เลือดสดๆ ค่อยๆ หยดลง เสื้อผ้าขาดรุ่ย ร่างกายของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็แตกละเอียด สามารถมองเห็นกระดูก ร่างกายถูกทำลายจนยับเยิน หลายส่วนแตกร้าว แต่เขายังคงยืนตัวตรง ยังคงยืดตัวตรงอยู่อย่างนั้น
ผมเผ้าของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยดูกระเซอะกระเซิงไปบ้าง ลักษณะท่าทางของเขาในเวลานี้ดูย่ำแย่มาก ในฐานะที่เคยเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่บงการยุคสมัยมา เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริง บัดนี้ลักษณะของเขาแลดูเศร้ารันทดเหลือเกิน
แต่ทว่า บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยยังคงยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น ยังคงไม่สะทกสะท้านยิ่งนัก ยังคงสงบนิ่งมาก กระทั่งไม่หวาดหวั่นต่อสิ่งใดยิ่ง เขาเตรียมพร้อมอยู่แล้ว
บรรดาจอมราชันเซียนหวังทั้งหมดที่ได้เห็นภาพนี้แล้ว ต่างนิ่งเงียบกับสิ่งนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก้าวเดินมาถึงตรงนี้ในวันนี้ กล่าวสำหรับจอมราชันเซียนหวังระดับสูงแล้ว ย่อมสามารถสะท้อนเห็นเงาของตนเองมากบ้างน้อยบ้างจากตัวของเขา
การได้มายืนอยู่บนระดับเฉกเช่นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยคือระดับที่สูงสุดแล้ว ซึ่งระดับดังกล่าวพวกเขาที่เป็นจอมราชันเซียนหวังเคยพุ่งชน เคยเสาะแสวงหามาแล้ว
กล่าวสำหรับจอมราชันเซียนหวังระดับสูงจำนวนเท่าไร เส้นทางที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก้าวเดินมาตลอดนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอุทาหรณ์อย่างหนึ่ง
ไม่ว่าบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเป็นคนดีหรือคนชั่ว ไม่ว่าเขาจมดิ่งอยู่ในความมืด หรือปกป้องความสว่างเอาไว้ แต่ว่า มุมมองในด้านการฝึกบำเพ็ญตนนั้น เส้นทางที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก้าวเดินล้วนควรค่าแก่พวกเขาให้ความเคารพเลื่อมใส ควรค่าให้พวกเขาไปไตร่ตรอง ยิ่งไปกว่านั้น กล่าวสำหรับจอมราชันเซียนหวังแล้ว ไม่เคยแบ่งแยกคนดีคนชั่วอยู่แล้ว เพียงแต่มุมมองต่อสถานการณ์สุดท้ายแตกต่างกันเท่านั้นเอง
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยปราศจากผู้ต่อกรมาชั่วชีวิต สุดท้ายยังคงต้องก้าวเดินถึงปลายทางของชีวิต ช่างเป็นเรื่องนี่น่าเศร้าวังเวงเพียงใด จอมราชันเซียนหวังไม่ได้เห็นใจในบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย แต่จอมราชันเซียนหวังกลับได้สิ่งต่างๆ มากมายบนตัวของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย บางทีวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องก้าวเดินถึงสุดปลายทางของชีวิต และหมดสิ้นหนทาง
บางทีวันนั้นอาจจะไม่เศร้าสลดเร้าใจ หรือสะเทือนลือลั่นเท่ากับบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย!
“ควรจบสิ้นได้แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยมองดูบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่ยืดอกตัวตรง ผู้ที่ตายด้วยมือของเขามีมากมายเหลือเกิน เรียกว่าไม่ได้ขาดเพียงแค่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยคนเดียวเท่านั้น
“ใช่ควรสิ้นสุดได้แล้ว” บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเผยรอยยิ้มออกมา กล่าวอย่างช้าๆ ว่า “ข้าหลบเลี่ยงตลอดเวลาที่ผ่านมา ข้าปลอบใจตนเองว่าเพียงแค่ต้องการสั่งสมพลังเพื่อปราบสวรรค์ให้ราบคาบเท่านั้น ความจริงแล้วไหนเลยจะไม่ใช่การหลีกหนีความตาย ไหนเลยไม่เป็นเพราะเกรงกลัวต่อความตาย ยามที่ความตายมาถึงจริงๆ มันไม่มีอะไรน่ากลัวอีกแล้ว”
บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยในเวลานี้ไม่ตอบโต้อีกแล้ว ไม่ขัดขืนอีกต่อไป เนื่องจากสถานการณ์ไม่เป็นผลดีเขาต้องพ่ายแพ้อย่างยับเยินแน่นอนแล้ว ซึ่งเขาเข้าใจเป็นอย่างดีว่า หลี่ชิเย่ยังไม่ได้แสดงฝีมือออกมาทั้งหมด ต่อให้เขาขัดขืนต่อไปก็ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด
“เจ้ายังมีคำสั่งเสียอะไรหรือไม่?”
“ข้ายังจะมีคำสั่งเสียใดได้อีก ผู้ที่คู่ควรให้ข้าสนใจในโลกนี้ล้วนแล้วแต่ไม่อยู่เสียแล้ว ผู้ที่รักข้า ผู้ที่ข้ารัก ล้วนแล้วแต่จางหายไปดั่งเมฆหมอก แม้แต่นักปราชญ์สหายเก่าที่เป็นศัตรูกับข้ามาชั่วชีวิตก็ไม่คงอยู่อีกต่อไปแล้ว โลกนี้ยังจะมีสิ่งใดคู่ควรให้ข้าได้ชำเลืองมองสักแวบได้เล่า” ท่าทีของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยสงบมาก ไม่สะทกสะท้านยิ่ง นาทีนี้เขาเผชิญกับความตายอย่างไม่สะทกสะท้าน ดูสงบนิ่งมาก ต่อให้เป็นนาทีสุดท้ายก่อนตาย เขายังคงเป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ยังคงมีท่วงท่าสง่างามเหมือนเดิม
ในขณะนี้ บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยจ้องมองหลี่ชิเย่อย่างจริงจัง เอ่ยขึ้นข้าๆ ว่า “ถ้าหากข้าจะมีคำสั่งเสียจริงๆหละก็ เช่นนั้นแล้วการสู้รบถึงสุดท้ายในอนาคต ข้าหวังว่าเจ้าสามารถได้รับชัยชนะกลับมา เส้นทางสายนี้เป็นที่ทรมานกันมานานมากแล้ว ผ่านวัฏสงสารมายุคแล้วยุคเล่า ปรัชญาเมธีจำนวนเท่าไร ผู้กล้าจำนวนเท่าไร ท้ายสุดล้วนแล้วแต่ยอมสยบ น่าเสียดาย ข้าคงมองไม่เห็นวันนั้นเสียแล้ว”
“ต้องมีวันนั้นแน่นอน” หลี่ชิเย่ดูสงบเงียบเป็นพิเศษ เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ต้องจบสิ้นได้แน่ และข้าจะได้รับชัยชนะกลับมา”
คำพูดนี้ของหลี่ชิเย่พูดได้ราบเรียบมาก ไม่เพียงแค่พูดให้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยฟัง และพูดให้บรรดาจอมราชันเซียนหวังได้ฟังด้วย!
“ข้าเข้าใจ” สุดท้าย บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเงยหน้ามองไปยังที่ที่ห่างไกล ไล่ย้อนไปไกลถึงสายน้ำแห่งกาลเวลา มองดูยุคสมัยของไกลกันดารเป็นครั้งสุดท้าย นี่คือยุคสมัยของเขา เขาเคยให้ความมืดครอบคลุมยุคสมัยนี้เอาไว้ ในยุคสมัยนี้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่เกลียดตัวเขาจนเข้ากระดูกดำ เขาคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะน่าสยดสยองมากที่สุดของยุคสมัยนี้
ณ ที่ตรงนี้เขาเป็นภัยมาทั้งยุคสมัย มีสรรพสิ่งมีชีวิตถูกเขากลืนกินไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เขาทำให้ยุคสมัยทั้งยุคกลายเป็นทะเลเลือด เขาคือมารร้ายของยุคสมัย เป็นต้นกำเนิดของฝันร้ายทั้งหมด ทุกคนต่างแค้นเขาจนเข้ากระดูกดำ แต่ว่า จะอย่างไรเสียมันก็คือยุคสมัยของเขา เป็นยุคสมัยที่เขาได้ดำรงชีวิตอยู่ ท้ายที่สุดแล้วเขายังคงอดที่จะมองดูอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย
บนโลกใบนี้ไม่มีผู้ใดคู่ควรที่เขาจะต้องไปมองดูเป็นครั้งสุดท้ายอีกแล้ว แต่ในท้ายที่สุดเขายังคงอดที่จะมองย้อนถึงยุคสมัยของตนสักครั้ง
“ลาจากชั่วนิรันดร์แล้ว” สุดท้าย บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหลับตาลง สงบเงียบยิ่งนัก เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “สหาย ลงมือเถอะ ทุกสิ่งที่เจ้าต้องการล้วนแล้วแต่อยู่ในรังของข้า”
“จบสิ้นกันแล้ว!” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ท่าทีเงียบสงบ แววตาเย็นชา
ปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น ขณะนี้เลือดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยพุ่งออกมาอย่างแรง เสมือนหนึ่งเลือดภายในตัวของเขาถูกหลี่ชิเย่กระชากออกมาดื้อๆ จากนั้นตามติดด้วยเสียงตึง ตึง ตึง เลือดที่ถูกดึงออกมาถูกกลั่นให้กลายเป็นกฎเกณฑ์ และทั้งหมดถักทอเข้าด้วยกันกลายเป็นกุญแจดอกหนึ่ง
แรกที่เดียวที่หลี่ชิเย่ทำการกลั่นเลือดเซียนบ่อนั้นขึ้นมา หลี่ชิเย่ได้ซ่อนกลเอาไว้ในเลือดเซียนอยู่แล้ว แม้ว่าหลังจากที่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้กลืนกินเลือดเซียนบ่อนี้แล้ว ได้จัดการบดขยี้และสยบกลอุบายที่หลี่ชิเย่ได้วางไว้นั่น แต่มันยังคงหลงเหลืออยู่ และมันได้ลอบเข้าไปภายในความมืดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย
หลี่ชิเย่จงใจเก็บเลือดชีพแท้ของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเอาไว้ เนื่องจากมีเพียงสิ่งนี้เท่านั้นที่สามารถเปิดรังของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยออกมาได้!
เสียงปังดังขึ้น เวลานี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยหงายหลังล้มตึง จากนั้นได้ยินเสียงปุร่างกายของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเริ่มเผาไหม้ขึ้นมา เลือดชีพแท้ของเขาถูกกหลี่ชิเย่หลอมกลั่นไปแล้ว กล่าวได้ว่าเขาได้กลายเป็นเถ้าธุลีไปแล้วจริงๆ
ในขณะนี้บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่ถูกเผาไหม้ได้กลายเป็นควันดำสายหนึ่ง ไม่จัดว่าเป็นความมืด และไม่จัดให้เป็นความสว่าง ท้ายที่สุดเขายังคงเป็นคนที่มีชีวิต อย่างน้อยที่สุดเคยมีชีวิต ดังนั้น หลังจากที่เขาตายไปแล้วจึงกลายเป็นควันดำไป นี่คือการตายที่กลับสู่ดั้งเดิม ที่ตรงนั้นไม่มีแสงสว่างและไม่มีความมืด
บรรดาจอมราชันเซียนหวังทั้งหมดต่างนิ่งเงียบมองดูบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่กลายเป็นเถ้าธุลีไป เขาเคยยิ่งใหญ่ปราศจากผู้ต่อกรเพียงใดแม้แต่จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายยังต้องหวั่นเกรงเขาอยู่สามส่วน แต่ว่า สุดท้ายแล้วเขายังคงต้องตาย
การศึกในครั้งนี้ได้ปิดฉากลงในที่สุด บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยเสียชีวิต นับจากนี้ต่อไปไกลกันดารจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ ไกลกันดารจะไม่ถูกความมืดปกคลุมอีกต่อไป
ในเวลานี้ทั่วทั้งไกลกันดารได้กลับกลายเป็นวิเวกวังเวงยิ่งนัก แม้แต่เสียงร้องด้วยความเศร้าโศกที่วนเวียนอยู่ก็ไม่ได้ยินอีกแล้ว
พวกของราชันเซียนฉานหลงต่างถอนหายใจออกมา เหมือนปลดปล่อยของที่หนักอึ้งออกไป เมื่อมองเห็นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยที่กลายเป็นเถ้าธุลีไปในที่สุด นี่คือการศึกที่ยากเย็นแสนเข็ญที่สุดในชีวิตของพวกเขาอย่างแน่นอน ถ้าหากพ่ายแพ้ จอมราชันเซียนหวังเช่นพวกเขาทั้งหมดก็อาจจะกลายเป็นเถ้าธุลีไปสิ้น
สำหรับบรรดาจอมราชันเซียนหวังที่ชมศึกครั้งนี้ก็นิ่งเงียบเป็นเวลานาน พวกเขานับว่ามีความแข็งแกร่งพอแล้ว แต่ศึกเข่นฆ่าผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดในวันนี้ยังคงสะเทือนหวั่นไหวต่อพวกเขา บางทีอาจมีวันนั้นมาถึง ถ้าหากมีความมืดเกิดขึ้นจริงๆ วันนั้น พวกเขาที่เป็นจอมราชันเซียนหวังหากไม่ร่วมมือกัน เกรงว่าแม้แต่มดปลวกยังไม่เท่า
ศึกในวันนี้หากไม่ได้ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอีกาทมิฬคอยอำนวยการรบ หากไม่ได้มีนักปราชญ์ที่ยืนหยัดต่อสถานการณ์อย่างแข็งขัน หากไม่เป็นเพราะการร่วมมือกันของจอมราชันเซียนหวังถึงยี่สิบองค์ เกรงว่าคงไม่สามารถเอาชนะได้ ภายใต้ผู้ยิ่งใหญ่เช่นบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแล้ว ลำพังอาศัยแค่จอมราชันเซียนหวังพวกเขาเหล่านี้ไม่พอที่จะอุดขี้ฟันด้วยซ้ำ!
เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมา ในชั่วพริบตาเดียวนี่เอง ยุคสมัยไกลกันดารที่อยู่บนสายน้ำแห่งกาลเวลาพลันปรากฎประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง
ท่ามกลางยุคสมัยนี้ หลังจากที่ประกายศักดิ์สิทธิ์ของนักปราชญ์ได้เผาไหม้ทำลายความมืดของบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยแล้ว มันได้หลอมรวมเข้ากับยุคสมัยทั้งยุคไปแล้ว ประกายศักดิ์สิทธิ์ได้กลายเป็นของยุคสมัยของไกลกันดารอย่างสิ้นเชิง
ตูม ตูม ตูมเสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอกไม่ขาดสาย เสียงตูมตามลักษณะเช่นนี้ดังก้องไปทั่วสายน้ำแห่งกาลเวลา นาทีนี้ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดล้วนแล้วแต่รวมตัวกันอย่างหนาแน่น ภายในระยะเวลากันสั้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดได้รวมตัวกันกลายเป็นจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรดวงหนึ่ง
หัวใจศักดิ์สิทธิ์ได้ปรากฏตัวขึ้นเหนือท้องฟ้าของยุคสมัยไกลกันดารอีกครั้ง หัวใจศักดิ์สิทธิ์ดวงนี้ได้เปล่งประกายศักดิ์สิทธิ์ออกมาเป็นสาย ประกายศักดิ์สิทธิ์แต่ละสายได้ก้าวข้ามสายน้ำแห่งกาลเวลา ส่องสว่างกลางใจของสรรพสิ่งมีชีวิตแต่ละชีวิต นาทีนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องช่วงห่างของระยะเวลา ไม่รู้ว่ามีสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนเท่าไรที่รู้สึกว่ามีประกายศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งที่สาดส่องเข้าไปในหัวใจของตน มันช่างอบอุ่นสว่างไสวอะไรอย่างนั้น ทำให้อยากจะสวมกอด ทำให้ใฝ่หาต้องการได้มันมาครอบครอง
ตุบ ตุบ ตุบ…นาทีนี้หัวใจศักดิ์สิทธิ์ดวงนี้ได้เต้นขึ้นมา จังหวะการเต้นของมันช้ามาก เสียงเต้นแต่ละเสียงของมันส่งผ่านจากสายน้ำแห่งกาลเวลา ทำให้สรรพสิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนแล้วแต่ได้ยินจังหวะการเต้นของหัวใจเสียงนี้
ตุบ…ตุบ…ตุบ…จากการเต้นของหัวใจศักดิ์สิทธิ์ดวงนี้ ไม่รู้ว่ามีหัวใจของสรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนเท่าไรก็ได้เต้นตามขึ้นมา นาทีนี้ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกว่าภายในใจของตนเองนั้นได้กำเนิดประกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาสายหนึ่ง ประกายศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ได้ส่องสว่างหัวใจของพวกเขา เหมือนว่าประกายศักดิ์สิทธิ์สายนี้จะไม่มีวันดับชั่วนิรันดร์ ต่อให้พวกมันโอนเอนไปมาไม่คงที่ ต่อให้พวกมันอ่อนแอมาก แต่ทว่า ประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้กลับเต้นอยู่ในใจของพวกเขา ให้พวกเขาไม่หลงไปกับตนเองท่ามกลางความมืด ให้พวกเขาได้มีประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้สายหนึ่งคอยชี้นำทิศทางท่ามกลางความมืด
ยามนี้ ไม่ทราบว่าผู้คนจำนวนเท่าไรที่ยืนเงยหน้ามองอยู่ตรงนั้น สรรพสิ่งมีชีวิตจำนวนมากต่างไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ทว่านาทีนี้กลับทำให้ภายในใจของพวกเขาบังเกิดประกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาสายหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นช่วงจังหวะที่พวกเขาสิ้นหวังสุดๆ หรือว่าจังหวะที่พวกเขาขาดที่พึ่ง ประกายศักดิ์สิทธิ์สายนี้ก็สามารถจุดประกายความหวังอันน้อยนิดให้กับพวกเขา ด้วยประกายความหวังน้อยนิดนี้เอง เพียงพอที่จะให้พวกเขายืนหยัดก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป
ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์กำลังเต้นอยู่นั้น การเต้นของหัวใจนี้ได้ก้าวข้ามไปสิบสามทวีป การศึกครั้งยิ่งใหญ่นี้เกิดขึ้นที่ชิงโจว ทำให้จอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในทวีปอื่นๆ ไม่สามารถมองเห็นรายละเอียดการสู้รบในครั้งนี้ด้วยสายตาของตนเอง แต่ยามเมื่อหัวใจศักดิ์สิทธิ์เต้น พวกเขากลับรับรู้ได้อย่างชัดเจน รับรู้ถึงพลังของประกายศักดิ์สิทธิ์