เมื่อหลี่ชิเย่เดินทางมาถึงด้านนอกของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ระยะเวลาการรายงานตัวของนักศึกษาในภาคการศึกษาใหม่ก็ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้ว บริเวณด้านนอกประตูดูเงียบเหงาลงไปมากทีเดียว
หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจออกมา ขณะมองไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าจากระยะห่างไกล ผู้คนที่ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผู้ที่ยอดเยี่ยมแต่ละรุ่นจากไป ปรากฏใบหน้าที่อ่อนเยาว์แปลกหน้าแต่ละดวงหน้าเข้ามาแทนที่ ไม่ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงเช่นใดก็ตาม สถาบันศึกษาเทพเจ้ายังคงยืนหยัดไม่มีล้มลง
ถ้าหากสักวันสถาบันศึกษาเทพเจ้าเกิดล้มลงจริงๆ เมื่อเป็นเช่นนั้นร้อยชาติพันธุ์ก็จะมีอันตราย ในอนาคตร้อยชาติพันธุ์อาจโคลงเคลงไปมาและมีความเป็นไปได้ที่จะล้มลง
ใช่ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าคือฐานรากของร้อยชาติพันธุ์ แต่ว่า หากร้อยชาติพันธุ์ต้องสูญเสียสถาบันศึกษาเทพเจ้าไป เกรงว่าจะเป็นการสูญเสียพลังที่เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา ขาดความยอมรับนั่นไป
สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีความแตกต่างจากทุกๆ สำนัก ทุกๆ สำนักใต้หล้าล้วนแล้วแต่มีด้านที่คับแคบของตน ขณะที่สถาบันศึกษาเทพเจ้ากลับตรงกันข้าม มันยอมรับทั่วทุกสารทิศ รับสมัครปราชญ์จากร้อยชาติพันธุ์
กล่าวได้ว่า นักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าสักคนหนึ่ง ไม่เห็นว่าทักษะยุทธของพวกเขาจะก้าวหน้าไปได้มากมายสักเท่าไร แต่ประสบการณ์ของพวกเขา และการทำงานร่วมกันระหว่างร้อยเผ่าพันธุ์ที่แน่นเฟ้นซึ่งกันและกัน มีการขยายตัวได้มากทีเดียว
สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่เพียงบ่มเพาะอัจฉริยะบุคคลขึ้นมาทุกยุคทุกสมัยเท่านั้น ยังได้เป็นตัวเชื่อมโยงให้กับร้อยเผ่าพันธุ์ในแต่ละยุคสมัย ให้กลุ่มคนรุ่นใหม่ของร้อยชาติพันธุ์ได้มีพื้นที่ที่กว้างไกลมากยิ่งขึ้น มอบความน่าจะเป็นด้านการไปมาหาสู่ซึ่งกันและกัน และความเป็นมิตรภาพให้ร้อยชาติพันธุ์ได้มากยิ่งขึ้น
ดังนั้น กล่าวได้ว่าในทวีปเจียวเหิงโจวไม่มีสำนักอย่างจวนกู่ได้ ไม่มีสำนักอย่างเขาไผ่ประหลาดได้ แต่ปราศจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ได้
ไม่มีสำนักจวนกู่ที่เป็นหนึ่งสำนักเจ็ดราชันได้ ยังมีสายสำนักราชันเซียนอื่นๆ ขึ้นทดแทนได้ในภายหลัง แต่ว่าหากปราศจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าไปแล้ว จะไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ใหม่อีกต่อไป
เนื่องจากโลกนี้ไม่มีราชันเซียนเฟยคนที่สอง และไม่มีราชันเทพจงหนานคนที่สอง หากจะว่ากันไปในระดับหนึ่ง สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่เพียงเป็นกำลังกายใจของราชันเซียนเฟยเท่านั้น ยังเป็นผลงานยอดเยี่ยมของราชันเทพจงหนานอีกด้วย
มองดูภูมิประเทศที่กว้างใหญ่ไพศาลยิ่งของที่นี่แล้ว หลี่ชิเย่อดที่จะทอดถอนใจออกมา สถาบันศึกษาเทพเจ้าเคยรองรับอัจฉริยะบุคคลจำนวนนับไม่ถ้วน ราชันเซียนของเก้าแดนจำนวนไม่น้อยล้วนแล้วแต่เคยสอนอยู่ที่ตรงนี้ ในอดีตที่ผ่านมาตัวเขาเองก็เคยสอนอยู่ที่นี่มาก่อน
เพียงแต่เขาไม่เหมือนเช่นราชันเซียนเฟยหยาง ราชันเซียนเฮ่าไห่ที่สร้างชื่อเสียงทิ้งเอาไว้ เขายังคงเป็นอีกาตัวนั้น ยังคงดำรงอยู่ในฐานะผู้อยู่เบื้องหลัง ดังนั้น แม้เคยมีระดับปราศจากผู้ต่อกรแต่ละคนที่สอนโดยเขา แต่ไม่เคยมีคำพูดหรือจารึกใดๆ และไม่ได้ทิ้งชื่อของเขาเอาไว้
เวลาผ่านไปรวดเร็ว ที่ต้องจากไปอย่างไรเสียก็ต้องจากไป ดั่งราชันเซียนหมิงเหริน หรือหลิ่วเต้าเหรินหวัง ไม่ว่าเจ้าจะดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรเพียงใด คงมีวันเวลาที่ต้องจากไปสักวัน แต่สถาบันศึกษาเทพเจ้ายังคงอยู่ ยังคงเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา
หลี่ชิเย่ ยังไม่ทันถึงประตู มองดูความโอ่อ่าของพื้นที่ที่ตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าจากระยะห่างไกล และทำการเก็บภาพพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมดเอาไว้ อดที่จะรำลึกถึงคนบางคนและเรื่องราวบางเรื่อง
ภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้าเคยมีใบหน้าที่อ่อนวัยแต่ละวงหน้าที่แวะเวียนเข้ามา สุดท้ายกลับออกไปกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงทั่วหล้าปราศจากผู้ต่อกร มาวันนี้ยามที่เขาได้กลับมา สถาบันศึกษาเทพเจ้ายังคงอยู่ แต่คนเหล่านี้ไม่อยู่เสียแล้ว
จังหวะที่หลี่ชิเย่มาถึงนั้น ได้มีนักศึกษาบางคนที่มีท่าทีเร่งรีบ นักศึกษาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่รีบเร่งกลับเข้าสถานศึกษา บรรดานักศึกษาที่กลับมายามนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่มีชาติกำเนิดค่อนข้างธรรมดา
เนื่องจากนักศึกษาที่มีชาติกำเนิดจากสำนักราชันเซียน หรือแค้วนเจ้าลัทธิล้วนแล้วแต่สามารถกลับเข้าสถานศึกษาได้ทัน เนื่องจากพวกเขามีทรัพย์สินเงินทองมากมาย สามารถผ่านประตูมิติส่งตัวพวกเขามา ก้าวข้ามฟ้าดินที่ห่างไกล ทำให้พวกเขามีเวลากลับถึงสถานศึกษาได้อย่างเหลือเฟือ และสามารถเข้ากับเพื่อนนักเรียนได้เป็นอย่างดี
สำหรับผู้บำเพ็ญตนผู้ที่มีชาติกำเนิดมาจากสำนักขนาดเล็ก หรือมาจากชนชั้นรากหญ้าจะไม่ง่ายขนาดนี้ ในช่วงที่สถานศึกษาปิดภาคเรียน หากพวกเขาไม่ไปฝึกหาประสบการณ์ก็จะกลับบ้านไปเยี่ยมญาติ มีจำนวนไม่น้อยที่ต้องอาศัยการเดินหรือการเหิน และหรือบางทีอาจจะสะสมเงินทุนได้ในระดับหนึ่งก็จะอาศัยประตูมิติก้าวข้ามพื้นที่ไปยังจุดหมาย ดังนั้น ยามที่นักศึกษาเหล่านี้กลับมาหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นระหว่างทางเพียงเล็กน้อย ก็จะทำให้กลับมาถึงหลังจากที่สิ้นสุดพิธีการเปิดภาคเรียนไปแล้ว
ดังนั้น ขณะที่หลี่ชิเย่จ้องมองไปที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าจากระยะห่างไกล บรรดานักศึกษาที่เดินทางด้วยความเร่งรีบก็ไม่ได้ไปจ้องมองดูหลี่ชิเย่มากนัก จะอย่างไรเสีย หน้าตาของหลี่ชิเย่ก็ไม่ได้มีความโดดเด่น ออกจะดูธรรมดาอย่างยิ่ง อีกอย่าง นักศึกษาเหล่านี้รีบเร่งกลับเข้าไปยังสถานศึกษา ไม่มีเวลาไปให้ความสนใจต่อหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้ละสายตากลับมา ก้าวเดินตรงไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้าช้าๆ
