“สหายเก่า ลองดูกระบวนท่าเนตรสังสารวัฏสักหน่อย น่าจะคุ้นเคยกับรสชาตินี้กระมัง” ในเวลานี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยร้องคำรามเสียงยาวออกมา ลืมตาทั้งสองแล้วเปิดดวงตาที่สามบริเวณหน้าผากขึ้นมา
เสียงตูม…ดังสนั่น ยามที่ดวงตาที่สามของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยถูกเปิดออก ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่หายไปสิ้น ลืมตาฟ้าดินดำมืด ยามที่ดวงตาดวงนี้ลืมตาขึ้นมา ทำให้ยุคสมัยของไกลกันดารทั้งยุคตกอยู่ท่ามกลางความมืดในทันที
ภายใต้การปกครองของดวงตาดวงนี้ ตลอดทั้งยุคสมัยตกอยู่ในความมืดมิดเป็นนิรันดร์ ยื่นมือออกไปไม่สามารถมองเห็นนิ้วมือได้ ประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถสาดส่องเข้ามาได้ตลอดกาล ฟ้าดินหมื่นสัจธรรมล้วนแล้วแต่จมดิ่งอยู่ท่ามกลางความมืดมิดของดวงตาดวงนี้ ดวงตาดวงนี้มีการวัฏสงสารได้ เพียงแต่เป็นการวัฏสงสารของความมืดมิดที่เป็นนิรันดร์ นอกจากความมืดแล้วก็ยังคงเป็นความมืด ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นดำรงอยู่ในฐานะเช่นใดก็ตาม ไม่สามารถกระโดดออกจากวัฏสงสารของความมืดมิดที่น่าสยดสยองนี้ไปตลอดกาล
ตูม ตูม ตูม ภายใต้การปกครองของความมืดมิด ฟ้าดินและสรรพสิ่งจมดิ่งอยู่ในความทุกข์ทรมาน สายน้ำแห่งกาลเวลาทั้งยุคสมัยล้วนจมดิ่งลงไปในความมืดมิด แม้แต่เวลาที่รินไหลล้วนแล้วแต่วนเวียนอยู่ที่ตรงนี้ เหมือนว่านับแต่อดีตเป็นต้นมา นอกจากความมืดแล้วก็ไม่ได้มีสิ่งอื่นใดอีกเลย
แม้แต่ในใจของจอมราชันเซียนหวังยังรู้สึกจิตตก เมื่อมองเห็นวัฏสงสารความมืดเช่นนี้ เนื่องจากวัฏสงสารเช่นนี้แม้แต่จอมราชันเซียนหวังก็ออกมาไม่ได้ เมื่อใดที่จมดิ่งลงไปท่ามกลางวัฏสงสารเช่นนี้แล้วก็คือความมืดมิดตลอดกาล นับจากนี้เป็นต้นไปจะไม่ได้พบเห็นความสว่างอีกเลย
ลองคิดดู ท่ามกลางความมืดที่ไม่มีสิ้นสุดเช่นนี้ จะมีสักกี่คนที่สามารถรองรับกับมันได้ แล้วจะมีสักกี่คนที่ยังสามารถมั่นคงในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร ไม่ว่าบุคคลผู้นั้นจะมีความแข็งแกร่งปานใด เมื่อมาอยู่ท่ามกลางวัฏสงสารความมืดเช่นนี้แล้ว ถ้าไม่เสียสติไป เกรงว่าคงต้องสยบต่อความมืด กลายเป็นส่วนหนึ่งของความมืด ถูกความมืดกลืนกินนับแต่นี้เป็นต้นไป
ในเวลานี้ จอมราชันเซียนหวังก็รู้สึกเย็นวาบขึ้นภายในใจของตน สมมุติเป็นตัวเองหากจะต้องไปอยู่ในความมืดมิดเช่นนั้น จะสามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนได้อย่างมั่นคงเหมือนเช่นที่ผ่านมาหรือไม่? เกรงว่าคำตอบที่ได้คงจะคือคำว่าไม่แน่ใจ
เสียงตึงดังขึ้นทีหนึ่ง เมื่อนักปราชญ์มองเห็นสังสารวัฏความมืดจึงได้ชูกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นสูง ตูม ตูม ตูม เสียงดังตูมตามดังขึ้นมาไม่ขาดสาย ในขณะนี้นักปราชญ์ได้เปลี่ยนจากรุกมาเป็นรับ ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในสายน้ำแห่งกาลเวลาตลอดทั้งยุคสมัยได้ไหลเชี่ยวกรากไม่ขาดสายมารวมอยู่บนตัวของนักปราชญ์ นาทีนี้เวลานี้ ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่มารวมอยู่ที่ตัวของนักปราชญ์คนเดียว ในเวลานี้ ร่างกายของนักปราชญ์คล้ายดั่งถูกกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ลุกไหม้ท่วมตัวอย่างนั้น
ได้ยินเสียงดังตูมเสียงหนึ่งดังขึ้น กระบี่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนหนึ่งได้กลายเป็นคบเพลิง พลันเปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เจิดจ้าปราศจากสิ่งใดเทียบเทียม นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ปะทุขึ้นมาเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งนับแสนล้านเท่า เหมือนว่าประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดของยุคสมัยนั้นล้วนแล้วแต่ถูกรวบรวมมาจนกลายเป็นคบเพลิง และลุกไหม้อย่างรุนแรงบนส่วนปลายกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้ส่องสว่างไปทั่วฟ้าดิน
ภายใต้ประกายศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ ไม่ว่าความมืดจะมีการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้นอย่างไร ไม่ว่ากระแสความมืดที่รุนแรงจะโจมตีเช่นใดก็ตาม แต่ทว่า เมื่ออยู่ภายใต้แสงสว่างจากการสาดส่องของคบเพลิงประกายศักดิ์สิทธิ์ ทุกอย่างล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นสงบอะไรขนาดนั้น ขณะที่ตัวของนักปราชญ์ก็กลับกลายเป็นสงบไม่สะทกสะท้าน
ต่อให้ความมืดน่าสยองขวัญยิ่งไปกว่านี้ แต่เมื่อประกายศักดิ์สิทธิ์คงอยู่ คบเพลิงประกายศักดิ์สิทธิ์ก็เหมือนดั่งส่องสว่างภายในจิตใจของทุกคนอย่างนั้น ชี้นำทิศทางท่ามกลางความมืดมิดให้กับผู้คน ทำให้ผู้ที่กำลังลนลานอยู่มีเป้าหมาย พวกเขาสามารถมุ่งตรงไปประกายศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ข้างหน้า ภายใต้การชี้นำของประกายศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจะไม่หลงทางท่ามกลางความมืด
ต่อให้ความมืดของยุคสมัยนี้เวียนว่ายตายเกิดไม่สิ้นสุด เมื่อคบเพลิงประกายศักดิ์สิทธิ์ไม่ดับ ทุกคนล้วนแล้วแต่มีความหวัง ทุกคน ล้วนแล้วแต่ก้าวไปข้างหน้าได้
แม้แต่จอมราชันเซียนหวังที่เฝ้าชมการต่อสู้อยู่ถึงกับรู้สึกอุ่นใจขึ้นมา เมื่อได้มองเห็นคบเพลิงประกายศักดิ์สิทธิ์ เนื่องจากพวกเขาเข้าใจได้ว่ามันบ่งบอกถึงสิ่งใด คบเพลิงประกายศักดิ์สิทธิ์คงอยู่ ความสว่างจะยังคงอยู่ โลกมนุษย์ยังคงเปี่ยมด้วยความหวัง
เวลานี้ นักปราชญ์เสมือนหนึ่งได้กลายเป็นนิรันดร์ภายใต้คบเพลิงประกายศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ต่อให้คลื่นความมืดเข้าโจมตีอย่างรุนแรง เขายังคงไม่หวั่นไหว ยังคงชูคบเพลิงประกายศักดิ์สิทธิ์สูงขึ้นไป ส่องสว่างเข้าไปในจิตใจของสรรพชีวิตบนโลกมนุษย์ ภายใต้การส่องสว่างของคบเพลิงลักษณะเช่นนี้ แม้ว่านักปราชญ์จะอยู่ท่ามกลางความมืด แต่เขาได้หลุดพ้นจากความมืดไปแล้ว ความมืดไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อเขา
“สหายเก่า ต่อให้เจ้าสามารถส่องสว่างโลกมนุษย์ได้ แต่ก็ไม่สามารถส่องสว่างเข้าไปยังจิตใจของทุกคนได้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยมองดูประกายศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่มีวันดับเป็นนิรันดร์ กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ถ้าหากทุกๆ คนบนโลกมนุษย์ต่างมีความคิดในประกายศักดิ์สิทธิ์แวบหนึ่ง เช่นนั้นแล้วไกลกันดารก็จะไม่ล่มสลาย ใช่ว่าข้าเป็นคนทำให้ไกลกันดารล่มสลาย เป็นความมืดที่อยู่ภายในใจของทุกคนเป็นผู้ทำลายไกลกันดาร ข้าก็แค่ช่วยผสมโรงเท่านั้นเอง บนโลกไม่ได้มีมารร้าย มารร้ายก็แค่แปรเปลี่ยนมาจากสรรพสิ่งมีชีวิตเท่านั้นเอง”
“ข้าอยู่ ประกายศักดิ์สิทธิ์ก็คงอยู่ ไม่มีวันดับเป็นนิรันดร์” ท่ามกลางกระแสความมืดที่รุนแรง นักปราชญ์ยังคงสงบ เย็นชา และกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ต่อให้ใจของผู้คนมีความมืด หากประกายศักดิ์สิทธิ์คงอยู่ ยังคงจุดประกายสว่างขึ้นภายในจิตใจของพวกเขา ให้พวกเขาไม่สั่นเทาท่ามกลางความมืด หัวใจน้อยๆ ของพวกเขาไม่สิ้นหวัง…”
“…ต่อให้พวกเขาจมดิ่งอยู่ในความมืด เขาเพียงมีประกายศักดิ์สิทธิ์สักนิดหนึ่ง ชีวิตของพวกเขายังคงมีแสงสว่าง ยังคงมีสีสัน! นี่แหละคือความหมายที่ข้าคงอยู่ นี่แหละคือความหมายที่ข้าต่อต้านถึงที่สุด ต่อให้ข้าไม่สามารถทำให้ความมืดสิ้นสุดลง แต่ ข้าได้นำพาสีสันให้กับสรรพสิ่งมีชีวิตบนโลกแห่งความมืดได้บ้าง นำพาความหวังมาให้นิดหนึ่ง! ทำได้แค่นี่ข้าก็ไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น!”
คำพูดนี้ของนักปราชญ์พูดได้เรียบเฉยมาก แต่กลับสะเทือนหวั่นไหวจนหูแทบหนวก บรรดาจอมราชันเซียนหวังที่สามารถมองเห็นการต่อสู้ครั้งนี้ได้ก็รู้สึกหวั่นไหวในใจ
ในยามที่ความมืดมาถึงนั้น บรรดาจอมราชันเซียนหวังจะเลือกอย่างไรกันหละ? ยามที่ความมืดแข็งแกร่งมากเกินไป การต่อต้านของจอมราชันเซียนหวังมีความหมายหรือไม่ รู้ทั้งรู้ว่าการต่อต้านแค่เหนื่อยเปล่าเท่านั้นเอง เช่นนั้นแล้วควรจะละทิ้งการต่อต้านใช่หรือไม่?
ย่อมไม่ต้องสงสัย คำพูดของนักปราชญ์ได้ให้คำตอบแล้ว ขอเพียงสามารถนำพาซึ่งสีสันเล็กน้อยให้กับจิตใจที่สิ้นหวังท่ามกลางความมืด เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่เสียดายทั้งสิ้น!
