วันเวลาที่ผ่านไป คนบางคน เรื่องบางเรื่องยังคงไม่เปลี่ยนแปลง เวลาสามารถทำลายสิ่งของจำนวนมาก แต่ทว่า คนบางคน เรื่องบางเรื่องกลับไม่สามารถทำลายได้
ย้อนเวลากลับไป ยืนอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาในยุคสมัยของตน นักปราชย์ไม่พูดอะไร บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็ไม่พูด พวกเขายืนอยู่ที่ตรงนั้น เหมือนหนึ่งยืนอยู่ในอดีต
ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินไม่หยุดนิ่ง ท่ามกลางเวลาที่เป็นยุคสมัยของตน มีความรู้สึกที่คุ้นเคยมากมายเหลือเกิน ที่ตรงนี้เคยเป็นทีที่สืบทอดทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกเขา ผู้ที่รักพวกเขา ผู้ที่พวกเขารัก ล้วนแล้วแต่อยู่ท่ามกลางเวลาของยุคสมัยนี้
แต่ทว่า เหลียวกลับไปมองวันนี้ สิ่งของยังเหมือนเดิม และคนไม่คงอยู่เสียแล้ว ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ กลับกลายเหมือนเมฆหมอกที่จางหายไป ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่รักพวกเขา หรือว่าผู้ที่พวกเขารัก ล้วนแล้วแต่กลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้ว ล้วนแล้วแต่ไม่คงอยู่อีกต่อไป
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่พูดอะไร นักปราชย์ก็ไม่พูดอะไร ก้าวมาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย หรือว่านักปราชย์ พวกเขาต่างก็ผ่านเรื่องราวในชีวิตมามากมายเหลือเกิน สิ่งที่พวกเขาประสบผ่านมานั้น เป็นสิ่งที่ผู้คนจำนวนมากไม่อาจประสบพบเจอในชั่วชีวิตของพวกเขา
นักปราชย์ไร้ความปราณี ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดไหนเลยจะไม่เป็นเช่นนี้เล่า เวลาได้ขัดเกลาทุกสิ่งที่อยู่ภายในใจของพวกเขา ภายในใจของพวกเขาก็มีเพียงความคิดเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นเอง
กี่ปีผ่านไป ความสว่างยังคงเหมือนเดิม ความมืดยังคงอยู่ สงครามระหว่างนักปราชย์และบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่เคยจบสิ้น บางที การศึกในวันนี้จะเป็นการสิ้นสุดบุญคุณความแค้นของพวกเขาที่มีมายุคแล้วยุคเล่า
“หากความมืดไม่อยู่ ความสว่างไหนเลยจะคงอยู่” ในเวลานี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยลงมือ เขาก้าวออกมาก้าวหนึ่ง ก้าวหนึ่งคืออดีต ก้าวหนึ่งก็คือนิรันดร์
แค่ก้าวไปก้าวเดียวก็คือสัจธรรมแห่งยุค ไม่จำเป็นต้องมีกระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลง หนึ่งก้าวหนึ่งยุคสมัย ความมืดพลันปกคลุมไปทั่วสายน้ำแห่งกาลเวลายุคนั้น ท่ามกลางยุคที่เขาอยู่คือความมืดที่เบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ความมืดมีอยู่ทุกที่ มันไม่จำเป็นต้องอาศัยกระบวนท่าใดๆ มาสังหาร และไม่จำเป็นต้องอาศัยดาบและกระบี่ใดๆ มาโจมตี ความมืดจะเข้าครอบคลุมทุกซอกทุกมุมของสายน้ำแห่งกาลเวลาของยุคสมัยนี้ทั้งยุค เข้าครอบคลุมเวลาทุกตารางนิ้วโดยตรง
ท่ามกลางความมืดลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตลักษณะเช่นใด เกรงว่าต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังก็ต้องถูกความมืดกลืนกิน เพียงแค่ก้าวเข้าไปท่ามกลางความมืดเช่นนี้ก็จะทำให้ไม่คงอยู่อีกต่อไป ไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับออกมาจากยุคสมัยที่ดำมืดเช่นนี้ได้
“จิตใจที่ใสสะอาด ทุกสิ่งย่อมกระจ่างตลอดกาล” ขณะที่ความมืดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยปกคลุมยุคสมัยอยู่นั้น นักปราชย์ยังคงมีประกายศักดิ์สิทธิ์ที่พลุ่งพล่าน ถ้อยวาจาที่กล่าวก็คือกฎเกณฑ์ ได้ยินเสียงตูมดังสนั่นหวั่นไหว
ในเวลานี้ ปีกที่ยอดเยี่ยมคู่นั้นของนักปราชย์ปรากฏประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีขอบเขตสิ้นสุดพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และแตกออกมาเป็นอนุภาคเล็กๆ ที่มากมายมหาศาลและไม่มีสิ้นสุดออกมา อนุภาคเม็ดเล็กๆ ที่นับไม่ถ้วนเหล่านี้ได้ทำการชะล้างยุคสมัยทั้งยุค เหมือนจับเอาความมืดมิดมาจุ่มน้ำแล้วเขย่า
ประกายศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชย์ปรากฏอยู่ทุกที่ มีทุกซอกทุกมุม ความน่าเกรงขาม ความยิ่งใหญ่ไพศาลของมันเพียงพอที่จะถมยุคสมัยทั้งยุคให้เต็ม เมื่อประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้ถมเต็มทุกซอกทุกมุม ทุกๆ ตารางนิ้วของยุคสมัยแล้ว ได้ยินเสียงคล้ายล้างเขย่าน้ำดังซ่าาา ซ่าาา ซ่าาาขึ้นมา ประกายศักดิ์สิทธิ์กำลังเขย่าล้างความมืดมิดนั่น ภายใต้ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามและไม่มีสิ้นสุดเช่นนี้ ความมืดได้ถูกเขย่าล้างจนเสมือนเป็นน้ำขึ้นน้ำลงที่ถอยกลับออกไปอย่างนั้น ไม่สามารถรักษาสภาพเอาไว้ได้
ด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ทำการชะล้างยุคสมัยทั้งยุคเช่นนี้ ผู้ที่มีกำลังพอเมื่อได้มองเห็นภาพนี้แล้วถึงกับหวั่นไหวในใจ นี่มันเป็นการปกครองยุคสมัยโดยลำพังผู้เดียว ด้วยกำลังความสามารถเช่นนี้ เกรงว่าไม่ว่าจอมราชันเซียนหวังคนใดก็ต้องหวาดกลัวอยู่แล้ว
เสียงแกร้งค์…ดังขึ้น จังหวะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ชะล้างจนความมืดล่ราถอยไปดั่งน้ำลงนั้น กระบี่ในมือนักปราชย์ได้ฟาดฟันออกไป พุ่งเป้าตรงไปยังบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย
กระบี่นี้ได้ก้าวข้ามยุคสมัยทั้งยุค ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะห่างไกลกันด้วยเวลามากมายเท่าไร ไม่ว่าจะห่างกันด้วยช่องว่างเท่าไรก็ตาม ภายใต้หนึ่งกระบี่นี้ก็ดูจะไม่มีประโยชน์ใดๆ อีกทั้งกระบี่นี้ไม่ได้สนใจต่อแนวป้องกันใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากกระบี่นี่ฟันตรงไปยังแหล่งต้นกำเนิด ต้องการฟันต้นกำเนิดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยทิ้งไป เป็นการสังหารบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาโดยตรง
หากว่ากระบี่นี้ทำได้สำเร็จ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็จะเสมือนหนึ่งไม่เคยปรากฎกายขึ้นมาก่อนอย่างนั้น เมื่อไรที่ต้นกำเนิดถูกตัดขาด ต่อให้เขามีความฝืนลิขิตสวรรค์เช่นใดก็ไร้ประโยชน์ ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาจะไม่หลงเหลืออยู่อีกต่อไป
หลังจากที่กระบี่นี้ได้ฟาดฟันออกไป ปรากฎเสียงสั่นเทาแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์แต่ละครั้งที่ดังขึ้น ยุคสมัยของไกลกันดารทั้งหมดล้วนแล้วแต่พวยพุ่งประกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ทุกๆ อณูของเวลาในยุคสมัยนี้ล้วนแล้วแต่ส่งประกายของนักปราชย์ที่แวบวับออกมา เหมือนว่านาทีนี้นักปราชย์ได้ทำการประทับและสลักลงบนทุกๆ อณูเวลาของยุคสมัยนี้เอาไว้ ณ ที่ตรงนี้ ทุกหนทุกแห่งล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยประกายศักดิ์สิทธิ์ที่แวววาวของนักปราชย์
เหมือนว่านักปราชย์ต้องการกลั่นพื้นที่ของไกลกันดารทั้งหมด ด้วยการลบร่องรอยของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจากต้นกำเนิดอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่คงอยู่อีกต่อไป และไม่เหลือทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้
สิ่งนี้คล้ายดั่งเป็นจอมราชันองค์หนึ่งอย่างนั้น เมื่อถูกเขาสังหารจากต้นกำเนิด เช่นนั้นแล้ว เขาจะไม่เหลือทิ้งร่องรอยใดๆ เอาไว้บนโลกอีกต่อไป ไม่มีผู้ใดจดจำเขาได้ และไม่มีผู้ใดรู้เรื่องราวที่เกี่ยวกับเขา ทุกสิ่งทุกอย่างของเขาจะถูกลบเลือนไปอย่างหมดจด จะไม่มีบุคคลลักษณะเช่นนี้บนโลกอีกต่อไป
“หากไม่มีความมืด แล้วความสว่างจะมาจากที่ใด” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเพียงยิ้มเฉยเมย ยังคงยืนอยู่ที่บริเวณต้นกำเนิดของตน เขาปริปากเป็นสัจวาจาออกมา นาทีนี้ร่างของเขาเหมือนกลับกลายเป็นเลือนลางยิ่งนัก เหมือนว่าร่างทั้งรต่างของเขาได้หลอมร่วมเข้าไปอยู่ท่ามกลางยุคสมัย
เสียงแว้งค์ แว้งค์ แว้งค์แต่ละเสียงที่ดังขึ้นมาแผ่วเบา นาทีนี้เรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ได้เกิดขึ้นแล้ว เดิมความสว่างของนักปราชย์สามารถเต็มไปทั่วทุกพื้นที่ยุคสมัยไกลกันดาร ประกายศักดิ์สิทธิ์ของเขาได้สลักและประทับลงบนทุกๆ อณูของเวลาทั่วทั้งยุคสมัยไปแล้ว
แต่ทว่า จากเสียงแผ่วเบาที่ดังขึ้นมา ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ประทับสลักลงบนทุกๆ อณูของยุคสมัยถึงกับบังเกิดความมืดขึ้นมา มองเห็นความมืดที่ถือกำเนิดท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นมา อีกทั้งขณะที่ความมือแต่ละสายที่ถือกำเนิดขึ้นท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้ด้อยไปกว่าประกายศักดิ์สิทธิ์แม้แต่น้อย
นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์เสมือนหนึ่งได้ถูกทำให้กลายเป็นตัวแม่ไป โดยมีความมืดที่กำเนิดอยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์ มันต้องการรีดประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดให้แห้ง เพื่อทำให้ตนเองนั้นมีความแข็งแรงสมบูรณ์
“หมื่นยุคมลาย ประกายศักดิ์สิทธิ์คงอยู่!” หนึ่งกระบี่ของนักปราชย์ยังคงไม่หยุด ยังคงก้าวข้ามเวลา พุ่งตรงไปยังบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย
เพียงแต่บังเกิดเสียงพรึบดังขึ้น นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ลุกไหม้ขึ้นมา ลุกไหม้อย่างรุนแรง เหมือนหนึ่งว่าประกายศักดิ์สิทธิ์เผาผลาญตัวเองเพื่อจุดประกายสว่างให้กับยุคสมัยทั้งยุคอย่างนั้น
ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้ลุกไหม้อย่างรุนแรงอยู่นั้น ได้ยินเสียงดังจี๊ด จี๊ด จี๊ดขึ้นมา บรรดาความมืดที่แฝงอยู่ท่ามกลางประกายศักดิ์สิทธิ์ล้วนแล้วแต่ถูกเผาไหม้จนจางหายไปดั่งเมฆหมอก กลายเป็นควันดำปลิวกระจายหายไป
เสียงตูม…ดังสนั่น ในขณะนี้ที่ลุกไหม้อยู่ไม่ได้มีเพียงประกายศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แม้แต่ตัวของนักปราชย์เองก็รู้สึกร่างกายกำลังลุกไหม้ไปทั้งร่าง และมีการเผ่าไหม้ขึ้นมาอย่างรุนแรง
แกร้งค์…หนึ่งกระบี่ของนักปราชย์ได้ฟันเข้าไปยังต้นกำเนิดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยโดยตรงแล้ว เมื่อไรที่ต้นกำเนิดถูกตัดขาด ร่างทั้งร่างของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็จะถูกสังหารทำลาย เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้มีความสามารุที่ฝืนลิขิตสวรรค์เพียงใดก็ไร้ประโยชน์
“ข้าก็คือความสว่าง ความสว่างก็คือข้า” ในเวลานี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยคำรามเสียงยาวไม่ขาดสาย เสียงตูมดังสนั่น ในเวลานี้ความมืดได้หายไป สิ่งที่นึกไม่ถึงก็คือ ร่างกายของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยถึงกับปะทุเป็นประกายสว่างที่น่าเกรงขามและไม่มีสิ้นสุดขึ้นมา ในขณะนี้ตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยถูกประกายสว่างครอบคลุมเอาไว้ ร่างทั้งร่างของเขาอาบเอิบอยู่ท่ามกลางความสว่างที่ไม่มีสิ้นสุด ตัวเขาเสมือนดั่งเป็นศูนย์กลางของโลก ปล่อยให้ประกายสว่างของตนส่องสว่างไปทุกซอกทุกมุมทั่วทั้งยุคสมัยอย่างเสมอภาค
สมควรทราบว่า บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยคือผู้ยิ่งใหญ่ของความมืด เขาคือต้นกำเนิดความมืดของยุคสมัยนี้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไร้ข้อกังขาใดๆ แต่ทว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยในเวลานี้กลับกลายร่างเป็นความสว่าง ภาพเช่นนี้ทำเอาทุกคนถึงกับตระหนก ไม่เว้นแม้แต่จอมราชันเซียนหวัง
เสียงปัง…ดังขึ้น แต่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่แวววาวดั่งหิมะได้ฟาดฟันลงบนตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย แต่ทว่า กลับไม่สามารถฟันถูกต้นกำเนิดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย เนื่องจากประกายศักดิ์สิทธิ์บนตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่ส่องสว่างไปเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินนั้นได้ขวางกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชย์เอาไว้
หรือจะกล่าวให้ถูกต้องก็คือ มันหาใช่เป็นการขวางกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ แต่เป็นการตำหนิและต่อต้านกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชย์ เหมือนเป็นการต่อต้านระหว่างประกายศักดิ์สิทธิ์กับประกายศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น หรือเหมือนว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่อนุญาตให้มีการเข่นฆ่ากันเองอย่างนั้น ในเมื่อต่างก็เป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ด้วยกันทั้งคู่ ไม่ว่าใครก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ไปบดขยี้ทำลายอีกฝ่าย
ภาพของประกายศักดิ์สิทธิ์ต้านกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้ทำให้บรรดาจอมราชันเซียนหวังถึงกับเย็นวาบ การที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยมีประกายศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเกรงขามและทรงพลังเช่นนี้ในครอบครอง นับเป็นสิ่งที่อยู่เหนือความคาดคิดของพวกเขาโดยสิ้นเชิง สมควรทราบว่า บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยนั้นคือผู้ยิ่งใหญ่ของความมืด เป็นต้นกำเนิดของความมืดในยุคสมัยนี้ การที่เขาได้ครอบครองประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ทรงพลังเช่นนี้ เกรงว่าคงเป็นเรื่องที่ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจจินตนาการได้
“สหายเก่าอย่างลืมสิ ข้าเองก็เคยมีประวัติที่โชติช่วงชัชวาลมาก่อน” ขณะประกายศักดิ์สิทธิ์ต้านอยู่กับกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “สหายหลี่พูดไม่ผิด ไม่มีใครที่เกิดมาพร้อมกับความชั่วร้าย ต่อให้เป็นบุคคลที่ดำมืดกว่านี้ก็เคยมีความสว่างอยู่ในครอบครอง ข้าเองก็เคยส่องสว่างไปทั่วโลกอย่างเสมอภาค และเคยโปรดฟ้าดินเหล่าสรรพชีวิตมาก่อน”
คำพูดเช่นนี้ของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยทำให้ภายในใจของจอมราชันเซียนหวังจำนวนไม่น้อยต้องเย็นวาบ คำพูดเช่นนี้ของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยทำให้ภายในใจของผู้คนจำนวนมากต้องสะท้าน เนื่องจากประสบการณ์ของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย เป็นการเตือนเข้าไปในใจของผู้คนจำนวนมาก
ในเมื่อบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้เกิดมาพร้อมกับความชั่วร้าย เช่นนั้นแล้วเขาก็ต้องเคยเป็นความสว่างมาก่อน ดั่งเช่นที่เขาได้พูดเอาไว้อย่างนั้น เขาเองก็เคยให้แสงสว่างส่องไปทั่วหล้าอย่างเสมอภาคมาแล้ว
คำพูดเช่นนี้มักจะทำให้บรรดาจอมราชันเซียนหวังถึงกับนึกถึงตัวเองเสมอๆ จอมราชันเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่เคยเฝ้าปกปักรักษาเผ่าพันธุ์ของตนมาก่อน เคยปกป้องทายาทรุ่นหลังของตนมาก่อน ต่อให้แสงสว่างของพวกเขาไม่ได้สาดส่องไปทั่วหล้าอย่างเสมอภาค แต่ก็เคยส่องสว่างให้กับคนข้างกายของตน
แต่ท้ายที่สุดแล้ว แม้แต่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่เคยให้แสงสว่างส่องสว่างไปทั่วหล้าอย่างเสมอภาค ก็ต้องกลับกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดในที่สุด กระทั่งกลายเป็นต้นกำเนิดความมืดของยุคสมัยหนึ่ง
ไม่มีใครรู้ว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ผ่านประสบการณ์อะไรมาบ้าง แต่การผันแปรของเขานั้นควรค่าแก่การระวังตัว
สำหรับจอมราชันเซียนหวังที่รู้เรื่องมากไปกว่านี้ โดยเฉพาะจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุดถึงกับสะท้านภายในใจ และรู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่อยู่บ้าง ไม่มีใครเกิดมาก็ชั่วร้ายเลย ถ้าเช่นนั้นแล้ว บนโลกนี้ยังคงมีผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดที่ยังคงกบดานอยู่ พวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นคนประเภทไหนกันนะ เหล่าจอมราชันเซียนหวังคิด คำตอบลักษณะเช่นนี้บางทีอาจไม่มีใครรู้ แต่กลับพูดออกมาก็รับรู้ได้ทันที ทำให้หวาดกลัวจนตัวสั่นดั่งลูกนก
เนื่องจากว่า ไม่ว่าใครก็มีความเป็นไปได้คือผู้ยิ่งใหญ่ที่อยู่ท่ามกลางความมืด ไม่ว่าใครก็มีความเป็นไปได้จะกลายเป็นความมืด บางทีอาจเป็นคนที่เจ้ารัก และบางทีอาจเป็นคนที่รักเจ้า และหรือบางทีอาจเป็นผู้ที่เจ้าเคารพนับถือ