ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1967 การรบที่ย้อนเวลา

ตอนที่ 1967 การรบที่ย้อนเวลา

ฆ่า…นักปราชญ์ก้าวข้ามเวลา ไล่ย้อนกลับไปถึงต้นกำเนิด ปีกคู่ของเขาฟันฉับลงไป เป็นกระบวนท่าสังหารเด็ดขาด เยือกเย็นไร้ความปราณี ไม่เปิดโอกาสใดๆ ให้กับสิบจอมโหด ภายใต้หนึ่งกระบวนท่าที่ฟาดฟันลงไป ทำลายสิ้นปราศจากผู้ต่อกร ตัดขาดทุกๆ พลังต้นกำเนิด

ฆ่าคนไร้ความปราณีหาใช่เป็นคำพูดที่เลื่อนลอย เขาในฐานะนักปราชญ์ผู้หนึ่ง เขามีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด รักในชีวิต เห็นอกเห็นใจในสรรพสิ่งมีชีวิต แต่ทว่านักปราชญ์ยังคงไร้ความปราณี ขอเพียงนักปราชญ์ลงมือ เป็นต้องสังหารสิ้นอย่างแน่นอน ไม่เหลือไว้ซึ่งทางหนีทีไล่

การที่นักปราชญ์เห็นอกเห็นใจในสรรพสิ่งมีชีวิตไม่ได้หมายความว่าใจอ่อนเหมือนอิสตรี! เขาคือผู้บงการสถานการณ์ ควบคุมความสว่าง ดังนั้น นักปราชญ์จึงไม่มีความรักลึกซึ้งระหว่างหนุ่มสาว!

อ๊ากกก เสียงร้องที่น่าเวทนาดังขึ้น ปีกศักดิ์สิทธิ์ที่ฟาดฟันลงมา เยือกเย็นไร้ความปราณี หนึ่งการฟาดฟันมลาย ศีรษะของสิบจอมโหดลอยขึ้นสูง ถูกสังหารแม้กระทั่งต้นกำเนิด แม้ว่าพวกมันจะมาจากความมืด แม้ว่าบนโลกนี้ความมืดยังจะคงอยู่ตลอดไป แต่ว่า พวกมันไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป เสียชีวิตไปกับหนึ่งการฟาดฟัน ตรงไปสู่อเวจีและไม่สามารถเวียนว่ายตายเกิดได้ตลอดกาล!

“นักปราชญ์ไร้ความปราณี นับว่าเป็นที่รำลึกถึงนะเนี่ย” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยิ้มนิดหนึ่ง เก็บงำความมืด ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง พลันให้เวลาย้อนกลับ และพบกับนักปราชญ์ ณ สายน้ำแห่งกาลเวลา มือที่คล้ายกระบี่ และคล้ายขวาน สำแดงกระบวนท่าหนึ่งออกไปตามอารมณ์

“สัจธรรมข้าคือนิรันดร์” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยลำนำ ฝ่ามือที่ฟันลง ไม่มีกระบวนท่าที่พลิกแพลงหลากหลาย ไม่มีพลังที่น่าเกรงขาม ยิ่งไม่มีความมืดที่จินตนาการเอาไว้ เพียงแค่หนึ่งการฟาดฟันและเป็นนิรันดร์

“ภายใต้การฟาดฟันลงมาในครั้งนี้ มันไม่ได้ฟันจนเลือดเนื้อขาดวิ่น แต่มันจะบดขยี้คนผู้นั้นให้มลายท่ามกลางวลาโดยตรง ทำการบดขยี้ทำลายกาลเวลาของผู้นั้นโดยตรง เป็นต้นว่าบุคคลผู้นั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้หนึ่งร้อยปี ภายใต้การตัดเช่นนี้ เวลาหนึ่งร้อยปีที่เป็นอายุขัยของคนผู้นั้นพลันถูกทำลายจนแหลกลาญ เช่นนั้นแล้วก็เท่ากับว่าบุคคลผู้นั้นไม่เคยดำรงอยู่บนโลกนี้มาก่อน ไม่มีโอกาสกระทั่งถือกำเนิดเกิดบนโลกนี้ด้วยซ้ำ