พี่หลี่…จังหวะที่หลี่ชิเย่ก้าวเดินไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้าช้าๆ นั้น ปรากฏเสียงดังขึ้นมาจากด้านหลัง ในขณะนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวตามเข้ามาอย่างเร่งรีบ
เป็นผู้หญิงที่มีความงดงามน่าประทับใจ นางคือเถาถิงแห่งหมู่บ้านเถานั่นเอง ขณะที่นางไล่ตามหลี่ชิเย่จนทันนั้น ใบหน้าทรงกลมรีรูปไข่ของนางแดงระเรื่อ ดูเหมือนเหนื่อยหอบเล็กน้อย หน้าอกที่ชูชันกระเพื่อมขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง
หลี่ชิเย่หยุดอยู่กับทีมองดูนางและยิ้มจางๆ นิดหนึ่ง
“พี่หลี่ พวกเราได้พบกันอีกแล้ว” เถาถิงเองรู้สึกเหนือความคาดคิดอย่างยิ่งกับการพบกับหลี่ชิเย่ ถึงกับมีความตกใจระคนกับยินดีอยู่สามส่วน
นางไม่นึกว่าจะได้พบกับหลี่ชิเย่ที่ตรงนี้ นับตั้งแต่จากกันที่หมู่บ้านเถาแล้ว นางเข้าใจว่าคงไม่ได้พบเจอกับหลี่ชิเย่อีกแล้ว
“ชีวิตคนเรามีโอกาสพบกันได้ทุกที่” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ขอเพียงมีวาสนา ต้องได้พบกันอยู่แล้ว”
ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม การที่เถาถิงสามารถพบเห็นหลี่ชิเย่อีกครั้ง ยังคงมีความตกใจระคนกับความยินดีอยู่สามส่วน แม้ว่านางจะมีความระแวงต่อหลี่ชิเย่ขณะอยู่ที่หมู่บ้านเถา แต่ลึกๆ ในใจกลับมีความรู้สึกที่อบอุ่นสนิทใจอย่างบอกไม่ถูกเสมอ เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกอย่างสิ้นเชิง สรุปก็คือความรู้สึกที่หลี่ชิเย่มีให้กับนางก็คล้ายดั่งเป็นคนครอบครัวเดียวกันอย่างนั้น
เถาถิงจ้องมองดูหลี่ชิเย่ด้วยตกใจระคนกับความยินดีอยู่สามส่วน การที่ได้พบกับหลี่ชิเย่ด้านหน้าของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ยิ่งทำให้นางเข้าใจว่าหลี่ชิเย่คือนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า และเอ่ยขึ้นมาว่า “ที่แท้พี่หลี่ก็เป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้านะเนี่ย น้องเป็นนักศึกษาชั้นศตาคาร ไม่ทราบว่ารุ่นพี่อยู่ชั้นไหนรึ?”
หากว่ากันด้วยเรื่องของพรสวรรค์ พรสวรรค์ของเถาถิงนับว่าอยู่ระดับต้นๆ ของโลกมนุษย์ปุถุชน แต่ทว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมอัจฉริยะบุคคลของร้อยชาติพันธุ์ ดังนั้น พรสวรรค์ระดับเถาถิง จึงไม่ได้โดดเด่นในสถาบันศึกษาเทพเจ้า บอกได้แค่ไม่เลวนัก
ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า ชั้นเรียนระดับมหาบุรุษทุกคนเลิกฝันถึงได้เลย ส่วนระดับจวนราชันหากจะเข้าเรียนก็ยากยิ่งนัก เรียกได้ว่าผู้ที่สามารถเข้าเรียนชั้นจวนราชันได้ก็ต้องเป็นอัจฉริยะบุคลที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดในยุคนี้ โดยบุคคลระดับอัจฉริยะเช่นนี้เรียกได้ว่าเป็นสุดยอดอัจฉริยะบุคคลในหล้า ดั่งเช่นเหรินเซิ่นก็คือตัวแทนที่เด่นชัดที่สุด ส่วนเหมยซู่เหยาในรุ่นนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่าง
ชั้นเรียนระดับหอศักดิ์สิทธิ์ก็รับสมัครบุคคลภายนอกเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน เพียงแต่ศิษย์ของหอศักดิ์สิทธิ์ก็มีความสามารถสูงมาก และต้องเป็นนักศึกษาที่มีพรสวรรค์สูงมากจึงเข้าเรียนชั้นนี้ได้ ดังนั้น นักศึกษาจำนวนไม่น้อยของชั้นหอศักดิ์สิทธิ์จะเป็นผู้ที่มีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเจ้าลัทธิ กระทั่งเป็นผู้สืบทอดของแคว้นเจ้าลัทธิ
ชั้นเรียนศตาคารคือชั้นเรียนที่มีลักษณะแตกต่างผสมปนแปมากที่สุด เรียกได้ว่านักศึกษาที่เข้าเรียนในชั้นเรียนมีหลากหลายมาก มีทั้งนักศึกษาที่มาจากชนชั้นรากหญ้า และมีนักศึกษาที่มาจากสำนักเจ้าลัทธิ กระทั่งอาจมีนักศึกษาบางส่วนที่จงใจปกปิดฐานะของตนเอง
อีกทั้งชั้นเรียนศตาคารก็เป็นชั้นเรียนที่เข้าเรียนได้ง่ายที่สุด หากต้องการเข้าเรียนในชั้นศตาคารมีอยู่ด้วยกันสองวิธี หนึ่งคือผ่านการทดสอบจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า สองคือจ่ายศิลาขมุกขมัวตามจำนวนที่กำหนด
เฉกเช่นชั้นเรียนจวนราชัน ชั้นเรียนหอศักดิ์สิทธิ์ ชั้นเรียนเหล่านี้หาใช่มีเงินก็สามารถเข้าเรียนได้ ขณะที่ชั้นเรียนศตาคารกลับแตกต่าง ต่อให้บุคคลนั้นแย่จนเสมือนดั่งกองสวะกองหนึ่ง ขอเพียงสามารถจ่ายค่าเรียนได้ตามที่กำหนด ก็สามารถเข้าเป็นนักศึกษาในชั้นเรียนชั้นนี้ได้
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าชั้นเรียนศตาคารเป็นชั้นเรียนที่มีนักศึกษาแตกต่างผสมปนเปมากที่สุด ในชั้นนี้จะมีนักศึกษาที่หลากลายลักษณะ หากจะกล่าวว่า นักศึกษาที่สำเร็จจากจวนราชัน และหอศักดิ์สิทธิ์สามารถเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถได้แน่นอน เช่นนั้นแล้ว นักศึกษาที่สำเร็จจากศตาคารล่ะก็ไม่แน่ กระทั่งผู้ที่สำเร็จจากศตาคารอาจเป็นเพียงพวกไม่มีสมอง พวกเศษสวะคนหนึ่งเท่านั้น
บางคนเป็นบุตรหลานของผู้มั่งคั่ง อาศัยเงินทองส่งเข้ามาชุบตัวที่ศตาคาร หวังอาศัยชื่อเสียงของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
แน่นอน สิ่งเหล่านี้ไม่ได้หมายความว่าชั้นเรียนศตาคารไม่มีข้อดีเอาเสียเลย ตรงกันข้าม นักศึกษาในชั้นเรียนศตาคารมีสัดส่วนร้อยละแปดสิบของนักศึกษาที่มีอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าทั้งหมด อีกทั้งในรอบพันล้านปีที่ผ่านมา ชั้นเรียนศตาคารได้ผลิตผู้มีความรู้ความสามารถจำนวนมากให้กับร้อยชาติพันธุ์ มียอดฝีมือจำนวนไม่น้อยในแต่ละยุคสมัยล้วนแล้วแต่สำเร็จมาจากชั้นเรียนศตาคารทั้งสิ้น
อีกทั้งชั้นเรียนศตาคารก็เคยให้กำเนิดระดับจอมเทพที่ยอดเยี่ยมมาก่อน เป็นต้นว่าเซียนหวังฉีหลิน ผู้ก่อตั้งตระกูลราชันฉีหลินก็เคยเป็นนักศึกษาของศตาคาร ขณะที่จอมเทพท่าซิงก็เคยเป็นนักศึกษาของศตาคารมาเช่นกัน
อาจกล่าวได้ว่า ศตาคารเคยผลิตบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถให้กับร้อยชาติพันธุ์ออกไปเป็นจำนวนมาก ระดับจอมเทพจำนวนไม่น้อยก็เคยเรียนอยู่ที่ชั้นเรียนศตาคารมาก่อน
เถาถิงย่อมไม่มีเงินที่จะซื้อที่นั่งเข้ามาเรียน นางถูกคัดเลือกเข้ามาโดยอาจารย์ของชั้นเรียนศตาคาร สุดท้ายสอบผ่านจนเข้ามาเป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
เรียกได้ว่า เถาถิงในฐานะที่เป็นเด็กผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกล การที่นางสามารถเข้าเรียนที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ นั่นเท่ากับเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของนางไปโดยสิ้นเชิง แม้แต่แคว้นอันเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านเถาที่ห่างไกลความเจริญเมื่อทราบข่าวว่าเถาถิงได้เข้าเป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้ว กษัตริย์ผู้ครองแคว้นแห่งนี้ยังจัดพิธีใหญ่ให้การต้อนรับนางด้วยพระองค์เอง
หลี่ชิเย่มองดูเถาถิงแวบหนึ่ง ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “พรสวรรค์เจ้าไม่ถือว่ายอมเยี่ยมในหล้า แต่พื้นฐานนับว่ามั่นคง รากฐานเต๋านับว่าดี ฝึกเคล็ดเหล่าราชันได้ดีมาก อาศัยผลงานในวันนี้ของเจ้า สามารถเข้าเรียนชั้นหอศักดิ์สิทธิ์ได้แล้ว”
การเรียนในสถาบันศึกษาเทพเจ้า นักศึกษาใช่ว่าไม่สามารถปรับเปลี่ยนชั้นเรียนได้ เป็นต้นว่าครั้งแรกที่เข้าเรียนคือชั้นศตาคาร หากก้าวหน้าได้เร็ว ผลงานดี บุคคลผู้นั้นก็มีสิทธิ์เลื่อนชั้นขึ้นไปอยู่ชั้นหอศักดิ์สิทธิ์ได้ ขณะที่นักศึกษาของหอศักดิ์สิทธิ์ก็มีสิทธิ์เลื่อนขึ้นไปเรียนในชั้นเรียนจวนราชันได้
“ขอบคุณพี่หลี่ที่ชื่นชม” เถาถิงที่อ่อนโยนละมุนละไมดั่งหยกไม่ได้เย่อหยิ่งเพราะคำชมนี้ นางดูอ่อนโยนและกล่าวว่า “ข้ายังต้องได้รับการขัดเกลา อาจารย์ท่านกล่าวว่า หลังจากจบภาคการศึกษานี้แล้ว สามารถทดสอบดูได้”
สมควรทราบว่า สำหรับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีชาติกำเนิดมาจากมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบทแล้ว การเลื่อนชั้นจากศตาคารไปยังหอศักดิ์สิทธิ์เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายดายนัก สิ่งนี้กล่าวได้ว่าเป็นเกียรติยศอย่างหนึ่ง เป็นเรื่องที่เชิดชูวงศ์ตระกูลอย่างหนึ่ง
ถ้าหากเถาถิงได้เลื่อนชั้นขึ้นไปเป็นนักศึกษาชั้นหอศักดิ์สิทธิ์จริงหละก็ เกรงว่าแคว้นซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านเถาของพวกเขา กษัตริย์ผู้ครองแคว้นคงต้องเชื้อเชิญให้เถาถิงไปดำรงตำแหน่งราชครูของราชวงศ์นี้แล้วหละ
“เรื่องราวบนโลกนี้มักหลีกเลี่ยงไม่ได้” หลี่ชิเย่ที่มองดูเถาถิงที่อ่อนโยนละมุนละไมดั่งหยกตรงหน้าถึงกับทอดถอนใจออกมา บรรพบุรุษของพวกเขาเคยเคยอยากจะให้ลูกหลานใช้ชีวิตธรรมดาเยี่ยงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาๆ คนหนึ่ง ตัดขาดจากวาสนาด้านการฝึกบำเพ็ญเพียรทุกชาติไป แต่ท้ายที่สุดแล้ว หมู่บ้านเล็กๆ ที่ห่างไกลความเจริญลักษณะเช่นนี้ของพวกเขายังคงมีเด็กผู้หญิงตัวน้อยๆ เช่นนี้ก้าวเดินบนเส้นทางของบรรพบุรุษจนได้ เพียงแต่นางไม่รู้หรอกว่าบรรพบุรุษของนางเคยมีเกียรติยศสูงส่งมาก่อนเท่านั้นเอง
ความหมายของพี่หลี่…เถาถิงไม่เข้าใจในความหมายของหลี่ชิเย่ จึงเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความสงสัย
“ไม่มีอะไร” หลี่ชิเย่เพียงยิ้มๆ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หนทางอันยาวไกล ก้าวเดินไปทะนุถนอมกันไป มันก็คือวาสนาอย่างหนึ่งกระมัง”