“นี่แหละคือจุดที่ยอดเยี่ยมของสหายเก่า รู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้ก็ยังทำ ข้อนี้ข้าสู้สหายเก่าไม่ได้” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพยักหน้า จากนั้นวางท่าทีเข้มและกล่าวว่า “แต่ว่า สหายเก่า เกรงว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะสิ้นสุดในวันนี้แล้ว แม้ว่าเจ้าสามารถจุดประกายสว่างให้กับหัวใจของสรรพสิ่งมีชีวิตได้ แต่ไม่เห็นว่าเจ้าสามารถจุดติดความสว่างให้ตัวเองได้”
เสียงตูม…ดังสนั่น คลื่นแห่งความมืดล่าถอยกลับไป พลิบตาเดียวกันนั้น ความมืดที่ไม่มีขอบเขตสิ้นสุดได้ถูกเก็บงำอย่างรวดเร็ว ความมืดทั้งหมดถูกเนตรสังสารวัฏของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกลืนกินไปทั้งหมด หลังจากที่ได้กลืนกินความมืดทั้งหมดแล้วเนตรสังสารวัฏนี้กลับกลายเป็นชัดเจนโปร่งใสมาก เป็นความมืดที่มีความชัดเจนมาก
ถูกต้อง ความมืดกลับกลายเป็นชัดเจนโปร่งใสมาก มันเป็นเรื่องที่ไม่สามารถจินตนาการได้ เหมือนว่าเนตรสังสารวัฏดวงนี้ไม่มีการแบ่งแยกระหว่างความมืดและความสว่างอีกต่อไปแล้ว เหมือนว่ามันได้หวนกลับคืนสู่ต้นกำเนิดไปแล้ว
จี๊ด…เสียงหนึ่งดังขึ้น พริบตาเดียวนี่เองปรากฏประกายสายหนึ่งออกมาจากเนตรสังสารวัฏ ประกายสายนี้ไม่ใช่ความมืดและไม่ใช่แสงสว่าง เหมือนว่ามันคือประกายแรกเริ่มกำเนิดฟ้าดิน มันมีความดั้งเดิมเป็นอันมาก มันมีความเรียบง่าย ไม่มีการปรุงแต่งใดๆ และไม่ถูกจัดให้เป็นประเภทใดๆ
ประกายลักษณะนี้เล็กดั่งใยไหม มันสามารถก้าวข้ามนับล้านล้านปีในฉับพลันทันที ต่อให้อยู่นอกเหนือจากล้านล้านปีมันก็สังหารเจ้าได้ ภายใต้ประกายเช่นนี้เรื่องเวลาไม่ใช่ระยะห่างอีกต่อไป
ขณะที่ประกายลักษณะเช่นนี้ปรากฏขึ้นมานั้น ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังระดับสูงยังรู้สึกสายตากระตุกทีหนึ่ง เนื่องจากสิ่งที่น่าหวาดกลัวของประกายเช่นนี้หาใช่พลังสังหารของตัวมัน แต่เป็นต้นกำเนิดดั้งเดิมที่สุด มันสามารถทะลุผ่านจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของบุคคลผู้นั้น ทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของบุคคลผู้นั้นกลับคืนสู่ดั้งเดิมนับแต่นี้เป็นต้นไป ทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่รักษาอย่างมั่นคงถูกขจัดทิ้งไป
ท่าทีของนักปราชญ์ดูไม่ดีขณะมองเห็นประกายเช่นนี้ที่พุ่งเข้ามา เสียงแกร้งค์ดังขึ้น สองมือกำกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เอาไว้แน่นตั้งตรงอยู่กับด้านหน้าของอก เสียงตูมเสียงหนึ่งดังขึ้น ปีกศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ด้านหลังของเขาพลันหุบเก็บเข้ามา เหมือนปิดกั้นประตูเอาไว้ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกั้นขวางเอาไว้ด้านนอกประตู
ได้ยินเสียงดังปุ ประกายจากเนตรสังสารวัฏพลันยิงเข้าที่ปีกศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินเสียงสั่นสะเทือนวืด วืด วืดดังขึ้นมาเป็นระลอก ยุคสมัยที่นักปราชญ์และบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยอยู่นั้นถึงกับสั่นสะเทือนขึ้นมา นาทีนี้สายน้ำแห่งกาลเวลาเหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชนิดพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินอย่างนั้น ประวัติศาสตร์ของยุคสมัยจะต้องถูกเขียนขึ้นมาใหม่
จี๊ด จึ๊ด จึ๊ดเสียงที่แผ่วเบามากเสียงหนึ่งดังขึ้น ประกายนี้ได้ทะลุผ่านปีกศักดิ์สิทธิ์ ทะลุผ่านกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ ส่องเข้าไปยังจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนักปราชญ์
ยามที่ประกายเช่นนี้สาดส่องเข้าไปยังจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนักปราชญ์ พลันทำให้ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดติดๆ ดับๆ เหมือนเปลวเทียนท่ามกลางพายุอย่างนั้น พร้อมที่จะดับลงได้ทุกเมื่อ
ผลุบ ผลุบ ผลุบ เสียงที่แผ่วเบามากดังขึ้นไม่ขาดสาย มองเห็นประกายศักดิ์สิทธิ์ที่เริ่มดับวูบลงทีละสาย
แต่ทว่า เรื่องที่สยองขวัญเพิ่งจะเริ่มต้น ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ดับวูบลงนั้น ได้ยินเสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น ตรงตำแหน่งเดิมที่ประกายศักดิ์สิทธิ์เคยปรากฏถึงกับบังเกิดเป็นความมืดขึ้นมา ความมืดแต่ละสายเริ่มถือกำเนิดขึ้น
แต่ว่า การกำเนิดขึ้นของความมืดไม่ได้ราบรื่นขนาดนั้น ความมืดที่กำเนิดขึ้นใหม่ยังคงติดๆ ดับๆ ยังคงเหมือนเปลวเทียนท่ามกลางพายุอย่างนั้น มีความเป็นไปได้ที่พร้อมดับลงได้ทุกเวลา
ขณะที่ความมืดแต่ละสายกำลังเกิดขึ้น จากนั้นตามติดด้วยเสียง ผลุบ ผลุบ ผลุบ มองเห็นความมืดที่ดับวูบลง และตำแหน่งดังกล่าวตามติดด้วยความสว่างแต่ละสายที่เกิดขึ้น
แต่ว่า ความสว่างแต่ละสายเพิ่งจะกำเนิดโผล่ขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็มีเสียงที่แผ่วเบาดังขึ้นเป็นระลอก ความสว่างดับวูบลง จากนั้นความมืดได้ถือกำเนิดขึ้นแทนที่
ในเวลานี้ ความมืดและความสว่างสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน ช่วงชิงช่องว่างเพื่อถือกำเนิดขึ้นมา
นี่แหละคือความน่ากลัวสยองขวัญของประกายจากเนตรสังสารวัฏ เมื่อมันได้ส่องเข้าไปในจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรแล้ว สามารถทำให้จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของผู้นั้นถูกขจัดกลายเป็นศูนย์ ทุกอย่างกลับคืนสู่จุดเริ่มต้น ภายใต้สภาพเช่นนี้ จะเป็นความสว่างหรือความมืดก็ขึ้นอยู่กับการยืนหยัดตามสัญชาตญาณแล้ว
ย่อมไม่เป็นที่สงสัย จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนักปราชญ์นั้นเปี่ยมด้วยความสว่าง เวลานี้เนตรสังสารวัฏต้องการขจัดสิ้นความสว่างที่อยู่ภายในจิตใจของนักปราชญ์ ให้ทุกอย่างกลับไปยังจุดเริ่มต้น ณ จุดเริ่มต้นตรงนั้นเริ่มมีความมืดถือกำเนิดขึ้นมา แน่นอนมันสามารถให้กำเนิดความสว่างได้ด้วย
ที่สุดแล้วจะกำเนิดเกิดเป็นความสว่างหรือความมืด ต้องขึ้นอยู่กับการประลองกำลังกันระหว่างบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกับนักปราชญ์สองคนแล้ว
มันเป็นสงครามที่มองไม่เห็นควันไฟ น่ากลัวยิ่งกว่าสู้กันด้วยกระบี่หรือดาบเป็นล้านเท่า เป็นการต่อสู้ที่มุ่งสังหารทางด้านจิตใจ เมื่อไรที่นักปราชญ์ต้านไม่อยู่ เช่นนั้นแล้วความมืดก็จะถูกปักลงกลางจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของนักปราชญ์ ต่อให้เขาไม่ถึงกับจมดิ่งลงไป ไม่สยบต่อความมืด เกรงว่าจะนำมาซึ่งผลที่สยดสยองน่ากลัวขึ้นภายหลังกับตัวของเขา
เสียงแว้งค์แต่ละเสียงที่ดังขึ้น หลังจากผ่านการประลองมาหลายรอบแล้ว นักปราชญ์เริ่มจะสู้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยไม่ได้ ความมืดและความสว่างเกิดๆ ดับๆ ในเวลานี้เริ่มมีความมืดเกิดขึ้นมาแล้ว ขณะที่ความสว่างไม่สามารถทำลายมันได้อีกต่อไป
อีกทั้ง ขณะที่ความมืดแต่ละสายกำเนิดเกิดขึ้นมานั้น ความสว่างที่อื่นๆ กลับกลายเป็นอับแสงลง พร้อมที่จะดับวูบลงได้ตลอดเวลา