดที่สหายหลี่พูดเอาไว้ก่อนหน้าก็ถูก การมั่นคงในความตั้งในแรกเริ่มมีค่ากว่าทุกสิ่ง เป็นเพราะสหายเก่าสามารถยืนหยัดความตั้งใจแรกเริ่มเอาไว้นี่แหละ ในวัฏจักรสงสารแต่ละยุคสมัยก็สามารถต่อต้านข้าได้ แถมสหายยังเกือบทำได้สำเร็จด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าชั่วชีวิตของข้าสหายเก่าคือผู้ที่ข้าเคารพเลื่อมใสมากที่สุด”
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยมีชีวิตอยู่มานานมากกว่านักปราชญ์เสียอีก ขณะที่นักปราชญ์ถือกำเนิดขึ้นมานั้น ท้องฟ้าก็เต็มไปด้วยเลือดสดๆ ไปแล้ว มันคือช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยว ญาติและสหายจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตายอย่างอนาถ ส่งผลให้นักปราชญ์ที่ยังเยาว์วัยตั้งปณิธานยิ่งใหญ่เอาไว้ว่าจะต้องกวาดล้างความมืดให้ราบคาบ
ตลอดทางที่ก้าวเดินมา เวลาผ่านไปอย่างไร้ความหมายที่ไม่มีสิ้นสุด ความยากลำบากที่ไม่มีจบสิ้น แต่นักปราชญ์ก็ได้ยืนหยัดตลอดมา เขาไม่เคยลืมความตั้งใจแรกเริ่มเลย
เขาเคยก้าวเดินไปด้วยกันกับคนที่เขาไว้ใจมากที่สุด คนที่เขารักมากที่สุดไปตลอดทาง เสียดาย ท้ายที่สุดแล้ว นางยังคงไม่สามารถยืนหยัดรักษาความตั้งใจแรกเริ่มเอาไว้ ในจังหวะที่ท่ามกลางความสว่างมองไม่เห็นความหวัง จึงได้แต่หันไปพึ่งพาความมืด สุดท้าย นางลืมความตั้งใจแรกเริ่มของนางสยบต่อความมืด และแอบโจมตีด้านหลังต่อนักปราชญ์อย่างรุนแรง หาไม่แล้ว ไม่แน่นักนักปราชญ์ในครั้งนั้นอาจทำให้ยุคสมัยที่ดำมืดอันยาวนานต้องสิ้นสุดลงก็เป็นได้
แม้ว่าจะผ่านความทุกข์ยากมานับไม่ถ้วน ผ่านความเจ็บปวดมานับไม่ถ้วน แต่นักปราชญ์เองยังคงไม่ลืมความตั้งใจแรกเริ่ม ยังคงเดินไปข้างหน้าต่อไป เขาไม่ได้เหมือนเช่นนางที่แหงนมองความมืดท่ามกลางความสว่าง
“หนึ่งยุคสมัยช่างยาวนานเหลือเกิน สมควรสิ้นสุดลงได้แล้ว และสมควรให้คำตอบกับสรรพสิ่งมีชีวิตที่ร้องด้วยน้ำเสียงที่โศกเศร้าได้แล้ว และให้คำตอบกับปรัชญาเมธีที่ล้มอยู่บนเส้นทางสายนี้ได้แล้ว วันนี้ ไม่เพียงไกลกันดารต้องสิ้นสุดลง ยุคสมัยที่ดำมืดสำหรับพวกเราก็ควรสิ้นสุดลงด้วย” นักปราชญ์ที่มีจิตสงบไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรอบข้าง มีความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์สูงสุด
“สหายเก่า ใช่ว่าข้าดูถูกเจ้า แม้ว่าครั้งนั้นข้าได้รับการลงทัณฑ์จากสวรรค์ แต่ผ่านการรักษามาอย่างยาวนานเช่นนี้ อาการบาดเจ็บของข้าน่าจะหายได้แปดเก้าส่วนแล้ว แต่สหายเก่ากลับถดถอยลงเรื่อยๆ ต่อให้ข้าไม่สามารถกลับไปอยู่จุดสูงสุดเมื่อครั้งครานั้นได้ สหายเก่าก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกล่าวพร้อมกับส่ายหน้า