เสียงปัง…ดังขึ้น การโจมตีของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ถูกขนศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ ต่อให้เป็นขนศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ที่มีประกายศักดิ์สิทธิ์ดั่งคลื่นยักษ์ แต่ว่า เมื่อถูกฟันเข้าให้พลันสลดและอับแสงขึ้นในทันที เพลิงศักดิ์สิทธิ์ดับวูบลงทันที นักปราชญ์ได้รับบาดเจ็บสาหัส พลันร่วงหล่นจากสายน้ำแห่งกาลเวลาลงมา กลับมาอยู่ที่เดิม

ในเวลานี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ถูกลิดรอนไปมากทีเดียว ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั่วร่างของเขาก็กลับกลายเป็นอ่อนแอมาก กระทั่งสีหน้าของนักปราชญ์ก็ยังซีดเผือด

เมื่อจอมราชันเซียนหวังมองเห็นภาพเช่นนี้แล้ว พลันทำให้รู้สึกเย็นวาบภายในใจ การโจมตีในลักษณะนี้หาใช่เป็นการฟาดฟันสังหารลงบนกายเนื้อ แต่เป็นการต่อสู้ชี้ขาดท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา

ภายใต้การต่อสู้ชี้ขาดลักษณะเช่นนี้ถ้า หากถูกบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยโจมตีเข้าให้ล่ะก็ เท่ากับว่าเวลาถูกทำลายโดยตรง เหมือนดั่งจอมราชันเซียนหวังองค์หนึ่งที่ถูกฟันเข้าให้ หากไม่สามารถต้านรับกับพลังที่เป็นนิรันดร์เช่นนี้ได้ ก็จะต้องสลายไปโดยตรง ประหนึ่งว่าพวกเขาไม่เคยได้ถือกำเนิดเกิดขึ้นบนโลกนี้มาก่อนเลย ถูกสังหารโดยตรงตั้งแต่แหล่งต้นกำเนิดเลย

การสังหารด้วยวิธีแบบนี้สยองขวัญยิ่งกว่าการเข่นฆ่าทำลายล้างเสียอีก ถ้าหากเป็นการเข่นฆ่าทำลายต่อกายเนื้อยังมีโอกาสตอบโต้ แต่ว่า การสังหารลักษณะเช่นนี้หากรับไม่อยู่ นั่นหมายถึงถูกทำลายล้างอย่างแท้จริงแล้ว

“ข้าบอกแล้ว สหาย เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า” ในขณะนี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็ได้กลับมาถึงสมรภูมิรบแล้วเช่นกัน ส่ายหน้าและกล่าวว่า “หากเป็นคราวนั้น เจ้ายังสามารถสู้กับข้า แต่ว่า ต่อให้ข้ามีกำลังเพียงแค่เจ็ดถึงแปดส่วนในเวลานี้ ก็สามารถทำลายเจ้าได้เช่นกัน”

“นี่เป็นเพียงการเปิดเกมเท่านั้นเอง” นักปราชญ์ไม่รู้สึกอยู่เหนือความคาดคิดกับการพ่ายแพ้ในลักษณะเช่นนี้ ท่าทีเรียบเฉย และกล่าวว่า “เจ้าเองก็มีพลังแค่แปดส่วนของครั้งนั้นเท่านั้นเอง เวลานี้การอุ่นเครื่องได้สิ้นสุดลงแล้ว ถึงเวลาที่จะชี้ผลแพ้ชนะได้แล้ว” กล่าวพลางล้วงหยิบเอาขวดสมบัติสวรรค์ออกมา กระดกดื่มน้ำทิพย์สมบัติสวรรค์รวดเดียวหมดขวดไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว

เสียงตูม…ดังสนั่น นาทีนี้เพลิงศักดิ์สิทธิ์นักปราชญ์เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง นาทีนี้เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ดันโลกนี้ให้แยกออก อย่าว่าแต่แค่ชิงโจวเลย ต่อให้เป็นสิบสามทวีปก็ถูกทำให้ตกใจตื่นกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งของนักปราชญ์

ผู้ที่อ่อนด้อยไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำได้แค่ก้มกราบกับพื้นสยบทั้งกายและใจ ด้วยความศรัทธาเต็มหัวใน

แต่ทว่า บรรดาจอมราชันเซียนหวังของทวีปอื่นๆ พลันถูกทำให้ตกใจ สายตาแต่ละคู่ของจอมราชันเซียนหวังล้วนแล้วแต่จ้องมองมาที่ชิงโจว ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการรู้ว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น

มีจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุด สายตาของพวกเขาสามารถทะลุผ่านด่านที่ปิดกั้นช่องว่า ขณะที่จอมราชันเซียนหวังจำนวนมากไม่สามารถมองทะลุข้ามด่านที่ปิดกั้นช่องว่างไปได้ ได้แต่อาศัยการรับรู้ด้วยวิธีสัมผัสเพื่อรับรู้ถึงการกระเพื่อมของคลื่นพลังเช่นนี้

นาทีนี้ นักปราชญ์เสมือนหนึ่งเป็นผู้บงการยุคสมัยอย่างนั้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่เพียงส่องสว่างฟ้าดินเท่านั้น กระทั่งส่องสว่างสายน้ำแห่งกาลเวลาของยุคสมัยทั้งยุค

นาทีนี้ นักปราชญ์ก้าวเท้าก้าวเดียวเข้าไปท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา ประกายศักดิ์สิทธิ์และเวลาไหลรินอยู่ท่ามกลางกาลเวลา นาทีนี้ เพลิงศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ได้ทำการแกะสลักยุคสมัยนี้อยู่ ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่แรกเกิดมาก็ได้รับคำอำนวยพรจากพลังศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากประกายศักดิ์สิทธิ์ บังเกิดความสว่างขึ้นกลางใจ

เสียงตึง ตึง ตึงที่ไพเราะดังตูมตามขึ้นมาเป็นระลอกไม่ขาดหู มองเห็นเกล็ดศักดิ์สิทธิ์แต่ละชิ้นที่ปิดทับลงบนตัวของนักปราชญ์ เพียงชั่วพริบตาเดียว บนตัวของนักปราชญ์ได้สวมใส่ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งร่าง

ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ชุดนี้เสมือนหนึ่งได้สืบทอดความความเลื่อมใสศรัทธาของแต่ละยุคสมัยมา สรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองดูแสงสว่างอย่างหิวกระหาย พวกเขาอธิฐานให้กับนักปราชญ์ ประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงมอบพลังที่ไม่มีขอบเขตสิ้นสุดให้กับนักปราชญ์ ขณะเดียวกันก็ทำการรักษาอาการบาดเจ็บให้กับนักปราชญ์ ช่วยขับไล่ความมืดให้กับนักปราชญ์

เสียงตึง…ดังขึ้น กระบี่ยาวปรากฏขึ้นมา ในขณะนี้มือของนักปราชญ์กำกระบี่ยาวเอาไว้เล่มหนึ่ง กระบี่ยาวเล่มนี้มีประกายศักดิ์สิทธิ์วูบวาบ แต่มีประกายของโลหะที่เยือกเย็นวูบวาบ ปรากฎแสงแห่งความไร้ปราณีและฆ่าไม่มีละเว้นที่ส่งประกายแวบวับ

หากจะกล่าวว่า เกราะศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์สืบทอดความหวังเอาไว้ เช่นนั้นแล้ว กระบี่ยาวเล่มนี้ก็สืบทอดความตายเอาไว้ มันสังหารสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง ยามที่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ฟาดฟันลงมา ก็คือการตัดสินขั้นสุดท้าย สามารถตัดขาดต้นกำเนิดของความมืด ไม่ว่าจะเป็นอมตะหรือไม่ ไม่ว่าจะไม่มีวันสลายหรือไม่ ภายใต้การพิพากษาของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ ล้วนแล้วแต่กลายเป็นเถ้าธุลีไป

เสียงใสกังวานของโลหะที่ดังตึง ตึง ตึงขึ้นเป็นระลอก เวลานี้ปีกศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์เสมือนได้แปรสภาพเป็นโลหะอย่างนั้น แม้ว่าปีกศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ตลบอบอวล เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ดั่งคลื่นยักษ์ แต่กลับแสดงให้เห็นถึงความเยือกเย็น เยือกเย็นจนไร้ความปราณี ปีกศักดิ์สิทธิ์คู่นี้เหมือนว่าได้กลายเป็นอาวุธที่เยือกเย็นไร้ความปราณีมากที่สุดนับแต่อดีตเป็นต้นมา อานุภาพที่ฟาดฟันลงมาของมันไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์

นาทีนี้เหมือนว่านักปราชญ์ได้กลับกลายเป็นหนุ่มขึ้น มีท่วงทีที่สง่างามสติปัญญาเหนือผู้คน มีท่วงท่าที่สุดยอดเหนือผู้คนทั่วหล้า ทำให้ผู้พบเห็นต้องมีจิตใจที่โน้มเอียงเข้าหา

นาทีนี้นักปราชญ์ถึงกับฟื้นคืนกำลังของตน ก้าวขึ้นสู่สภาพสูงสุด สภาพของนักปราชญ์ในเวลานี้อย่าว่าแต่เป็นคนอื่นเลย แม้แต่ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดที่นอนหลับใหลอยู่ของไกลกันดารถึงกับต้องสั่นเทา

เนื่องจากนักปราชญ์ที่อยู่ในสภาพจุดสูงสุด พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้อย่างเด็ดขาด ภายใต้การสังหารเด็ดขาด ชะตาของพวกเขาคือถูกสังหารสถานเดียว นักปราชญ์ที่อยู่ภายใต้สภาพสูงสุดเรียกได้ว่าปราศจากผู้ต่อกร มีเพียงบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเท่านั้นที่รับมือได้

“ดูท่าคงได้ยาดีมาแล้วสิ” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่มองเห็นการกลับคืนสูงจุดสูงสุดของนักปราชญ์แล้วไม่ได้รู้สึกประหลาดใจ พยักหน้าและกล่าวว่า “แม้ว่าเจ้าห่างจากจุดสูงสุดในครั้งนั้นเพียงแค่คืบ แต่ก็เพียงพอแล้วหละ มิน่าเล่าสหายเก่าถึงได้มีความมั่นใจเช่นนี้ว่าสังหารข้าได้”

“ให้มันจบสิ้นในวันนี้ก็แล้วกัน ให้พวกเรามาทำให้ยุคสมัยที่เจ็บปวดนี้จบสิ้นกันไป ได้เวลาที่กวาดให้มันราบคาบได้แล้ว” นักปราชญ์ชี้กระบี่ไปที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยด้วยท่าทีที่เย็นชา

“ถ้าหากเจ้าสามารถทำให้จบสิ้น เช่นนั้นก็ให้มันจบสิ้นลงก็แล้วกัน” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพยักหน้า และกล่าวว่า “แต่ เกรงว่าอาจจะไม่เป็นไปตามที่หวัง สหาย” ขาดคำได้ก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่งเช่นกัน

บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก้าวสู่สายน้ำแห่งกาลเวลาในก้าวเดียว เขาก้าวเดินไปทีละก้าวๆ ไล่ย้อนไปทีละก้าว เพียงชั่วพริบตาเดียว บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ก้าวข้ามกลับสู่ยุคสมัยของพวกเขา

แม้จะกล่าวว่าพวกเขากลับไปยังยุคสมัยของพวกเขาไม่ได้ แต่สายน้ำแห่งกาลเวลาคงอยู่เสมอ ยังคงไหลรินอยู่ตรงนั้นมาโดยตลอด ดังนั้น พวกเขาสามารถก้าวข้ามกลับไปยังเวลาที่เป็นยุคสมัยของพวกเขาท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา!

เสียงตูม…ดังสนั่น ในห้วงเวลาของยุคสมัยนั้นท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก้าวเข้าไปยังแหล่งต้นกำเนิดในก้าวเดียว พลันความมืดดั่งคลื่นยักษ์ พริบตาเดียวนั้นเอง ผมสีดำของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยสะบัดอย่างรุนแรง ความพาลยากมีผู้เทียบเทียม เขายืนอยู่ท่ามกลางความมืด หลังแบกรับสวรรค์เอาไว้ ก้มมองดูยุคสมัยหนึ่ง

นาทีนี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็คือผู้บงการของยุคสมัยนี้ แม้ว่าเขาไม่ได้สวมมงกุฎกษัตริย์ แต่ เขากลับเป็นราชาที่ไร้มงกุฎ นาทีนี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเหมือนหนึ่งได้กลับไปยังวันเวลาที่อยู่วัยหนุ่ม มีความพาลยากจะหาใดเทียม ปราศจากมิตรสหายทั่วหล้า ถามโลกหล้า มีผู้ใดสามารถเป็นศัตรูกับเขาได้

ท่ามกลางความมืดที่อยู่ในบงการของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย ไม่มีผู้ใดสามารถมีสิทธิ์ทาบเขาได้ ต่อให้เป็นอัจฉริยะบุคคล ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ระดับสูงสุด ก็ต้องยอมศิโรราบต่อความมืดของเขา ท่ามกลางยุคสมัยที่ปกคลุมด้วยคยวามมืด ถึงบุคคลผู้นั้นจะแข็งแกร่งเพียงใดก็เป็นแค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้น

บรรดาจอมราชันเซียนหวังจำนวนมากที่มองเห็นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย ซึ่งมีความแข็งแกร่งปราศจากผู้เทียบเทียมท่ามกลางแหล่งต้นกำเนิดความมืดแล้ว ถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึงบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่อยู่ในสภาพเช่นนี้ จอมราชันเซียนหวัง ที่มีชะตาฟ้าสิบสายคงสุดที่จะรับได้ มีเพียงราชันซื่อตี้ที่ยังสามารถสู้ได้!

ลองนึกดู ถ้าหากตนเองต้องเกิดอยู่ในยุคสมัยเช่นนี้ มันช่างเป็นเรื่องที่ทำให้สิ้นหวังเพียงใด บางที ท่ามกลางยุคสมัยเช่นนี้ มีจอมราชันเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่ต้องสยบต่อความมืดกันเล่า

ขณะที่นักปราชญ์ซึ่งต้องเผชิญหน้ากับบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่น่าสยดสยองไร้ของเขต กลับสามารถยืนหยัดมาเป็นยุคสมัยอย่างยากลำบาก สามารถสู้รบกับบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจนถึงที่สุด แม้ว่าท้ายที่สุดแล้วยังคงไม่สามารถช่วยเหลือยุคสมัยนี้เอาไว้ได้ สุดท้ายแล้วยังคงไม่สามารถทำให้แสงสว่างส่องสว่างไปทั่วหล้าอย่างเสมอภาค แต่เขากลับเหมือนเสาที่คอยค้ำยันท้องฟ้าต้นหนึ่ง ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความมืดไม่มีล้มลง

ตราบใดที่นักปราชญ์อยู่ ประกายของเขาก็จะส่องสว่างยุคสมัยนี้ นักปราชญ์เสมือนหนึ่งเป็นตะเกียงที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืด คอยนำทางให้ผู้ที่ตามมาภายหลังได้ก้าวเดินไปข้างหน้า ทำให้ผู้ที่ก้าวตามมาภายหลังไม่หลงทางท่ามกลางความมืด

นาทีนี้ ผู้คนจำนวนมากจึงได้เข้าใจอย่างแท้จริงว่านักปราชญ์มีความยิ่งใหญ่เพียงใด มีความยอดเยี่ยมอย่างไร ด้วยผลงานเช่นนี้ยากจะมีจอมราชันเซียนหวังสามารถเทียบเคียงได้ ดังนั้น จอมราชันเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่เห็นภาพนี้แล้วต้องลุกขึ้นมาแสดงความเคารพเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้งกันเล่า

“สหายเก่า แม้ว่ายุคสมัยไม่ได้คงอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ให้พวกเราได้กลับไปสู้กันที่กาลเวลาของพวกเรา ที่นั่นจึงเป็นสมรภูมิรบของพวกเรา” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่ยืนอยู่ในเวลาที่เป็นของยุคสมัยพวกเขาท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา มองไปยังที่ที่ห่างไกล และกล่าวต่อนักปราชญ์

“เช่นนั้นก็ให้พวกเราไปสิ้นสุดกันที่สายน้ำแห่งกาลเวลาของพวกเราเถอะ” นักปราชญ์คำรามเสียงยาว หนึ่งก้าวหนึ่งกาลเวลา ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้น ก้าวเข้าสู่ท่ามกลาวกาลเวลาพวกเขาในสายน้ำแห่งกาลเวลา

สายน้ำแห่งกาลเวลายังคงไหลรินอย่างเงียบๆ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แม้จะกล่าวว่าไม่มีใครสามารถกลับไปได้ ไม่มีใครกลับไปยังอดีตของตนเองได้ แต่ทว่า ขอเพียงบุคคลผู้นั้นแข็งแกร่งเพียงพอ ยังคงสามารถกลับไปยังกาลเวลาที่เคยอยู่ได้

ท่ามกลางกาลเวลาในสายน้ำแห่งกาลเวลานี้ แม้จะกล่าวว่าเจ้ากลับไปยังโลกที่เคยอยู่ไม่ได้ มองไม่เห็นคนที่เจ้ารัก คนที่เคยประสบพบเจอ แต่ทว่าท่ามกลางกาลเวลานี้ ยังคงสามารถรับรู้ถึงกาลเวลาในครั้งนั้น สามารถกลับไปอยู่ในสภาพของครั้งครานั้นได้!

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท