ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1966 นักปราชญ์ปราศจากผู้ต่อกร

ตอนที่ 1966 นักปราชญ์ปราศจากผู้ต่อกร

นักปราชญ์ไม่ได้หวั่นไหวในคำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย และกล่าวว่า “ความเป็นความตายเกิดขึ้นโดยพลัน ใครจะสามารถเป็นผู้กำชัยชนะได้ มีเพียงสู้กันถึงที่สุดจึงจะเฉลยออกมา”

“สหายเก่า ข้าเคยมีครั้งไหนที่สู้รบโดยไม่มีความมั่นใจบ้างหละ?” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและกล่าวว่า “อย่าว่าแต่เวลานี้เจ้าไม่เหมือนเก่าก่อนแล้ว ต่อให้เจ้ากลับไปได้เหมือนก่อนหน้าก็ไม่เห็นว่าสามารถเอาชนะข้าได้ นับแต่โบราณกาลเป็นต้นมามีใครบ้างที่สังหารข้าได้เล่า ต่อให้สหายเก่าสามารถเอาชนะข้าได้ คิดว่าสามารถฆ่าข้าให้ตายได้หรือไม่?”

“เอาเป็นว่าสภาพของสหายเก่าในตอนนี้ ต่อให้สามารถทนรับกับศึกในครั้งนี้ได้ กระทั่งสามารถเอาชนะข้าได้ ก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยซึ่งเป็นศัตรูอยู่แล้วกลับพยายามเกลี้ยกล่อมนักปราชญ์ และกล่าวว่า “ด้วยสภาพในวันนี้ของเจ้า แม้ว่าเอาชนะข้าได้แล้ว เกรงว่าเจ้าจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ต่อให้ข้าต้องพ่ายแพ้ยังคงดำรงอยู่เป็นนิรันดร์ ขณะที่สหายเก่ากลับต้องกลายเป็นเถ้าธุลีไป ข้ากลับไม่ต้องการสหายเก่าต้องมากลายเป็นเถ้าธุลีไปเช่นนี้ หากข้าจะต้องสูญเสียคู่ต่อสู้อย่างเพื่อนเก่าไป ออกจะรู้สึกเดียวดายเกินไปแล้ว”

บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่เพียงพยายามเกลี่ยกล่อมนักปราชญ์เท่านั้น ขณะเดียวกันก็เป็นการแสดงถึงความน่าเกรงขาม ความมั่นใจในตนเองและความปราศจากผู้ต่อกรของตน เขามีความมั่นใจว่าไม่มีผู้ใดบนโลกนี้สามารถสังหารเขาให้ตายได้ ต่อให้เป็นนักปราชญ์ก็ทำไม่ได้

“อาศัยความตายของข้ามาทำให้ความมืดสิ้นสุด ถือว่าตายตาหลับแล้ว” นักปราชญ์มีจิตใจที่สงบ ท่ามกลางสงบแฝงด้วยความเย็นชา

“เป็นไปไม่ได้ที่ความมืดจะสิ้นสุดลง” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหัวเราะและกล่าวว่า “วันนี้ต่อให้ข้าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยต้องล้มลง โลกนี้ยังคงมีบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยคนที่สอง ต่อให้เจ้ากวาดล้างไกลกันดารจนราบคาบ ไหนเลยสามารถกวาดล้างสิ้นความมืดบนโลกใบนี้ได้”

นักปราชญ์พยักหน้า กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “เป็นความจริงที่ข้าไม่สามารถกวาดล้างสิ้นความมืดในยุคอดีตถึงปัจจุบันได้ แต่ ให้ข้าได้พยายามกวาดล้างความมืดในไกลกันดารให้ราบคาบก็แล้วกัน ข้าถือกำเนิดในยุคสมัยนี้ ตั้งปณิธานในยุคสมัยนี้ ให้ข้าได้ทำให้มันจับสิ้นลงก็แล้วกัน”

“เอาเถอะ” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพยักหน้า และกล่าวว่า “ในเมื่อสหายเก่ายืนยันจะต่อสู้กัน งั้นข้าก็จะเล่นเป็นเพื่อนด้วยก็แล้วกัน นับแต่อดีตถึงปัจจุบันเรียกได้ว่ามีสงครามน้อยครั้งนักที่เป็นที่เฝ้ารอของผู้คนแล้ว วันนี้ก็ให้ข้าได้เฝ้าคอยสักครั้ง หวังว่าสหายเก่าและสหายของเจ้าอย่าทำให้ข้าต้องผิดหวัง”

กล่าวพลางสายตาของเขาได้ตกไปอยู่บนตัวของหลี่ชิเย่เช่นกัน การที่หลี่ชิเย่มาอยู่ที่นี่ด้วยในวันนี้ เป็นไปไม่ได้ที่เพียงแค่เป็นผู้ชมและคุมเชิงเท่านั้นเอง

“ดี พวกเรามาสู้กันจนถึงที่สุดก็แล้วกัน” นักปราชญ์ท่าทีหนักแน่นจริงจัง “พรึบ” ปีกทรุดโทรมที่อยู่บนหลังคู่นั้นค่อยๆ กางออก ขณะที่ปีกคู่นี้หุบเก็บเอาไว้จะรู้สึกว่ามันไม่ได้ใหญ่โตสักเท่าไร แต่เมื่อมันกางออกกลับรู้สึกได้ว่ามันสามารถปิดบังแผ่นฟ้าได้อย่างนั้น

เสียงตูม…ดังสนั่น ทันใดนั้นเอง ตัวของนักปราชญ์ปะทุเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาทั้งตัว นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์บนตัวของนักปราชญ์ถูกปล่อยออกมา มันกระจายออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทุกๆ สายล้วนแล้วแต่เหมือนจริงมาก อีกทั้งประกายศักดิ์สิทธิ์ทุกสายเปี่ยมด้วยความสว่าง ท่ามกลางความสว่างนี้ได้แบกรับความหวังของสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิตมายุคแล้วยุคเล่า

จังหวะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์พุ่งขึ้นท้องฟ้านั้น ปีกคู่ที่อยู่บนหลังของนักปราชญ์ปรากฏเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่พวยพุ่งสู่ท้องฟ้า ได้ยินเสียงดังช่าาาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดพลันบดบังวันเวลานับแต่อดีตเป็นต้นมา ก้าวข้ามช่องว่างของอาณาจักร

นาทีนี้ ปีกคู่ของนักปราชญ์ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันไม่เพียงแลดูศักดิ์สิทธิ์สูงส่งบริสุทธิ์เท่านั้น อีกทั้งขนทุกๆ ก้านของมันล้วนแล้วแต่มีความแหลมคมมาก เสมือนดั่งเป็นของมีคมศักดิ์สิทธิ์สวรรค์อย่างนั้น ขนทุกๆ ก้านล้วนแล้วแต่เหมือนเป็นเครื่องมือลงโทษของสวรรค์ มันสามารถลงโทษความมืดทุกๆ อย่าง สามารถลงโทษความชั่วร้ายใดๆ พลังของมันสร้างความรู้สึกสั่นเทาให้กับสิ่งชั่วร้ายใดๆ ได้โดยสัญชาตญาณ

แม้ว่าในขณะนี้ ปีกทั้งสองของนักปราชญ์ไม่ได้กลับกลายเป็นมีขนาดที่ใหญ่ขึ้น แต่เมื่อยามที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดปะทุพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้านั้น ปีกคู่นี้ได้บดบังทุกสิ่งทุกอย่างไปแล้ว ฟ้าดินกว้างใหญ่เพียงใดก็ไม่เท่าปีกคู่นี้ของนักปราชญ์ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ภายใต้ปีกคู่นี้

นาทีนี้ ตัวของนักปราชญ์กลับกลายเป็นผู้มีอานุภาพที่ทรงพลังยิ่งอย่างน่าอัศจรรย์ แค่ขยับตัวก็สามารถควบคุมวันเวลาได้เป็นล้านล้านปี เขาสามารถบงการสถานการณ์ของยุคสมัยหนึ่ง ภายใต้พลังอันศักดิ์สิทธิ์ แม้แต่บรรดาเทพและเหล่าราชันก็ต้องเทศนาธรรมให้กับเขา เหล่าเซียนในอดีตถึงปัจจุบันยังต้องอำนวยพรให้กับเขา

แว้งค์ แว้งค์ แว้งค์ ในขณะนี้ ปรากฎประกายศักดิ์สิทธิ์แต่ละสายที่สาดส่องลงมาจากท้องฟ้าทั่วไกลกันดาร ทุกๆ ประกายศักดิ์สิทธิ์ลอยอยู่ทุกตารางนิ้วของช่องว่างในไกลกันดาร พลังของประกายศักดิ์สิทธิ์ตลบอบอวลไปทั่วไกลกันดาร

ยามที่ประกายศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ส่องสว่างไสวไปทั่วไกลกันดารนั้น ความมืดทั่วไกลกันดารพลันถูกกวาดล้างจนสิ้นในพริบตาเดียว กระทั่งบรรดาผู้ยิ่งใหญ่ที่นอนหลับใหลอยู่ใต้พื้นดินยังต้องสั่นเทา พวกเขาต่างเกรงกลัวประกายศักดิ์สิทธิ์นี้สาดส่องเข้าไปภายในใจของพวกเขา และไปสั่นคลอนจิตใจที่มืดดำดวงนั้นของพวกเขา

กล่าวสำหรับบรรดาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้แล้ว สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวมากที่สุดหาใช่การพ่ายแพ้ต่อนักปราชญ์ สิ่งที่พวกเขากลัวมากที่สุดก็คือถูกนักปราชญ์ทำให้บริสุทธิ์ ซึ่งเสมือนดั่งผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรคนหนึ่งแหงนมองความมืดท่ามกลางความสว่างอย่างนั้น ยามที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ไปสั่นคลอนจิตใจที่มืดดำของพวกเขา พวกเขาก็ยากจะหลีกหนีชะตาที่ต้องแหงนมองความสว่างท่ามกลางความมืด ถ้าหากถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกเขาก็จะมีสภาพเหมือนแมลงเม่าบินเข้ากองไฟ ต้องมลายกลายเป็นเถ้าธุลีอย่างแน่นอน

ไม่ว่าผู้ใดก็ตาม จะต้องบังเกิดความหวังอย่างหนึ่งในใจขึ้นมาเอง ให้ความรู้สึกน้ำตาแห่งความปลื้มปิติที่ไหลนองเต็มใบหน้า นาทีนี้ ทำให้ผู้คนรู้สึกได้ว่าความสว่างช่างมีความสนิทสนมและอบอุ่นอย่างนั้น ช่างทำให้ผู้คนกระหายอยากและคาดหวัง ช่างเป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนต้องซาบซึ้ง นี่คือความรู้สึกที่เปี่ยมด้วยความหวัง สามารถทำให้หัวใจที่ด้านชาและเยือกเย็นดวงหนึ่งกลับมาเต้นอย่างสดชื่นมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง ทำให้ผู้คนรับรู้ถึงความหมายของการมีชีวิตอยู่!

ดังนั้น ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังเมื่อรับรู้ถึงประกายศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์แล้ว ก็ต้องรู้สึกหวั่นไหวภายในใจ ถ้าหากพวกเขาถือกำเนิดขึ้นในยุคของนักปราชญ์ เกรงว่าต่อให้พวกเขาที่อยู่ในฐานะของจอมราชันเซียนหวังก็ต้องยอมศิโรราบต่อนักปราชญ์ กลายเป็นสาวกของนักปราชญ์ก็เป็นได้

แม้ว่าบุคคลภายนอกจะไม่รู้ว่าภายในไกลกันดารได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น ต่อให้มีผู้ที่จ้องมองไกลกันดารอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ เมื่อไกลกันดารถูกปิดกั้นด้วยม่านแสงเอาไว้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมองเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในไกลกันดารได้อย่างชัดเจน

แต่ว่า เมื่อประกายศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ปะทุพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น พลังศักดิ์สิทธิ์ได้เข้าไปโน้มน้าวต่อคนทุกๆ คน ฉับพลันนั้นต่อให้คนชั่วร้ายที่ดื้อรั้นเพียงใดก็จะเกิดจิตสำนึกอยากจะวางดาบฆ่าคน พลังศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งเกิดขึ้นภายในใจของพวกเขาเอง ทำให้พวกเขาบังเกิดปฏิกิริยารักอย่างลึกซึ้งในชีวิต

ในเวลานี้ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนได้ก้มกราบอยู่กับพื้นทั้งกายและใจ เพียงชั่วพริบตาเดียวสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนในชิงโจวได้ก้มกราบกับพื้น พลังเช่นนี้ได้มีการแผ่รังสีส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่จำนวนมากของสิบสามทวีป แม้ว่าสิบสามทวีปจะได้มีการปิดกั้นไปแล้ว แต่พลังที่ศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ยังคงซึมผ่านช่องว่างเข้าไปได้

ยามที่ผู้บำเพ็ญตนจำนวนนับไม่ถ้วนก้มลงกราบทั้งกายและใจนั้น ภายในใจของพวกเขาได้ก่อกำเนิดแรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนักในความศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ แรงบันดาลใจและเข้าใจตระหนักเช่นนี้ไม่เพียงรั้งอยู่ภายในใจระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น กระทั่งส่งผลกระทบต่อพวกเขาชั่วชีวิต ภายใต้พลังศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ มีคนชั่วจำนวนไม่น้อยเลิกทำชั่วและกลับตัวเป็นคนดี

เวลานี้สิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนก้มกราบลงกับพื้น ในเวลานี้ต่างอาบเอิบอยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์นี้ ภายในใจบังเกิดความปรารถนา ความหวังได้ถูกจุดติดขึ้นภายในใจของทุกคน ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยมีน้ำตาแห่งความปลื้มปิตินองเต็มหน้า กระหายต่อชีวิต และหวงแหนในชีวิต

ท่ามกลางสมรภูมิรบ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเองก็อาบเอิบอยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์นี้ เขาไม่ได้ต่อต้านประกายศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ กลับให้การยอมรับและบรรจุมันเข้าไป

บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหลับตาลง เสพสุขกับการได้อาบเอิบประกายศักดิ์สิทธิ์นี้ กล่าวทอดถอนใจออกมาว่า “ความรู้สึกเช่นนี้นับว่างดงามเหลือเกิน ทำให้ไม่สามารถลืมเลือนไปชั่วชีวิต ปรารถนาจะได้มาซึ่งความสว่างท่ามกลางความมืดก็ไม่เกินเลยไปกว่านี้อีกแล้ว มิน่าเล่า ทั้งที่บางคนได้ใช้ชีวิตโดยเปล่าประโยชน์อยู่ท่ามกลางความมืดนานนับพันล้านปีมาแล้ว แต่เมื่อยามที่แสงสว่างสาดส่องทั่วหล้าอย่างเสมอภาคนั้น ยังคงเสมือนดั่งแมลงเม่าที่บินเข้ากองไฟใฝ่หาได้มาซึ่งแสงสว่าง ต่อให้ต้องมีการเผาไหม้จิตที่มืดดำของตนท่ามกลางความสว่างก็ไม่เสียดาย…”

“…ถ้าหากไม่เป็นเพราะจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของข้าเข้มแข็งไม่สามารถสั่นคลอนเสียแล้ว สิ่งนี้ก็สามารถทำให้ข้าปรารถนาในความสว่าง และสามารถทำให้ข้าโบยบินไปสู่ความสว่าง รู้ทั้งรู้ว่าสิ่งนี้จะต้องเผาไหม้ตัวเองก็ไม่โทษและไม่เสียใจ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สำหรับบรรดาสาวกที่เสมือนดั่งแมลงเม่าบินเข้ากองไฟกระโจนเข้าหาแสงสว่างในครั้งนั้น ข้าไม่ตำหนิพวกเขา ซึ่งก็เหมือนเช่นบางคนที่อยู่ท่ามกลางความสว่างแล้วแหงนมองความมืดอย่างนั้น”

เมื่อบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมา จ้องมองดูนักปราชญ์ กล่าวด้วยความจริงใจยิ่งว่า “สหายเก่า ขอบใจเจ้า ทุกครั้งที่ได้อาบเอิบท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์ก็จะคอยเตือนให้ข้ารู้ว่ายังมีชีวิตอยู่ ให้ข้าตื่นตัวว่าข้ายังเป็นคนเป็นๆ คนหนึ่ง”

“เจ้ามีชีวิตอยู่มานานเกินไปแล้ว สมควรสิ้นสุดลงได้แล้ว” ท่าทีนักปราชญ์เย็นชา และกล่าวว่า “วันนี้ให้พวกเรามาทำให้ยุคสมัยนี้ได้สิ้นสุดลงเถอะ!”

“ขอให้เจ้าสมปรารถนา หวังว่าเจ้าสามารถทำได้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้โกรธ อมยิ้ม ขาดคำ ลืมตาทั้งสองข้างทำลายโลกในฉับพลัน พริบตาเดียวกันนี้เองดวงตาทั้งสองของเขาดูมืดดำยากจะหาใดเทียม มันคือโลกแห่งความมืดที่แท้จริง ณ ที่ตรงนี้มีเพียงความมืด สิ่งมีชีวิตใดๆ สิ่งดำรงอยู่ในฐานะใดก็ตามเมื่อตกลงสู่โลกนี้แล้ว ไม่สามารถหลีกหนีได้ตลอดกาล

คู่ดวงตาแห่งความมืดลักษณะเช่นนี้ ต่อให้จอมราชันเซียนหวังหากได้เห็นก็ต้องหวาดหวั่นพรั่นพรึง รู้สึกหัวใจเต้นแรง เกรงว่าความมืดลักษณะเช่นนี้คือความมืดที่น่ากลัวที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยเห็นมาชั่วชีวิต และเป็นความมืดที่บริสุทธิ์ที่สุด

ตูม…ตูม…ตูม… ชั่วพริบตาเดียวนี้เอง ปรากฏสิบจอมโหดพุ่งตัวออกมาจากดวงตาคู่นั้น ทั้งสิบจอมโหดนี้มาจากความมืด ทุกๆ จอมโหดล้วนแล้วแต่อยู่ในฐานะสามารถกลืนปฐพีทำลายพื้นดินทั้งสิ้น

สิบจอมโหดนี้หาใช่สิ่งมีชีวิต พวกมันคือตัวแทนของความมืด พวกมันยิ่งดำรงอยู่เป็นนิรันดร์เมื่อมีความมืด

เสียง ตูม… ดังสนั่น สิบจอมโหดมาอยู่ที่สมรภูมิรบ ประกอบด้วยจิ้งจอกผีเก้าหางทลายฟ้า มารอสรพิษราตีดึกดำบรรพ์กลืนกินหมื่นอาณาจักร ยังมีมารสะกดวิญญาณทำชั่วนิรันดร์…

การปรากฏของสิบจอมโหด ฟ้าดินรกร้างว่างเปล่า สรรพชีวิตมลาย ขณะที่จอมโหดทั้งสิบมาถึง จอมโหดทุกตัวล้วนแล้วแต่ไม่ด้อยไปกว่าจอมราชันเซียนหวัง พวกเขากระทั่งสามารถสังหารเหล่าเทพ!

ฆ่าาา ท่าทีของนักปราชญ์เมินเฉยเมื่อต้องเผชิญกับสิบจอมโหด คำรามเสียงยาว ก้าวเพียงก้าวเดียวก้าวข้ามสมรภูมิรบไป เวลาไหลรินอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา หนึ่งก้าวก็คือหมื่นปี ภายในพริบตาเดียวนี้ นักปราชญ์ไล่เรียงไปถึงวันเวลาที่ยาวนานกว่านี้

เสียง ตูม ตูม ตูม แต่ละเสียงที่ดังขึ้น สิบจอมโหดคำรามเสียงยาว ลงมือพร้อมกัน จิ้งจอกผีเก้าหางอาศัยหางยาวที่ปิดฟ้าบังตะวันฟาดลงมา หางแต่ละหางทำลายโลกได้โลกหนึ่ง พลังของหางแต่ละหางสุดยอดปราศจากผู้เทียบเทียม ไม่สามารถต้านทานได้

มารอสรพิษราตรีดึกดำบรรพ์อ้าปากพลันกลืนกินสิ่งมีชีวิตนับล้านล้านชีวิต กลืนกินประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ปากขนาดใหญ่ของมันคล้ายดั่งกระชอน ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามหากถูกมันกลืนกินล้วนแล้วแต่ไม่คงอยู่อีกต่อไป

มารสะกดวิญญาณที่บ้าคลั่ง คลื่นความมืดโหมสาดซัด กลืนกินสติสัมปชัญญะทุกอย่างในโลก ภายใต้ความบ้าคลั่งของมารสะกดวิญญาณ เกรงว่าแม้แต่เหล่าเทพก็ต้องสั่นเทา และถูกทำให้บ้าคลั่งตามภายในเสี้ยววินาที ตกลงสู่ห้วงแห่งความมืดโดยพลัน

……

สิบจอมโหดที่โหดสุด กำแหงอันธพาลไม่มีผู้ใดเทียบเทียม ปราศจากผู้ต่อกรในหล้า ด้วยจอมโหดทั้งสิบเช่นนี้ที่อาละวาดโลกหล้า ต่อให้จอมราชันเซียนหวังสิบองค์ทุ่มเทเต็มกำลังก็ไม่แน่ว่าจะเอาชนะได้

แต่ทว่า นักปราชญ์ที่มีท่าทีเมินเฉย พลันก้าวข้ามเวลาในพริบตา ไล่ย้อนไปถึงต้นกำเนิด เข้าใกล้สิบจอมโหดในฉับพลัน ต่อให้เป็นความมืดที่ดั่งคลื่นยักษ์ก็ไม่สามารถขวางการก้าวย่างของนักปราชญ์เอาไว้ได้!

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท