เซียนหวังซั่วเทียนนำพาเซียนหวังของพรรคซั่วเทียนจากไป ขณะที่เซียนหวังทั้งสองของตระกูลราชันฉีหลินก็กำลังจะออกเดินทางแล้ว
“ตระกูลราชันฉีหลินถือเอาท่านปรมาจารย์เป็นผู้นำ ขอเพียงท่านปรมาจารย์มีสิ่งใดที่จะให้ตระกูลราชันฉีหลินรับใช้ เพียงสั่งการลงมา” ก่อนที่เซียนหวังฉีหลินจะไปจากได้แสดงคารวะแบบจีนและเอ่ยขึ้นมา
หลี่ชิเย่พยักหน้าเงียบๆ ความภักดีของตระกูลราชันฉีหลินใช่เพียงวันนี้เท่านั้น ครั้งนั้น เซียนหวังเย่หลินก็เคยพูดประโยคเช่นนี้ น่าเสียดายที่สิ่งต่างๆ ยังคงเหมือนเดิม แต่คนเปลี่ยนไปแล้ว
“ฉวี่กงขออำลาท่านปรมาจารย์ตรงนี้เลย วันหน้าค่อยมารับใช้ต่อท่านปรมาจารย์อีก” หลี่ชิเย่ส่งเซียนหวังทั้งสองของเขามังกรเทพ กล่าวคำอำลากันแล้ว เซียนหวังเฟยหลงได้ควบคุมมังกรบินจากไป
บรรดาเหล่าจอมราชันเซียนหวังทยอยกันอำลาจากไป ก่อนที่เทพธิดาตะวันรอนจะจากไป ได้จ้องมองดูหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีที่จริงจัง และพูดขึ้นมาว่า “หากท่านปรมาจารย์มีเวลาว่าง ขอเชิญที่ถ้ำตะวันรอนร่วมพูดคุยกันสักเล็กน้อย หว่านเสียจะชงชารอท่าน”
“ลำบากเทพธิดาแล้ว” หลี่ชิเย่พยักหน้าและพูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “วันหน้าจะต้องไปเยี่ยมคารวะเทพธิดา เพื่อร่วมชมจันทร์แลกเปลี่ยนสัจธรรม”
เทพธิดาหว่านเสียมองดูหลี่ชิเย่ครู่หนึ่ง สุดท้ายพยักหน้าเบาๆ แสดงคารวะแบบจีนแล้วจากไป
“พวกเราก็ควรไปได้แล้ว ภารกิจหนักอึ้ง ในอนาคตยังต้องอาศัยท่านปรมาจารย์เป็นผู้ดำเนินการเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวม” สุดท้าย ราชันเซียนฉานหลงก็นำพาจอมราชันเซียนหวังของหลงเฉินจากไป
“ข้าเชื่อว่าหากเหล่าราชันร่วมมือกัน จะมีข้าหรือไม่ก็เหมือนกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะและเอ่ยกับราชันเซียนฉานหลง
“ในโลกนี้ ผู้ที่สามารถอยู่ร่วมกับเหล่าจอมราชันเซียนหวังได้คงมีท่านปรมาจารย์เท่านั้น” ราชันเซียนฉานหลงเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“อาจจะเป็นเช่นนั้น” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ สุดท้ายก่อนจากกันหลี่ชิเย่ได้บอกกล่าวต่อราชันเซียนฉานหลงว่า “พรรคเซียนเหินถูกทำลายด้วยมือของข้าไปแล้ว”
“ข้าเข้าใจ” ราชันเซียนฉานหลงนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง สุดท้ายได้พูดขึ้นช้าๆ ว่า “อสุราทำพลาดต่อพรรคเซียนเหิน เมื่อครั้งที่เหรินเสียนบรรลุสัจธรรม สถานการณ์ก็ได้ถูกลิขิตเอาไว้แล้ว เหรินเสียนเองก็รู้ว่าวันนี้จะต้องมาถึง เพียงแต่เขาตัดใจไม่ได้เท่านั้นเอง”
เรื่องที่พรรคเซียนเหินถูกทำลาย ราชันเซียนฉานหลงก็ไม่ได้เอ่ยถึงมากมายนัก เนื่องจากหลังราชันเซียนเหรินเสียนมาถึงแดนที่สิบแล้ว พวกเขาที่ดำรงอยู่ในฐานะเช่นนี้ก็เข้าใจถึงชะตากรรมของพรรคเซียนเหินแล้ว
“ปู้จ้านก็ขออำลาตรงนี้แลย” หลังจากที่เหล่าจอมราชันเซียนหวังทยอยกันจากไป สุดท้ายราชันเซียนปู้จ้านก็ได้เอ่ยคำอำลาขึ้นเช่นกัน
“ศึกครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว ในอนาคตเจ้าเองก็แบกภาระหนักอึ้ง” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวกับราชันเซียนปู้จ้าน
“ท่านปรมาจารย์กล่าวหนักไปแล้ว ครั้งนั้นขณะอยู่ที่เก้าแดนท่านปรมาจารย์คอยให้การช่วยเหลืออยู่หลายครั้ง บุญคุณยิ่งใหญ่เช่นนี้ปู้จ้านยังไม่ได้ตอบแทนเลย” ราชันเซียนปู้จ้านยิ้มกล่าวว่า “สำหรับภาระที่อยู่บนบ่านั้น มันก็เป็นสิ่งที่พวกเราสมควรไปทำอยู่แล้ว เส้นทางสายนี้ใช่ว่ามีเพียงข้าคนเดียวที่เสียสละ ปรัชญาเมธีที่เสียสละมากกว่าพวกเราเสียอีก”
ราชันเซียนปู้จ้านเองก็มีท่าทีง่ายๆ แสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ สุดท้ายล่องลอยจากไป เขามาโดยลำพังคนเดียว และไปเพียงคนเดียว เหมือนว่าเขาคือผู้เดินทางเพียงคนเดียว ไปมาลำพังคนเดียวอยู่บนโลกนี้ ไม่มีใครรู้ร่องรอยของเชา
มีราชันเซียนที่ขึ้นมาจากเก้าแดนจำนวนไม่น้อยที่ก่อตั้งสำนักขึ้นที่สิบสามทวีป เป็นต้นว่าราชันเซียนฉานหลงก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น แต่ก็มีราชันเซียนส่วนหนึ่งที่เดินทางไปมาเพียงคนเดียว ราชันเซียนปู้จ้านก็คือหนึ่งในนั้น
แต่ว่า ราชันเซียนปู้จ้านมีการไปมาหาสู่หรือติดต่อกับราชันเซียนองค์อื่นๆ น้อยมาก เขาไปมาไร้ร่องรอย ถือเป็นราชันเซียนที่ลึกลับคนหนึ่ง
บรรดาจอมราชันเซียนหวังทยอยกันอำลาจากไปทีละคนๆ สุดท้ายเหลือเพียงราชันเซียนหมิ่นตู้เท่านั้น
หลี่ชิเย่กับราชันเซียนหมิ่นตู้เดินทอดน่องอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ สุดท้าย ราชันเซียนหมิ่นตู้ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านอาจารย์ เมืองอเวจียังสบายดี”
“สบายดี” หลี่ชิเย่หัวเราะ และกล่าวว่า “เจ้าเองก็เข้าใจ ทั่วโลกกลายเป็นเถ้าธุลี ที่ตรงนั้นไม่เห็นจะถูกทำลายย่อยยับได้”
“ก็ถูก” ราชันเซียนหมิ่นตู้พยักหน้าเบาๆ ก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ มองไปยังที่ที่ห่างไกล และกล่าวว่า “บางครั้งข้าฝันว่าได้กลับไปที่เมืองอเวจี เหมือนว่าได้ไปคัดท้ายอยู่ที่ตรงนั้นอีกครั้ง”
ราชันเซียนหมิ่นตู้คือผู้ที่มีชาติกำเนิดมาจากเมืองอเวจี เดิมทีเขาไม่สามารถไปจากเมืองอเวจีได้อยู่แล้ว สุดท้าย เป็นหลี่ชิเย่ที่ร้องขอความเมตตาต่อผู้เป็นนายของธาราปฐมภูมิ ปล่อยให้ราชันเซียนหมิ่นตู้ได้ไปจาก สุดท้ายราชันเซียนหมิ่นตู้ได้กลายเป็นราชันเซียนแห่งยุค
การที่ราชันเซียนหมิ่นตู้มีชาติกำเนิดมาจากเมืองอเวจี ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเขาแตกต่างจากผู้อื่น เนื่องจากเขาไม่นับเป็นเผ่าพันธุ์ใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ได้เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ และไม่ใช่เผ่าผี เพียงแต่อาศัยอยู่ที่แดนวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เผ่าผีได้นำเอาราชันเซียนหมิ่นตู้ผนวกรวมเข้าไปเป็นราชันเซียนของเผ่าผี
“เมื่อมีการเฝ้าคะนึง ย่อมต้องฝันถึง” หลี่ชิเย่ก็ก้าวเดินไปข้างหน้าช้าๆ และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ย่อมต้องมีบางสิ่งที่อยู่ในใจไม่สามารถทิ้งมันไปได้ ไม่มีใครสามารถทำได้ด้วยการตัดขาดทุกสิ่งทุกอย่างได้อย่างแท้จริง”
“นั่นสิ” ราชันเซียนหมิ่นตู้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “การข้ามฟากบนสายทางอันกว้างใหญ่ ที่ใดไม่ใช่เป็นการข้ามฟากเล่า เพียงแต่จิตใจที่ระเหเร่ร่อน แดนสิบก็เป็นแดนสิบวันยังค่ำ แดนเก้าก็เป็นแดนเก้าวันยังค่ำ”
“ถูกต้อง เก้าแดนมีสถานที่ที่ควรค่าแก่การไปเฝ้าคะนึงถึงมากมายเหลือเกิน” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หนทางอันยาวไกล การที่เจ้าก้าวเดินมาถึงจุดนี้แล้ว มีเพียงก้าวไปข้างหน้าต่อไป โปรดหยินหยาง ชี้นำความเป็นความตาย ไหนเลยสิ่งนี้จะไม่ใช่วัฏสงสารอย่างหนึ่งเล่า”
“สรรพสัตว์หมื่นพัน จะโปรดให้หมดได้อย่างไรกัน” ราชันเซียนหมิ่นตู้ถึงกับกล่าวทอดถอนใจออกมา
“สิ่งนี้คือการเลือกของทุกคนที่แตกต่างกัน” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เฉกเช่นนักปราชญ์ สรรพสัตว์นับล้านล้าน เมื่อไหร่สามารถโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์ได้หมดสิ้นกันเล่า ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางใดๆ ก็ตาม ล้วนแล้วแต่ยาวไกลไม่มีสิ้นสุด ข้าเองมิใช่เป็นเช่นนี้เล่า”
ราชันเซียนหมิ่นตู้พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ทุกครั้งที่จิตบังเกิดความกังวล ก็ได้ท่านอาจารย์ชี้แนะให้กับข้า เป็นท่านอาจารย์ที่มอบความสำเร็จให้กับข้าตลอดเส้นทางที่ได้ก้าวเดินมา”
ครั้งนั้น ขณะหลี่ชิเย่ร้องขอความเมตตาให้กับราชันเซียนหมิ่นตู้นั้น เคยรับปากว่าจะไม่มีการถ่ายทอดเคล็ดวิชา หรือสุดยอดวิชาใดๆ ให้กับราชันเซียนหมิ่นตู้ แต่ว่า หลี่ชิเย่ยังคงให้การชี้แนะต่อเขา เพียงแต่สิ่งที่ให้การชี้แนะล้วนแล้วแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฝึกปรือใดๆ ทั้งสิ้น เพียงชี้แนะหนทางก้าวเดินไปข้างหน้าเท่านั้น
“การที่เจ้ามีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ จึงก้าวเดินจนเป็นเส้นทางสายนี้ออกมาได้ ชี้นำหยินหยาง ก้าวข้ามความเป็นความตาย ไม่แน่นักสักวันหนึ่งข้าก็ต้องการให้เจ้ามาต้อนรับ” หลี่ชิเย่หัวเราะและสายตาจ้องมองไปยังที่ที่ไกลมาก
“ในโลกนี้ยังจะมีสิ่งกีดขวางใดที่อาจารย์ก้าวข้ามไปไม่ได้เล่า?” ราชันเซียนหมิ่นตู้ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ท่านอาจารย์คำนึงยาวไกล มีการวางแผนอย่างระมัดระวังและรอบคอบ ไม่จำเป็นต้องให้ข้ามาต้อนรับ”
“เรื่องราวบนโลกนี้ใครก็เอาแน่ไม่ได้” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ในอนาคตเรื่องอะไรก็เกิดขึ้นได้ ข้ามีความเชื่อมั่นของข้ากับการสู้รบจนถึงที่สุด แต่หนทางย่อมมีความยากลำบากของหนทาง มิฉะนั้นแล้ว บรรดาเหล่าปรัชญาเมธีก็คงไม่ล้มเหลว ข้าเพียงคิดไปในทางที่แย่ที่สุดเท่านั้นเอง บางทีวันนั้นอาจมาถึงจริงๆ”
เมื่อราชันเซียนหมิ่นตู้ได้ฟังคำพูดเช่นนี้แล้วถึงกับนิ่งเงียบ สุดท้าย ได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “หากวันนั้นมาถึง ข้าจะต้องไปให้การต้อนรับท่านอาจารย์แน่นอน นำทางให้กับท่านอาจารย์”
“ข้ารู้” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ขอเพียงโลกของพวกเรายังคงอยู่ พวกเจ้าก็จะพยายามเพื่อสิ่งนี้ และสิ่งนี้ก็คือสิ่งที่ข้าวางใจมากที่สุด” ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว เขามองไปยังที่ห่างไกล ทอดถอนใจออกมาเบาๆ
“ท่านอาจารย์กังวลด้วยเรื่องของการสู้รบครั้งสุดท้ายรึ?” ราชันเซียนหมิ่นตู้เอ่ยถามขณะจ้องมองที่หลี่ชิเย่
“อาจจะเป็นเช่นนั้น” สุดท้ายหลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “แพ้ชนะข้าปลงแล้ว เป็นหรือตายข้าก็เห็นมามาก เพียงแต่ในใจของข้ายังมืดมน ณ สุดปลายทางนั่น จะอย่างไรเสียยังไม่เคยมีใครได้กลับออกมา”
“ท่านอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า ในโลกมนุษย์ ขอเพียงไม่ละอายต่อฟ้าดิน ทุกอย่างย่อมมีความหวัง” ราชันเซียนหมิ่นตู้กล่าวขึ้นมาช้าๆ
“ถูกต้อง ในโลกมนุษย์ไม่มีอะไรเกินเลยกว่าจิตใจของมนุษย์” หลี่ชิเย่พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “แต่ จิตใจของมนุษย์กลับทำให้โลกยากจะแบกรับเอาไว้ได้ หาไม่แล้วโลกนี้อะไรคือวัฏสงสาร แต่ละยุคสมัยนับจากถือกำเนิดขึ้นจนถูกทำลายย่อยยับ การหมุนเวียนสับเปลี่ยนของเผ่าพันธุ์ การลอยล่องของโลก มากมายหลายหลาก เพียงแต่ท้ายที่สุดแล้วยังคงหนีไม่พ้นจิตใจมนุษย์ดวงนั้นบนโลกมนุษย์นั่นเอง”
“ท่านอาจารย์ยังคงปล่อยวางไม่ได้” ราชันเซียนหมิ่นตู้เอ่ยขึ้นช้าๆ
“บางทีอาจเป็นเช่นนั้น” หลี่ชิเย่ หัวเราะเจื่อนๆ มองไปยังที่ที่ห่างไกล และกล่าวว่า “แม้จะกล่าวว่า ข้าได้ปลูกเมล็ดพันธุ์เอาไว้ให้กับโลกใบนี้ เพื่อวันนั้นมาถึงข้าได้ดำเนินการมานาน นานมากๆ เพียงแต่ว่า ข้าแค่ปลูกมันเอาไว้เท่านั้น อนาคตมันจะออกดอกออกผลเช่นใด ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ราชันเซียนหมิ่นตู้ได้แต่จ้องมองดูหลี่ชิเย่ และไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี พวกเขาที่ดำรงอยู่ในระดับนี้แล้ว ย่อมมีความคิดอันประเสริฐในระดับของพวกเขา
“จะอย่างไรเสียโลกมนุษย์ก็หนีไม่พ้นหัวใจของมนุษย์ดวงนั้น” หลี่ชิเย่พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “แสงสว่างคงอยู่เป็นนิรันดร์ ความมืดไม่มีสลาย ย่อมมีเหตุผลของตัวมันเอง พวกเขาไม่ได้โผล่ขึ้นมากลางอากาศ และไม่ได้โผล่ขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ เมื่อว่ากันจนถึงแก่นแท้แล้ว ยังคงเป็นหัวใจมนุษย์ดวงหนึ่ง”
ครั้นหลี่ชิเย่เอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ได้มองออกไปยังที่ที่ห่างไกลมาก และกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ก็เหมือนดั่งนักปราชญ์กับบรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย นักปราชญ์ไม่ได้อยู่ๆ กลายเป็นแสงสว่างโดยไร้สาเหตุ บรรพบุรุษไกรกันดารหลุนหุยก็ไม่ได้กลายเป็นต้นกำเนิดของความมืดอย่างกะทันหัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแล้วแต่มีกฎแห่งกรรมของมัน นักปราชญ์เฝ้ารักษาความสว่าง บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยกำเนิดจากความมืด ท้ายที่สุดแล้วอยู่ที่จิตใจของมนุษย์…”
“…เฉกเช่นอยู่กับความสว่างแหงนหน้ามองดูความมืด และหรืออยู่ในความมืดแหงนมองดูความสว่าง ในนี้อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณ และหรือเพราะความกลัวตาย แต่ว่ากันจนถึงแก่นแท้แล้ว ยังคงเป็นหัวใจดวงนั้น ล่องลอยเป็นนิรันดร์ จิตใจมนุษย์ยังคงอยู่ แต่กลับหาใช่ใครก็สามารถยืนหยัดรักษาเอาไว้ ทุกอย่างล้วนแปรเปลี่ยน จิตใจมนุษย์ก็เปลี่ยน” เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ได้ทอดถอนใจเบาๆ ออกมา
“ในใจของท่านอาจารย์ยังคงมีความกังวล” ราชันเซียนหมิ่นตู้เอ่ยขึ้น
“บางทีอาจมีความกังวลอยู่” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “ถ้าหากจะกล่าวว่า ข้ามีความเชื่อมั่นในตนเอง มีความเชื่อมั่นใจอนาคต แต่สำหรับจิตใจมนุษย์แล้ว ข้าก็ไม่มั่นใจ หว่านเมล็ดพันธุ์ลงไปเมล็ดหนึ่ง จะผลิดอกเช่นใด ออกผลอย่างไร หาใช่เมล็ดพันธุ์สามารถบงการได้ทั้งหมด”
“ข้าเชื่อท่านอาจารย์” ราชันเซียนหมิ่นตู้กล่าวท่าทีจริงจังว่า “จากการบริหารของท่านอาจารย์มาร้อยเป็นพันปี รับรองว่าจะต้องเป็นแผนการที่หนึ่งไม่มีสอง ในเมื่อท่านอาจารย์ได้ปลูกเมล็ดพันธุ์เช่นนี้เอาไว้ ดอกไม้ที่บานเบ่ง ผลที่ติด ต้องเป็นไปตามที่ท่านอาจารย์ต้องการแน่นอน”
“บางทีอาจเป็นเช่นนั้น” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “การต่อสู้จนถึงที่สุดในอนาคตทุกอย่างล้วนแล้วแต่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ ไม่ถึงสุดท้าย จะมีใครรู้ว่าจะผลิดอกเช่นใดออกมา ผลที่ติดจะเป็นอย่างไร สิ่งที่ข้าทำก็เพียงพอแล้ว ที่ข้าสามารถยึดติดได้ก็เพียงพอแล้ว อนาคตยังคงมอบให้กับสรรพสัตว์ เนื่องจากหัวใจมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่ข้า แต่อยู่ที่สรรพสัตว์”
“ที่ท่านอาจารย์พูดมาก็ถูก” ราชันเซียนหมิ่นตู้พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เป็นก็ดี ตายก็ช่าง สุดท้ายแล้วสิ่งที่สามารถคงอยู่ได้ก็ไม่พ้นจิตใจของมนุษย์”
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า พวกเราไม่สามารถโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากห้วงแห่งความทุกข์โดยทั่วกัน นักปราชญ์ไม่สามารถทำให้ทุกคนเป็นคนดี บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็ไม่สามารถทำให้ทุกคนกลายเป็นความมืดได้ ต่อให้พวกเรายืนอยู่บนที่ที่สูงมากกว่านี้ ต่อให้พวกเราแข็งแกร่งมากกว่านี้ ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำได้ สุดท้าย หลี่ชิเย่พูดได้มีความหมายลึกซึ้งว่า “สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็คือ ได้แต่ให้การแนะนำกับโลกนี้ ให้ความหวังแก่โลกใบนี้ มีแคนี้เอง”