ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1969 ข้ากำเนิดจากความมืด

ตอนที่ 1969 ข้ากำเนิดจากความมืด

ประกายศักดิ์สิทธิ์ต่อต้านกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้ ทำให้ไม่สามารถฟันเข้าให้ที่ต้นกำเนิดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย

“แสงสว่างเป็นนิรันดร์ ไม่เคยทำตัวตกต่ำ!” นักปราชญ์คำรามเสียงยาว สัจธรรมไม่เคยเปลี่ยน ยังคงเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุด ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ดั่งคลื่นยักษ์

แต่ทว่านาทีนี้กลับเปลี่ยนไป ได้ยินเสียงปุดังขึ้น มองเห็นประกายศักดิ์สิทธิ์แต่ละสายเหมือนถูกแยกออกจากกันอย่างนั้น นาทีนี้แม้แต่ประกายศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนดั่งเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง มันคล้ายดั่งแยกตัวออกจากร่างของตน เผยตัวตนดั้งเดิมออกมา

ทุกๆ ประกายศักดิ์สิทธิ์เหมือนกลับกลายเป็นของเหลวอย่างนั้น ทุกๆ ประกายศักดิ์สิทธิ์เหมือนกำลังไหลรินอยู่ นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่เป็นเพียงแค่แสงสว่างอย่างเดียว มันไม่ได้คงอยู่ในระดับแนวคิดที่เยือกเย็น มันดำรงอยู่อย่างแท้จริง เป็นการดำรงอยู่ที่เป็นตัวเป็นๆ

เพียงพริบตาเดียวนั่นเอง ประกายศักดิ์สิทธิ์ทุกสาเหมือนมีชีวิตขึ้นมาอย่างนั้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ทุกสายล้วนแล้วแต่สืบทอดความศรัทธาของสรรพชีวิตนับล้านล้านชีวิต มันคือสิ่งพึ่งพิงของสรรพสิ่งมีชีวิตในยุคสมัยหนึ่ง

เสียงตูม…ดังสนั่น จากการที่ประกายศักดิ์สิทธิ์เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้รวมตัวกัน จากเสียงดังตูมตามที่ดังขึ้นเป็นระลอก แหล่งต้นกำเนิดแสงสว่างปรากฏขึ้นที่ด้านหลังศีรษะของนักปราชญ์ มอบพลังศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดแก่นักปราชญ์

เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์บนตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ต่อต้านกระบี่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป แต่ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกพลังของแหล่งต้นกำเนิดแสงสว่างของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์หลอมละลาย พลังประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดกลายเป็นของนักปราชญ์ ในเวลานี้ นักปราชญ์เป็นผู้ควบคุมแสงสว่าง เขาเป็นผู้บงการความสว่าง

เสียงปัง…ดังขึ้น กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ได้ฟันใส่ตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย ขอเพียงถูกหนึ่งกระบี่ที่วาววับดั่งหิมะฟันเข้า ไม่ว่าจะเป็นจอมราชันเซียนหวัง หรือว่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืด ล้วนแล้วแต่ไม่สามารถต้านกระบี่ที่ศักดิ์สิทธิ์นี้เอาไว้ได้ นี่เป็นการตัดสินระดับสูงสุด หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมาต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย

เสียงปังดังขึ้น บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่ถูกครอบคลุมโดยประกายศักดิ์สิทธิ์หลังจากถูกฟันด้วยกระบี้นี้แล้ว ร่างกายของเขาล้มตัวลงแข็งทื่อ เขาถูกสังหารอยู่ ณ ที่ตรงนั้น

ฉับพลันนั้น ฟ้าดินเงียบสงัด บรรดาจอมราชันเซียนหวังที่มีศักยภาพสามารถมองเห็นภาพนี้ได้ถึงกับต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ ถึงกับเต้นกระตุกในใจขึ้นทีหนึ่ง

หรือว่าทำได้สำเร็จแล้ว? ในเวลานี้จอมราชันเซียนหวังจำนวนไม่น้อยต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ มองดูสายน้ำแห่งกาลเวลาอย่างใจจดใจจ่อ จ้องเขม็งไปที่ภาพตรงหน้า เพื่อดูว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นหรือไม่

เสียงแว้งค์…แว้งค์…แว้งค์…ดังขึ้น ศพของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่ล้มอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาถึงกับกระจายกลายเป็นประกายแต่ละสาย และประกายแต่ละสายเหล่านี้ได้รวมตัวกัน แล้วหลอมรวมเข้าไปในแหล่งต้นกำเนิดของความสว่าง

เสียงจี๊ด…ดังขึ้น เมื่อศพของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยปลิวกระจายไปแล้ว ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลาของยุคสมัยนี้มีจุดเชื่อมต่อของเวลาแห่งหนึ่งพลันก่อกำเนิดความมืดขึ้นมา ขณะที่ประกายความมืดนี้เกิดขึ้น พลันได้เปลี่ยนยุคสมัยนี้กลายเป็นความมืดในพริบตาเดียว ยุคสมัยทั้งยุคมืดดำดั่งหมึก มองไม่เห็นนิ้วมือที่ยื่นออกไป สิ่งมีชีวิตทั้งหมดในยุคสมัยนี้ล้วนแล้วแต่ถูกกลืนกินโดยความมืดที่น่าสยดสยองยิ่งนี้ ต่อให้เป็นชีวิตหนึ่งร้อยล้านล้านล้านชีวิต มันก็แค่อาหารของความมืดมิดนั่นเท่านั้นเอง

“ที่สมควรต้องตาย อย่างไรเสียก็ต้องตาย” เวลานี้มองเห็นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยปรากฏอยู่ในความืด โดยมีความมืดเคียงข้างเขาตลอดไป นาทีนี้ตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยให้ความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิมมาก

ก่อนหน้านั้น บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ให้ความรู้สึกของการกลับคืนสู่ตัวตนดั้งเดิม กระทั่งเรียกได้ว่า เมื่อเขายืนอยู่ต่อหน้าของเจ้า จะไม่รับรู้ถึงความเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดโดยสิ้นเชิง กลับรู้สึกว่าเขาเหมือนผู้เฒ่าที่สูงส่งและมีความสง่ามากกว่า

แต่ทว่า นาทีนี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกลับมีนิสัยเฉพาะตัวที่แตกต่างไป เขากำเนิดจากความมืด และจะต้องกลับคืนสู่ความมืด ต่อให้ไม่มีพลังที่สะเทือนฟ้าดิน แต่ว่า ทุกๆ การแสดงออกและคำพูดปรากฎความพาลที่สามารถกลืนกินเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินแล้ว เป็นสัตว์ดุร้ายที่มีความคิดต้องการบงการอดีตถึงปัจจุบัน

นาทีนี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้มีท่าทีที่สุภาพมีมารยาทอีกต่อไป เขาให้ความรู้สึกถึงความเป็นสัตว์ร้ายในยุคดึกดำบรรพ์ เขาก็คือสัตว์ร้ายยุคดึกดำบรรพ์ที่เพิ่งจะตื่นขึ้นมา เขาไม่ใช่คนที่มีเมตตาอย่างแน่นอน แค่อ้าปากก็สามารถกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกได้

ขณะที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก้าวเดินออกมาจากความมืดนั้น นักปราชญ์ไม่ได้ยกเว้นให้กับเขา ยังคงจ้องเขม็งตัวเขา ถือกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ยังคงไม่ได้ใส่ใจต่อเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ปราศจากผู้ต่อกรทุกยุคทุกสมัย

“สหายเก่า เจ้าทำสำเร็จแล้ว อย่างน้อยเจ้าก็ได้สังหารร่างแห่งความสว่างของข้าไปได้ ช่างมันเถอะเรื่องนี้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยิ้มๆ กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “สุขทุกข์เป็นของคู่กัน ใครจะไปรู้ว่าจะเป็นสุขหรือทุกข์ แสงสว่างจากไปไม่ย้อนกลับ ข้ากำเนิดเกิดในความมืด นี่แหละคือตัวตนของข้า”

คำพูดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยทำให้จอมราชันเซียนหวังจำนวนไม่น้อยต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้ การที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยถูกสังหารร่างที่เป็นความสว่าง จะเป็นทุกข์หรือสุขนับว่าพูดยากจริงๆ

เหมือนดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้อย่างนั้น ไม่มีใครเกิดมาก็ชั่วร้ายเลย บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยใช่ว่าเกิดมาก็ดำมืดเลย และไม่ได้เกิดมาก็คือต้นกำเนิดของความมืด

ขณะที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยอยู่ในวัยหนุ่ม ก็เหมือนเช่นผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรจำนวนมาก เคยต่อสู้ เคยพยายาม เคยมีเลือดในกายที่เดือดพล่าน เขาเคยต่อสู้เพื่อตนเอง เพื่อคนที่อยู่ข้างกาย ขณะที่เขาประสบความสำเร็จเป็นผู้ปราศจากผู้ต่อกร ก็เคยได้ส่องแสงสว่างให้กับยุคสมัยหนึ่งอย่างเสมอภาค

ส่วนที่ว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ก้าวเข้าสู่ความมืดในภายหลัง และกลายเป็นต้นกำเนิดความมืดของยุคไกลกันดารได้อย่างไรนั้น บุคคลภายนอกไม่สามารถรู้ได้ และไม่มีใครรู้ว่าเขาได้ประสบเรื่องราวเช่นใดมาบ้าง

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม ต่อให้กลายเป็นต้นกำเนิดของความมืด กลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดที่น่าสยองขวัญที่สุดแห่งยุคก็ตาม แต่ว่า บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเคยทำให้แสงสว่างส่องไปทั่วหล้าอย่างเสมอภาคมาแล้ว ดังนั้น เขาจึงมีกายที่เป็นด้านสว่างของตน

แต่ทว่า มาวันนี้ เขาอาศัยความสว่างต่อสู้ชี้ขาดกับความสว่าง สุดท้ายแล้วถูกนักปราชญ์สังหารร่างที่เป็นความสว่างไปในที่สุด

“แสงสว่างจะไม่ร่วงหล่นลงมาตลอดกาล!” ท่าทีของนักปราชญ์เฉยเมย มองดูบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยและกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ใช่ว่าพลังของความสว่างละทิ้งเจ้าไป เป็นเพราะเจ้าไม่ได้ยืนหยัดในความสว่าง!”

“นั่นสิ” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้แสดงอาการโกรธกับคำพูดที่เย็นชาของนักปราชญ์ จิตสงบมาก และกล่าวว่า “บนเส้นทางสายนี้ข้าสู้เจ้าไม่ได้ ข้าก้าวเดินไปได้ไม่ไกลเท่าสหายเก่า และไม่ได้ยืนหยัดถึงที่สุดเท่ากับสหายเก่า จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไหนเลยจะไม่ใช่จิตที่ไม่หวั่นไหวเล่า”

“จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่ไม่มั่นคง แม้จะมีสติปัญญาก็เปล่าประโยชน์ มันก็แค่เป็นภัยต่อโลกมนุษย์เท่านั้นเอง” นักปราชญ์ท่าทีเย็นชา คำพูดที่พูดออกมานั้นมีความเฉียบขาด เยือกเย็นไร้ความปราณี

“วันนี้ ข้าไม่ถกเรื่องใครผิดใครถูกกับสหายเก่า และไม่พูดถึงขาวและดำบนโลกมนุษย์กับสหายเก่า” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยิ้มอย่างอ่อนโยน ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ก้าวมาถึงระดับอย่างพวกเรา ไม่จำเป็นค้องไปพูดถึงเรื่องถูกหรือผิด เรื่องขาวและดำในโลกมนุษย์ พวกเราเอาก็สามารถให้คำจำกัดความเรื่องของถูกผิดและขาวดำได้แล้ว”

“ถ้าเช่นนั้น ก็ให้ความสว่างมาตัดสินความมืดของเจ้าก็แล้วกัน” กระบี่ศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ชี้ไปข้างหน้า ดวงตาทั้งสองเจิดจ้า ปลดปล่อยประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีสิ้นสุดออกมา ดวงตาทั้งสองของเขาเสมือนหนึ่งได้กลับกลายเป็นมหาสมุทรประกายศักดิ์สิทธิ์แล้วอย่างนั้น

“สหายเก่า นับว่าเจ้ายอดเยี่ยมจริงๆ แม้ว่าเจ้าจะห่างจากจุดสูงสุดอย่างแท้จริงในครั้งนั้นแค่คืบ แต่ยังคงแข็งแกร่งกว่าข้าอยู่นิดหนึ่ง สภาพของข้าในตอนนี้หากคิดจะสู้กับเจ้า นับว่ามีอุปสรรคอยู่บ้าง แต่ว่า สหายเก่าเจ้ายังคงประเมินข้าต่ำไปนิดหนึ่ง ต่อให้ยุคสมัยของพวกเราถูกทำลายไปแล้ว แต่ธาตุแท้ภายในของข้ายังคงอยู่ ข้อนี้สหายเก่าสู้ข้าไม่ได้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยิ้มนิดหนึ่ง

เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมา พลันที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพูดขาดคำ ร่างกายของเขาได้พวยพุ่งความมืดออกมาทั่วร่าง ความมืดของเขาช่างบริสุทธิ์ ปราศจากสิ่งเจือปนใดๆ ทั้งสิ้น

ตูม ตูม ตูม…จากการที่จังหวะร่างกายของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้พวยพุ่งความมืดออกมาทั่วร่างนั้น ไกลกันดารพลันปรากฏเสียงดังตูมตามขึ้นเป็นระลอก มองเห็นความมืดที่ไม่มีสิ้นสุดพวยพุ่งออกมาจากพื้นดินทุกๆ ตารางนิ้วของไกลกันดาร เหมือนว่าทั่วไกลกันดารคือต้นกำเนิดความมืดอย่างนั้น ความมืดที่พวยพุ่งออกมาจากพื่นดินทุกตารางนิ้วนั้นไม่มีขาดสาย เหมือนว่าคว้าเอาดินของไกลกันดารตามอารมณ์ขึ้นมาสักกำมือ ก็สามารถคั้นเอาความมืดออกมาได้เป็นถังใหญ่ๆ อย่างนั้น

ความมืดที่พวยพุ่งขึ้นมาจากไกลกันดารพลันรวมตัวเข้าด้วยกัน ความมืดที่รวมตัวกันได้ไหลพลุ่งพล่านไม่ขาดตรงเข้าหาบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย และถูกบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยดูดซึมเอาไว้ทั้งหมด

แม้ว่าเปรียบกับยุคสมัยที่แท้จริงของไกลกันดารแล้ว ไกลกันดารเป็นเพียงส่วนน้อยนิดที่ไม่สมประกอบที่ยังคงอยู่ของยุคสมัยทั้งยุคเท่านั้น แต่ส่วนน้อยดังกล่าวนี้กลับไม่ได้ถูกทำลายจากภัยพิบัติครั้งใหญ่นั่น ย่อมสามารถประเมินได้ว่ามันมีความแข็งแกร่งเพียงใด ท่ามกลางยุคสมัยของไกลกันดารนั้น ส่วนของไกลกันดารที่ยังเหลืออยู่นี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้บริหารมาเป็นเวลานานนับไม่ถ้วนแล้ว

ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานมานี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ทุ่มเทกำลังกายใจนับไม่ถ้วนเพื่อดูแลบริหารพื้นดินทุกๆ ตารางนิ้วของที่นี่ แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะถูกทำลายจนย่อยยับภายใต้ภัยพิบัติใหญ่ แต่ธาตุแท้ภายในที่ยังคงเหลืออยู่ของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย ณ ที่ตรงนี้ยังคงสะเทือนฟ้าดินยิ่งนัก

เสียงตูม…ดั่งสนั่น แม้แต่สายน้ำแห่งกาลเวลายังสั่นไหวโคลงเคลง นาทีนี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้กลืนกินเอาความมืดที่มาจากไกลกันดารไว้ทั้งหมด ธาตุแท้ภายในที่มากมายปราศจากผู้เทียบเทียมได้ทำให้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยมีความแข็งแกร่งขึ้นในฉับพลันทันที

เสียงตูม ตูม ตูมที่ส่งผลกระทบอดีตจนถึงปัจจุบันดังตูมตามขึ้นมาไม่ขาด เสียงตูมตามลักษณะเช่นนี้ฟังดูอึดอัดยิ่งนัก เหมือนว่าถูกถ่ายทอดส่งมาจากยุคสมัยที่ดึกดำบรรพ์อย่างนั้น

ในเวลานี้ ร่างกายทั้งตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพวยพุ่งความมืดที่ไม่มีสิ้นสุดออกมา นาทีนี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ตัวของเขาที่ยืนอยู่จุดสูงสุดก้มมองดูเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน ก้มมองดูบรรดาเทพและเหล่าราชัน ในสายตาของเขาทุกอย่างก็เป็นแค่มดปลวกเท่านั้นเอง

ในขณะนี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้สวมมงกุฎดำมืดบนศีรษะ สวมชุดกษัตริย์สีดำ เพียงแค่เคลื่อนไหวขยับตัว ความมืดของเขาก็สามารถกลืนกินไปยุคสมัยหนึ่ง ภายใต้พลังของเขากระทั่งเวลาได้กลางเป็นเชื่องช้ายิ่งนัก เขาเป็นผู้บงการทุกสิ่งท่ามกลางอาณาจักรเช่นนี้

ก่อนหน้านั้น ท่าทีของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแลดูสุภาพมีมารยาทมาก มีกลิ่นอายที่สูงส่ง ทำให้ผู้คนไม่สามารถนำเอาตัวเขามาเชื่อมโยงกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมือเข้าด้วยกันได้

บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยในเวลานี้กลับต่างกัน ดวงตาคู่นั้นเผยให้เห็นถึงประกายที่เย็นชายิ่งนัก สุดยอดความไร้ปราณี ทุกอย่างล้วนไม่คู่ควรจะกล่าวถึงท่ามกลางดวงตาคู่นี้ของเขา ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น แม้แต่ชีวิตหนึ่งร้อยล้านล้านล้านชีวิต เขาก็จะไม่ลังเลอ้าปากกลืนกินเข้าไป ตัวเขาในเวลานี้ก็คือผู้ที่เย็นชาไร้ความปราณี บนตัวของเขาปราศจากกลิ่นอายของชีวิตตัวเป็นๆ เขาคือความมืด เขาไม่ได้เป็นมนุษย์คนหนึ่งหรือสิ่งมีชีวิตอีกแล้ว

นาทีนี้จะรู้สึกได้ว่าแววตาของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกับนักปราชญ์มีส่วนคล้ายกันมาก แววตาทั้งสองต่างก็เยือกเย็นไร้ความปราณี สุดยอดความเย็นชาสูงสุด

แต่ทว่า ความเย็นชาของพวกเขาทั้งสองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความเย็นชาของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยคือเย็นชาต่อชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาเขาเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง ขณะที่เย็นชาของนักปราชญ์ออกมาจากหลักการ ในสายตาของเขามองว่า โลกนี้ควรเป็นเช่นนี้อยู่แล้ว

“สหายเก่า วันนี้พวกเราไม่ตายไม่เลิก” เวลานี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้กล่าวขึ้นมาช้าๆ น้ำเสียงของเขาได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง อันธพาลยากหาผู้ใดเทียม หนึ่งไม่มีสองในหล้า หมางเมินหมื่นยุค สรรพสิ่งมีชีวิตเป็นเพียงมดปลวกเท่านั้น ท่าทีที่องอาจผึ่งผายปราศจากผู้ต่อกรล้วนปรากฏออกมาบนตัวของเขา

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท