ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1985 จำพราก

ตอนที่ 1985 จำพราก

สุดท้าย ราชันเซียนหมิ่นตู้ก็ได้จากไปแล้ว เหลือเพียงหลี่ชิเย่ที่นั่งนิ่งเงียบๆ อยู่ในโลกที่เคว้งคว้างว่างเปล่าคนเดียวเป็นเวลานานสองนาน

ท้ายที่สุด หลี่ชิเย่ก็ได้ไปจากที่นี่ ในขณะที่ไปจากหลี่ชิเย่อดที่จะพูดขึ้นมาเบาๆ ไม่ได้ว่า “ลาก่อน บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุย เจ้าพูดถูก ความมืดไม่มีวันสลายเป็นนิรันดร์ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถทำให้ความมืดสูญสิ้นดับสลายไปได้ แต่ อย่าลืมไปว่า ความสว่างก็เป็นนิรันดร์เช่นกัน” กล่าวจบหันหลังจากไป

ขณะหลี่ชิเย่ก้าวออกมาจากแท่นบูชานั้น คู่สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนได้จับจ้องไปที่ตัวของเขา เปี่ยมด้วยความเคารพยำเกรง ไม่มีใครกล้าหายใจแรงสักคน

จากการทยอยไปจากของจอมราชันเซียนหวังแต่ละองค์ ทำให้ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ด้านนอกไกลกันดารต่างรู้สึกสั่นเทาอยู่ในใจ

แม้ว่ายอดฝีมือแต่ละคนในโลกนี้ไม่มีสิทธิ์ และไม่มีศักยภาพเพียงพอไปแอบส่องการศึกที่สะเทือนฟ้าที่เกิดขึ้นภายในส่วนลึกของไกลกันดารครั้งนี้ ทุกคนก็ไม่รู้ว่าศึกในครั้งนี้เป็นเช่นใดกัน แต่รู้ว่าศึกครั้งนี้ได้มีจอมราชันเซียนหวังแต่ละองค์ ราชันเซียนแต่ละองค์จากเก้าแดนมาช่วยรบ โดยที่ร้อยชาติพันธุ์ และเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าล้วนแล้วแต่มีจอมราชันเซียนหวังที่มาช่วยรบ สิ่งนี้นับว่าเพียงพอแล้ว

ในโลกนี้ยังจะมีใครที่สามารถทำให้จอมราชันเซียนหวังถึงยี่สิบองค์ให้เกียรติมาร่วมขบวนได้เล่า แม้ว่าผู้บำเพ็ญตนในหล้ามีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถรู้ว่าหลี่ชิเย่คือใคร แต่สิ่งที่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงฐานะของเขาได้ได้ นี่คือผู้ยิ่งใหญ่ระดับสูงสุดคนหนึ่ง เป็นผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่เพียงพอให้จอมราชันเซียนหวังต้องให้เกียรติ

กล่าวสำหรับยอดฝีมือในหล้าแล้ว การรับรู้เท่านี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ส่วนฐานะที่แท้จริงของหลี่ชิเย่จะเป็นใคร มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ไม่มีใครกล้าไปสืบหา และไม่มีใครกล้าไปวิจารณ์

แม้ว่ายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน ในหล้าล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่จะอย่างไรเสียก็มีระดับจอมเทพ หรือระดับบรรพบุรุษรุ่นดึกดำบรรพที่เคยได้ยินเกี่ยวกับตำนานอะไรมาบางอย่าง พวกเขาเคยได้ฟังมาจากปากของจอมราชันเซียนหวังเกี่ยวกับความลับบางอย่าง และพวกเขาก็สามารถคาดเดาถึงฐานะของหลี่ชิเย่ได้ลางๆ

ต่อให้ภายในใจของพวกเขาสามารถคาดการณ์ได้บ้างก็ไม่กล้าพูดถึงให้มากความ ไม่กล้าไปวิจารณ์ และไม่ต้องการไปพูดถึงเรื่องนี้ เนื่องจากสิ่งนี้เป็นสิ่งต้องห้าม อีกทั้งเป็นสิ่งที่ต้องแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้วจึงมีสิทธิ์ไปสัมผัสกับมันได้

บรรดาจอมเทพเหล่านี้ไม่ได้กังขาต่อความน่ากลัวของสิ่งต้องห้ามนี้ เฉกเช่นศึกล่าราชันซึ่งเป็นเรื่องที่นมนานมาแล้วไม่ต้องไปเอ่ยถึง เรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงความน่ากลัวของสิ่งต้องห้ามนี้แล้ว

ในโลกนี้จะมีสักกี่คนที่หาญกล้าไปสู้รบกับผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดกันเล่า แต่สิ่งต้องห้ามที่อยู่ในตำนานกลับจัดการกวาดความมืดดังกล่าวจนราบคาบ ช่างเป็นกำลังที่น่ากลัวเหลือเกิน เป็นฝีมือที่สยบได้ตลอดกาลเช่นใด!

ดังนั้น แม้ว่าระดับจอมเทพที่เดาออกถึงประวัติความเป็นมาของหลี่ชิเย่ได้แล้ว ก็ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องเกี่ยวกับหลี่ชิเย่ให้มากความ พวกเขาไม่ต้องการให้คำพูดเพียงคำเดียวที่ไม่ทันระวังของตนนำมาซึ่งภัยถึงแก่ชีวิต กระทั่งนำมาซึ่งถูกล้างตระกูล ดังนั้น ต่อให้เป็นระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งก็ต้องระวังคำพูดอย่างยิ่งในเรื่องนี้

สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้ไปจากไกลกันดาร หลังจากที่เขาจากไปแล้วอดที่จะหันกลับมามองอีกครั้ง และกล่าวเสียงเผ่วเบาขึ้นมาว่า “ยุคสมัยนี้สมควรรูดม่านได้แล้ว จากกันนิรันดร์แล้วนักปราชญ์ หวังว่าประกายศักดิ์สิทธิ์จะส่องสว่างตลอดไป” หลังพูดจบก็จากไปเลย

บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยได้ตายไปแล้ว นักปราชญ์ก็สลายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา ยุคสมัยของไกลกันดารก็รูดม่านปิดฉากลงตามการตายของพวกเขา นักปราชญ์ช่วยเหลือยุคสมัยของตนเอาไว้ไม่ได้ แต่บรรพบุรุษไกลกันดารหลุนหุยก็ออกจากความมืดของตนไม่ได้

เมื่อหลี่ชิเย่กลับไปถึงเรือนิรันดรนั้น ปรากฏว่าทั้งด้านนอกด้านในของเรือนิรันดรมีแต่คนที่คุกเข่าอยู่เต็มพื้นที่ไปหมด ไม่ว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวของเรือนิรันดร หรือลูกเรือของเรือนิรันดร ทั้งหมดล้วนแล้วแต่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น ทุกคนก้มหน้าลง และไม่มีใครกล้าหายใจแรงสักคน

กระทั่งมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ร่างสั่นเทาบนเรือนิรันดร โดยเฉพาะยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนผู้ที่เคยวิพากวิจารณ์หลี่ชิเย่มาก่อนหน้า ยิ่งตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ พวกเขาสั่นเทาไปทั้งร่าง เหงื่อเย็นไหลโทรมตัว เรียกได้ว่าพวกเขาทั้งหมดล้วนแล้วแต่ตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อไปแล้ว

ถ้าหากเวลานี้หลี่ชิเย่ต้องการเอาชีวิตของพวกเขาล่ะก็ ไม่จำเป็นต้องลงมือเอง แค่คำพูดคำเดียวก็เพียงพอแล้ว รับรองว่ามีผู้ที่ทำแทนอย่างแน่นอน

“ลุกขึ้นมาให้หมดเถอะ” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และไม่ได้ไปดูอะไรมากมายนัก กลับไปยังยอดเขาของตน

ที่บริเวณหน้าบ้าน พวกธิดาราชันฉีหลินต่างอยู่กันพร้อมหน้า เพียงแต่ในขณะนี้พวกเขาล้วนแล้วแต่พูดอะไรไม่ออก แม้แต่ธิดาราชันฉีหลินที่สนิทกับหลี่ชิเย่มากที่สุดก็พูดไม่ออก นางอ้าปากทำท่าจะพูด พันคำหมื่นวจีไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไรดี

“อนาคตยังคงต้องอาศัยพวกเจ้า หมั่นฝึกปรือให้ดีๆ ก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ที่มองดูธิดาราชันฉีหลินแล้วเอามือลูบเส้นผมของนางเบาๆ และเอ่ยเสียงแผ่วเบาว่า “อนาคตของเจ้าไร้ขีดจำกัด สามารถก้าวเดินไปได้สูงขนาดไหน ต้องอาศัยตัวเจ้าเองแล้วหละ”

“คำสอนของคุณชาย เมิ่งหยิงจะจดจำไว้ในใจ” ธิดาราชันฉีหลินพูดขึ้นมาเบาๆ ท้ายที่สุดแล้ว พันคำหมื่นวจีที่นางสามารถพูดออกมาได้ก็มีเพียงคำนี้เท่านั้น ภายในใจของนางเข้าใจแล้วว่า หลี่ชิเย่จะไปจากแล้ว อย่างไรเสียพวกเขาไม่ได้อาศัยอยู่ในโลกเดียวกัน โลกของหลี่ชิเย่นั้นกว้างใหญ่มาก นางได้แต่แหงนมองเท่านั้น อย่างน้อยต้องเป็นเช่นนี้ชั่วคราว

“ตระกูลราชันฉีหลินให้กำเนิดอัจฉริยะบุคคล” ใบหน้าหลี่ชิเย่แฝงด้วยรอยยิ้ม พยักหน้าและพูดคำนี้คำเดียวเท่านั้น

“อนาคตยังจะได้พบคุณชายอีกหรือไม่?” สุดท้าย ธิดาราชันฉีหลินอดที่จะถามคำนี้ขึ้นมา ภายในใจของนางชัดเจนว่าจากกันครั้งนี้เกรงว่าจะเป็นการชั่วนิรันดร์ โลกของพวกเขาทั้งสองห่างไกลกันมากเหลือเกิน แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม นางยังคงอดที่จะเอ่ยถามคำนี้ออกมาไม่ได้

“มีวาสนาต่อกันย่อมได้พบกัน” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “หนทางยาวไกล ทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ระยะห่าง ก้าวเดินตามเจตนาเดิมของตน ไปได้ไกลแค่ไหนก็เท่านั้น ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของเจ้า อนาคตเต็มไปด้วยความเป็นไปได้จำนวนนับไม่ถ้วน ท่ามกลางแต่ละความเป็นไปได้ เจ้ามักจะทำให้การไล่ล่าของตนเป็นความจริงได้เสมอ”

“ข้าเข้าใจ” สุดท้ายธิดาราชันฉีหลินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ทำให้จิตใจของนางมั่นคงยิ่งขึ้น

สำหรับซึหุนหลินนั้นเขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาเลย เขาโค้งคำนับอย่างลึกซึ้งครั้งแล้วครั้งเล่า กล่าวสำหรับเขาแล้ว การได้มาอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่เช่นนี้นับเป็นเกียรติสูงสุดแล้ว มันคือการได้พบกันที่ประหลาดมหัศจรรย์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแล้ว

แม้แต่อู่ชีที่ปรกติชอบเยาะเย้ยถากถางสังคมก็รู้สึกขนหัวลุกขึ้นมาในเวลานี้ เขารู้สึกเข่าอ่อนทั้งสองข้าง เขารู้สึกว่าไม่ได้เพียงเพราะหวาดกลัวต่อหลี่ชิเย่เท่านั้นเอง

ลองนึกภาพดู ก่อนหน้านั้นเขาแสดงท่าทีสนิทสนมเรียกพี่เรียกน้องกับหลี่ชิเย่ เวลานี้มานึกดู บรรดาระดับบรรพบุรุษของหลงเฉิน ระดับจอมราชันเซียนหวังของหลงเฉินแต่ละองค์ ล้วนแล้วแต่ต้องเรียกตัวเองว่าผู้เยาว์

หากแม้ระดับบรรพบุรุษของพวกเขายังต้องเรียกตัวเองว่าผู้เยาว์ มิเท่ากับว่าเขาไม่ให้ความเคารพอย่างยิ่ง หากเรื่องนี้รู้ไปถึงบรรพบุรุษของเขาแล้วคงไม่ใช่แค่ถลกหนังของเขาเท่านั้น ต้องโดนสั่งสอนชุดใหญ่แน่นอน ดังนั้น เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว อู่ชีถึงกับขนหัวลุก กลับไปสำนักคราวนี้ต้องถูกจัดการอย่างหนักแน่นอน

“นี่…” จังหวะที่หลี่ชิเย่กำลังจะจากไป อู่ฟ่งหยิ่งที่ยืนนิ่งอยู่ข้างๆ ไม่พูดอะไรสักคำพลันส่งเสียงเรียกออกมาดังๆ

“ข้าไม่ได้ชื่อนี่…” หลี่ชิเย่หันหลังกลับมา ยิ้มและกล่าวว่า “ช้าชื่อหลี่ชิเย่”

“เจ้าจะจากไปเช่นนี้เลยรึ?” เวลานี้ ดวงตาทั้งคู่ของอู่ฟ่งหยิ่งจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่ หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ จึงได้พูดคำๆ นี้ออกมา

คำพูดของอู่ฟ่งหยิ่งทำเอาอู่ชีตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง นี่เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลยทีเดียว หากบรรพบุรุษรู้เรื่องนี้เข้า ต้องถลกหนังพวกเขาอย่างแน่นอน

ดังนั้น อู่ชีที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกับกระตุกแขนเสื้อของพี่สาวอย่างลับๆ ส่งสัญญาณอย่าได้ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมา มิฉะนั้นหละก็ ฟ้าคงต้องถล่มลมมาจริงๆ แล้ว

แต่ทว่า อู่ฟ่งหยิ่งไม่สนใจต่อการส่งสัญญาณลับของอู่ชีแม้แต่น้อย เพียงจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่เท่านั้นเอง ดวงตาคู่นั้นของนางเบิกกว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้

“ไม่จากไปแบบนี้ แล้วจะต้องจากไปแบบไหนกันหละ?” หลี่ชิเย่ยิ้มและพูดขึ้นมาขณะจ้องมองอู่ฟ่งหยิ่งที่กำลังจ้องตาด้วยความโกรธ โดยไม่ได้ถือสาแต่อย่างใด

นาทีนี้เอง ไม่รู้ว่าอู่ฟ่งหยิ่งไปเอาความกล้ามาจากไหน ถึงกับโอบคอและกดศีรษะของหลี่ชิเย่เอาไว้และใช้กำลังจูบกับหลี่ชิเย่ขึ้นมา

นางอาศัยกำลังบังคับจูบกับหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีที่เก้งก้าง และไม่ชำนาญอย่างยิ่ง กระทั่งเรียกได้ว่าตื่นเต้นมาก แต่ว่านางเป็นคนที่ดุดันเช่นนี้แหละ อาศัยกำลังจูบหลี่ชิเย่ไปครั้งหนึ่ง

เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเหลือเกิน ทำเอาพวกอู่ชีต่างตกตะลึงจนถึงกับอ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้น มันเป็นเรื่องที่อยู่เหนือความคาดคิดของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่อู่ฟ่งหยิ่งได้กระทำลงไปมันช่างดุดันเหลือเกิน

ในเวลานี้ พวกของอู่ชีล้วนแล้วแต่ตะลึงงันจนไม่อาจเรียกสติกลับมาอยู่เป็นเวลานาน

สุดท้าย อู่ฟ่งหยิ่งจึงยอมผละจากหลี่ชิเย่ นาทีนี้กลับกลายเป็นว่านางเองเป็นฝ่ายที่อับอายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี ใบหน้าแดงก่ำหลังจากถอยไปอยู่ข้างๆ มือไม้ยังไม่รู้ว่าควรจะเอาไว้ที่ไหนดี

ขณะที่เมื่อครู่นี้นางไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองไปเอาความใจกล้ามาจากไหน เอาความกล้าหาญมาจากไหน ถึงกลับกล้าใช้กำลังจูบกับหลี่ชิเย่เช่นนี้ได้ หลังจากเสร็จสิ้นขบวนการแล้วนางถึงกับมือไม้อ่อนแรงขึ้นมา

“ข้าถูกเจ้าเอาเปรียบขนาดนี้ยังไม่อายเลย เจ้าจะอายไปทำไม” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นยิ้มๆ และส่ายหน้า

ในขณะนี้ ใบหน้าของอู่ฟ่งหยิ่งแดงก่ำ ก้มหน้าลงต่ำเต็มที่ นาทีนี้เขากลับกลายเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ ไม่มีท่าทีที่อันธพาลและดุดันเหมือนเมื่อครู่ กลับกลายเป็นคนละคนอย่างสิ้นเชิง

ในเวลานี้พวกของธิดาราชันฉีหลินต่างพูดอะไรไม่ออก เกรงว่าอู่ฟ่งหยิ่งคือผู้หญิงที่พาลมากที่สุดเท่าที่พวกเขาเคยพานพบมาทั้งหมด

“นังหนูน้อย ลาก่อน” สุดท้าย หลี่ชิเย่เพียงบรรจงจูบที่หน้าผากของธิดาราชันฉีหลินที่กำลังยืนเหม่อลอย หัวเราะ และล่องลอยจากไป เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น เงาหลังของหลี่ชิเย่ก็ได้หายไปบนเส้นขอบฟ้า

ธิดาราชันฉีหลินถึงกับมองเหม่อในเวลานี้ ไม่สามารถเรียกสติกลับมา กระทั่งร่างของหลี่ชิเย่ได้หายไป แม้แต่อู่ฟ่งหยิ่งเองก็เหม่อลอยอยู่ตรงนั้น มองดูเงาหลังที่หายไปอยู่อย่างนั้น ไม่สามารถเรียกสติกลับมา

หลังจากผ่านไปนานมาแล้ว พวกของธิดาราชันฉีหลินจึงได้สติกลับคืนมา ธิดาราชันฉีหลินเอ่ยกับอู่ฟ่งหยิ่งว่า “พวกเรากลับไปเถอะ จากนี้ไปไม่ทราบว่าอีกนานเท่าไรจึงได้ออกมาอีก” ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้แล้วนางรู้สึกกลัดกลุ้มเหมือนขาดอะไรไปอย่างหนึ่ง

อู่ฟ่งหยิ่งพยักหน้าโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ว่า ภายในใจของนางรู้สึกพึงพอใจแล้ว

“พี่สาว รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?” หลังจากผ่านไปนานมากแล้ว อู่ชีเจ้าหนูจอมทะเล้นก็เริ่มกลับมาคึกคัดอีกครั้ง กระตุกแขนเสื้อของพี่สาวตน พูดขึ้นพร้อมกับท่าท่ายักคิ้วหลิ่วตา

อู่ฟ่งหยิ่งพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำเมื่อถูกน้อยชายของตนหยอกล้อ จึงตามด้วยอารมณ์ของขึ้นจ้องมองอู่ชีด้วยความโกรธ ท่าทีคันไม้คันมือเต็มที และหลี่ชิเย่ “เจ้าหนูหน้าเหม็น รู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวโดนอัดน้อยไปใช่หรือไม่”

“ไม่ ไม่ ไม่ใช่” อู่ชีถึงกับหวาดกลัวและพูดหัวเราะแห้งๆ ขึ้นมา เมื่อเห็นท่าทีของขึ้นของอู่ฟ่งหยิ่ง

ซึหุนหลินเองก็ทอดถอนใจออกมา ขณะมองดูพวกเขาสองพี่น้องที่ทะเลาะกัน และกล่าวว่า “สมควรแก่เวลาที่ข้าจะต้องกลับไปแล้ว ได้เวลาที่ข้าควรจะดูแลรักษาตัวเอง และไม่มีความจำเป็นต้องออกมาเสี่ยงอีกต่อไป”

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท