สำหรับท่าทีที่เหมือนเป็นการสอบสวนของเหยียนเฉินเซินนั้น ปฏิกิริยาของหลี่ชิเย่เรียบเฉย กล่าวด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “ไม่ใช่”
“ไม่ใช่นักศึกษาของเรือนตำรา แล้วเข้ามาที่เรือนตำราทำไม สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ใช่ที่ที่จะมาเดินอ้อระเหยได้” เหยียนเฉินเซินมีความรู้สึกที่ไม่ดีกับหลี่ชิเย่ตั้งแต่แรก ในใจรู้สึกไม่สบอารมณ์กับหลี่ชิเย่ ดังนั้นจึงไม่มีท่าทีที่เป็นมิตรให้กับหลี่ชิเย่อยู่แล้ว
เถาถิงนั้นมีความรู้สึกที่สนิทสนมกับหลี่ชิเย่ นางจึงรีบพูดแทนให้กับหลี่ชิเย่ โดยพูดขึ้นว่า “พี่หลี่เป็นนักศึกษาใหม่ เขาต้องการแทรกชั้นเรียนเข้ามาที่เรือนตำราสักหน่อย เอาอย่างนี้ พี่เหยียนให้พี่หลี่รออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะเข้าไปเรียนกับอาจารย์ ดูว่าทางสถาบันศึกษาจะเห็นด้วยหรือไม่”
เถาถิงเข้าใจว่าหลี่ชิเย่ต้องการเป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า อีกทั้งนักศึกษาของเรือนตำรามีน้อยคน มาตรฐานการรับนักศึกษาจะต่ำกว่ากันมาก ดังนั้น เถาถิงจึงคิดจะไปพูดกับอาจารย์ของตน ไม่แน่นักหลี่ชิเย่อาจจะได้เข้าเป็นนักศึกษาได้จริงๆ ก็เป็นได้
“รุ่นน้อง เวลานี้ไม่ใช่ปีการศึกษาใหม่ ทางสถาบันจะไม่ยอมรับนักศึกษาเข้ามาแทรกอยู่แล้ว” เมื่อเหยียนเฉินเซินมองเห็นท่าทีของเถาถิงที่กระตือรือร้นเช่นนี้ ยิ่งทำให้บังเกิดความไม่สบอารมณ์ขึ้นในใจ เขาจึงกล่าวขึ้นมาว่า “ถ้าหากรุ่นน้องแนะนำใครต่อใครเข้ามาสุ่มสี่สุ่มห้า หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาหละก็ยุ่งยากแน่นอน ตามความเห็นของข้านะ เขามาจากไหนก็กลับไปที่นั่นก็แล้วกัน” ครั้นกล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว เขาได้แสดงท่าทีที่พร้อมจะขับไล่คนออกมาแล้ว
หลี่ชิเย่ไม่มองท่าทีของเหยียนเฉินเซินที่ต้องการขับไล่คนอยู่ในสายตาอย่างสิ้นเชิง เพียงพูดเฉยเมยขึ้นมาว่า “แม่นางอวี่เชียนเสวียนอยู่หรือไม่?”
พวกนักศึกษาเช่นเหยียนเฉินเซินเหล่านั้นพลันมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เมื่อหลี่ชิเย่เอ่ยถึงชื่อของอวี่เชียนเสวียน! เวลานี้พวกเขาต่างจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่
อวี่เชียนเสวียนคือใคร? นั่นคือเทพธิดาในความฝันของนักศึกษาชายจำนวนนับไม่ถ้วนของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเลยนะ มีชาติกำเนิดมาจากจวนกู่ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสูงส่งของนางที่เป็นหนึ่งไม่มีสองแล้ว ด้วยรูปโฉมที่งดงามยากจะหาใดเทียม ไม่รู้ว่าได้ทำให้จิตใจของบุรุษจำนวนเท่าไรต้องเคลิบเคลิ้มหลงใหล ทักษะยุทธที่สูงส่งยากจะหยั่งถึงนั้นยิ่งทำให้ผู้คนเลื่อมใสทั้งกายและใจ
กล่าวได้ว่าในสถาบันศึกษาเทพเจ้าเมื่อเอ่ยถึงชื่ออวี่เชียนเสวียนแล้วไม่มีใครไม่รู้จัก ยิ่งไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่มีจิตเคลิบเคลิ้มหลงใหลในตัวนาง
“พี่หลี่ก็รู้จักรึ?” แม้แต่เถาถิงก็รู้สึกเหนือความคาดคิด เนื่องจากชื่อของอวี่เชียนเสวียนนั้นโด่งดังมากในสถาบันศึกษาเทพเจ้า กล่าวสำหรับเถาถิงแล้วอวี่เชียนเสวียนนั้นคือเทพธิดาที่อยู่สูงเกินจะเอื้อมถึง นางเองก็ใฝ่หาให้ได้สิ่งนี้มา เรียกได้ว่าคือผู้เป็นอุดมคติที่อยู่ในใจของนาง
”เคยพบกันมาครั้งหนึ่ง พอดีอยากจะพบนางสักหน่อย” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้น
เถาถิงรู้สึกตกใจยิ่งกับคำพูดที่พูดออกมาตามอารมณ์ของหลี่ชิเย่ นางกระตุกแขนเสื้อของหลี่ชิเย่เบาๆ พูดเสียงแผ่วเบากับหลี่ชิเย่ว่า “พี่หลี่ เชียนเสวียนคืออาจารย์สถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรา นางไม่ใช่นักศึกษา อีกทั้งฐานะในสถานศึกษาของนางก็สูงมาก ไม่ใช่ใครก็สามารถพบกับนางได้นะ”
เถาถิงยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่คงเข้าใจผิดแล้ว โดยไม่รู้ถึงฐานะของอวี่เชียนเสวียน
“ว้าว! ที่แท้เป็นผู้ที่ชื่นชมในตัวของอาจารย์เชียนเสวียนหรือเนี่ย” บรรดานักศึกษาที่ยืนอยู่ข้างๆ หัวเราะขึ้นมา พูดเยาะเย้ยและแหนบแนมว่า “มิน่าเล่าถึงได้ถ่อมาจากที่ที่ไกลขนาดนั้นมายังสถาบันศึกษาเทพเจ้า อยากจะเข้าเรือนตำรา คงไม่ใช่คิดอยากจะเห็นหน้าอาจารย์เชียนเสวียนกระมัง”
คำพูดนี้ทำให้บรรดานักศึกษาคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์หัวเราะกันครื้นแครง
“คางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้า!” เหยียนเฉินเซินหัวเราะเยาะทีหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทีดูแคลนว่า “เจ้าไม่ปัสสาวะแล้วส่องดูตัวเอง อาศัยเจ้าน่ะหรือคิดจะพบอาจารย์เชียนเสวียน? เจ้าคู่ควรริ? ไสหัวไปให้พ้นจะดีกว่า”
“ศิษย์พี่เหยียนพูดแบบนี้ไม่ได้นะ” เถาถิงทนไม่ได้รีบพูดแก้ให้หลี่ชิเย่ “พี่หลี่แค่ต้องการเข้าเรียนที่เรือนตำราเท่านั้นเอง ไม่ได้มีความคิดเป็นอื่น”
“ไม่มีความคิดเป็นอื่น?” ภายในใจของเหยียนเฉินเซินยิ่งไม่สบอารมณ์มากขึ้นไปอีก เมื่อเถาถิงพูดแก้ให้กับหลี่ชิเย่ เขานั้นมีใจต่อเถาถิงอยู่ก่อนแล้ว เวลานี้เถาถิงกลับพูดแทนให้กับผู้ชายที่ธรรมดาอย่างหลี่ชิเย่ เขาจะรู้สึกสบายใจได้รึ?
“น้องถิง เจ้าประสบการณ์ยังน้อย ไม่รู้ถึงความน้ากลัวของจิตใจคนว่าชั่วร้ายขนาดไหน บางคนซ่อนแต่ความคิดที่สกปรกต่ำทรามอยู่ในใจ คิดแต่เรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยให้ผู้อื่นรับรู้ได้ รุ่นน้อง เจ้ายังคงออกห่างจากคนเช่นนี้ให้มันไกลสักหน่อยจะดีกว่า เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องตกอยู่ในมือมาร” เหยียนเฉินเซินยิ้มเยาะและจ้องเขม็งไปที่หลี่ชิเย่
เถาถิงมีความรู้สึกที่สนิทสนมกับหลี่ชิเย่ ถือหลี่ชิเย่เสมือนหนึ่งเป็นสหายของตน เวลานี้เหยียนเฉินเซินด้อยค่าหลี่ชิเย่ขนาดนี้ พลันทำให้ภายในใจของเถาถิงรู้สึกไม่สบายใจ นางถึงกับชักสีหน้า กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่กล้ารบกวนรุ่นพี่ให้ต้องกังวลใจ พี่หลี่ไม่ใช่คนเช่นนี้”
ปรกติแล้วเถาถิงกับทุกคนจะมีการพูดจาหัวเราะเฮฮากัน ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนักศึกษานับว่าดีมาก ขณะที่เหยียนเฉินเซินเองก็รู้สึกว่าตนเองนั้นมีโอกาสสูงมากที่จะจีบเถาถิงได้สำเร็จ เวลานี้กลับเป็นเพราะผู้เยาว์ที่ไร้ชื่อคนหนึ่ง ทำให้เถาถิงทำหน้าบึ้งตึงกับตน พลันทำให้ภายในใจของเหยียนเฉินเซินเกิดเป็นเพลิงแค้นลุกโชนขึ้นมา และเพลิงแค้นนี้พุ่งเป้าตรงไปยังหลี่ชิเย่
“สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ใช่ที่ที่สำหรับบุคคลภายนอกเข้ามาได้ และไม่ใช่ที่ที่สุนัขหรือแมวจากไหนสักตัวมาแวะพักได้ตามอำเภอใจ” เวลานี้เหยียนเฉินเซินมีสีหน้าบึ้งตึง กล่าวน่าเกรงขามต่อหลี่ชิเย่ว่า “เวลานี้หากรู้จักกาลเทศะหละก็ ไสหัวไปเดี๋ยวนี้!”
เดิมทีหลี่ชิเย่ไม่ได้ใส่ใจในท่าทีของเหยียนเฉินเซิน แต่คำพูดเช่นนี้ของเหยียนเฉินเซินกลับทำให้แววตาของหลี่ชิเย่ส่งประกายน่าเกรงขามออกมาทีหนึ่ง แต่ว่าเขายังคงยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “หากข้าไม่ไสหัวไปหละ?”
“ไม่ไสหัวไปรึ?” ดวงตาทั้งสองของเหยียนเฉินเซินเผยปณิธานการฆ่าออกมา กล่าวน่าเกรงขามว่า “สถาบันศึกษาเทพเจ้าไหนเลยเป็นสถานที่ที่ให้เจ้ามาทำกำเริบเสิบสานได้ การมาก่อเรื่องที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นการหาเรื่องให้กับตัวเอง เพราะเท่ากับเป็นศัตรูกับสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรา!”
เหยียนเฉินเซินไม่สนว่าจะฝ่ายผิดหรือถูก จัดการยัดข้อหาให้กับหลี่ชิเย่เอาไว้ก่อน ต่อให้อาจารย์ของสถาบันศึกษาสืบสาวราวเรื่องขึ้นมาจริงๆ ก็เป็นเพราะหลี่ชิเย่ก่อเรื่องขึ้นมาก่อน เขาแค่ผดุงเกียรติให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้าเท่านั้นเอง
“ศิษย์พี่เหยียน ท่านทำเกินไปแล้วนะ!” เถาถิงทนดูต่อไปไม่ไหว นางถึงกับยืนอยู่ข้างของหลี่ชิเย่ กล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาว่า “พี่หลี่แค่ต้องการเข้าเรียนในเรือนตำราเท่านั้นเอง เขามาก่อเรื่องที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน หากคิดจะยัดข้อหาไหนเลยจะไม่มีข้ออ้าง!”
เหยียนเฉินเซินเองก็นึกไม่ถึงว่าเถาถิงจะออกมาช่วยหลี่ชิเย่ที่เป็นคนนอกในเวลานี้ อีกทั้งยังโต้กลับคำพูดของเขาต่อหน้าทุกคน พลันทำให้เขาถึงกับมีใบหน้าแดงก่ำขึ้นมา
“ศิษย์น้อง เจ้าอย่าให้คนที่ต่ำทรามเช่นนี้บดบังสายตาทั้งสองเอาไว้ อย่าได้หลงไปกับคำโกหกหลอกลวงของเขา” เหยียนเฉินเซินรู้สึกว่าไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน จึงเถียงข้างๆ คูๆ ว่า ”ถ้าหากเขาอยากจะเข้าศึกษาในสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเราจริง ทำไมไม่มาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น กลับจะเข้ามาแทรกชั้นเรียนในเวลานี้? ใครจะไปรู้ว่าเขามีจุดประสงค์ที่บอกใครไม่ได้หรือไม่ เขาแค่อาศัยความใจดีของเจ้าเพื่อปะปนเข้ามาในสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรา เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่บอกใครไม่ได้”
“นั่นสิ ศิษย์น้อง อย่าได้ถูกบุคคลภายนอกคนหนึ่งมาหลอกลวงได้ รุ่นพี่ก็แค่หวังดีต่อเจ้า” ในขณะนี้ นักศึกษาคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างช่วยพูดให้กับเหยียนเฉินเซิน
เนื่องจากเหยียนเฉินเซินไม่เพียงเป็นนักศึกษาที่โดดเด่นในศตาคารเท่านั้น ขณะเดียวกันยังมีชาติกำเนิดมาจากสำนักเจ้าลัทธิ มีผู้ให้การสนับสนุนที่แข็งแกร่งมาก นักศึกษาจำนวนไม่น้อยต่างมีความสัมพันธ์ที่ดีกับเขา
“ผู้เยาว์ที่มีหน้าตาอัปลักษณ์เจ้าเล่ห์ มีเจตนาไม่ดี กล้าแฝงตัวเข้ามาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเราเพื่อแผนการร้าย ข้าคือคนแรกที่ไม่ปล่อยเจ้าเอาไว้ จัดการทำลายเจ้าก่อน” เวลานี้เหยียนเฉินเซินตั้งในชิงลงมือก่อน ถลกแขนเสื้อขึ้น ดวงตาทั้งสองดูน่ากลัว เผยปณิธานการฆ่าออกมา ต้องการลงมือต่อหลี่ชิเย่
“บังอาจ อย่าได้เสียมารยาท!” ในขณะนี้เอง เสียงที่ไพเราะเสนาะหูยิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้น แต่เวลานี้เสียงดังกล่าวเต็มไปด้วยอำนาจ ไม่โกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ สยบจิตใจของผู้คนได้
นาทีนี้ ผู้หญิงคนหนึ่งเหินฟ้าลงมา เสมือนดั่งนางฟ้าลงมายังโลกมนุษย์ด้วยท่วงท่าเซียนที่หลุดพ้นจากโลกีย์มนุษย์แล้ว ทันใดที่นางปรากฏกายขึ้นมา เปี่ยมด้วยคุณธรรมสูงส่งดีงาม เหมือนดั่งทั่วหล้าเข้าสู่วสันตฤดู เป็นที่ประทับใจของผู้คนยิ่งนัก
อาจารย์เชียนเสวียน…ไม่รู้ว่าเสียงของใครร้องกล่าวขึ้นมา ขณะมองเห็นผู้หญิงคนนี้ที่เหินฟ้าลงมา
ผู้หญิงที่ลงมาจากบนท้องฟ้าก็คืออวี่เชียนเสวียนนั่นเอง ท่วงท่าของนางที่พริ้วไหวดั่งเซียนเป็นที่ประทับใจของผู้คน ทำให้ผุ้คนต้องหัวใจเต้นตูมตาม แต่ทว่า ไม่มีใครกล้าคิดอกุศลกับนาง
การปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันของอวี่เชียนเสวียน ทำเอาพวกของเถาถิงต่างตะลึงงัน พวกเขานึกไม่ถึงว่าอวี่เชียนเสวียนจะปรากฎกายขึ้นที่ตรงนี้จริงๆ เนื่องเพราะจะอย่างไรเสีย โดยปรกติแล้วอวี่เชียนเสวียนจะเป็นผู้ที่ไปมาไร้ร่องรอยอยู่แล้ว
“อาจารย์ คนผู้นี้คิดจะไม่ซื่อต่อสถาบันของพวกเรา!” พลันที่เหยียนเฉินเซินมองเห็นอวี่เชียนเสวียนก็รีบยัดเยียดข้อกล่าวหาให้กับหลี่ชิเย่ในทันที
“หุบปาก!” นัยน์ตาของอวี่เชียนเสวียนพลันบังเกิดพลังอำนาจขึ้นมา ไม่โกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ ยามที่นางลืมตาขึ้น เสมือนดั่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่สยบจิตใจของผู้คน ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวและสั่นเทิ้มขึ้นมา
“ใบไม้ใบเดียวบังตา หยาบคายต่ำทรามโง่เขลา!” อวี่เชียนเสวียนออกปากว่ากล่าวเหยียนเฉินเซินทันที กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ล่วงเกินผู้ใหญ่ โทษสถานเบาคือลงโทษ โทษสถานหนักคือไล่ออก!”
อวี่เชียนเสวียนเองก็ปวดหัวกับเรื่องนี้ การที่ผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นหลี่ชิเย่ยินดีมาเป็นอาจารย์ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าย่อมเป็นเรี่องที่ทางสถาบันต้องการอย่างยิ่ง ดังนั้น ทางสถาบันศึกษาเทพเจ้าจึงตอบตกลงข้อเสนอของหลี่ชิเย่ในทันที
เนื่องจากหลี่ชิเย่ไม่ต้องการให้ใครมารบกวน ดังนั้น ทางสถาบันศึกษาเทพเจ้าจึงไม่ได้มีการจัดพิธีต้อนรับการมาถึงของหลี่ชิเย่ โดยมอบหมายเรื่องนี้ให้อวี่เชียนเสวียนเป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งอวี่เชียนเสวียนคอยเฝ้าติดตามรอคอยการมาถึงของหลี่ชิเย่โดยตลอด ไม่นึกเลยว่ากลับเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาได้
พลันที่อวี่เชียนเสวียนพูดคำพูดเช่นนี้ขึ้นมา ทำเอาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างตกใจจนเซ่อ โดยเฉพาะเถาถิงถึงกับอ้าปากตาค้าง ในเวลานี้นางจ้องมองหลี่ชิเย่โดยพูดอะไรไม่ออก เดิมทีนางยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่คิดจะเข้าศึกษาในสถาบันศึกษาเทพเจ้า โดยการแทรกชั้นเรียนเข้ามา นึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่จะเป็นอาจารย์
“คุณชายหลี่มาที่สถาบันเพื่อเป็นอาจารย์ที่นี่” อวี่เชียนเสวียนว่ากล่าวตำหนิเหยียนเฉินเซินและสั่งการว่า “รีบยอมรับผิดและขอโทษต่อคุณชายหลี่เดี๋ยวนี้”
ไม่ง่ายนักกว่าเหยียนเฉินเซินจะได้สติกลับมา แค่เขาถูกอวี่เชียนเสวียนตำหนิเช่นนี้ก็รู้สึกเสียหน้ามากพอแล้ว แต่ไม่กล้าตอบโต้คำพูดของอวี่เชียนเสวียน ได้แต่อ้างเหตุข้างๆ คูๆ ว่า “อาจารย์ ข้า ข้า ข้าแค่เห็นเขาทำลับๆ ล่อๆ…” อวี่เชียนเสวียนไม่ได้พูดอะไรออกมา และไม่ได้แสดงความโกรธ เพียงมองด้วยสายตา พลังอำนาจสยบจิตใจของผู้คน ทำให้ไม่สามารถต่อต้านได้
บรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างอกสั่นขวัญหาย รู้สึกเข่าอ่อนทั้งสองข้าง แม้แต่เหยียนเฉินเซินก็ไม่เว้น เมื่อถูกสยบด้วยอำนาจของอวี่เชียนเสวียน
ในขณะนี้เหยียนเฉินเซินไม่กล้าต่อต้านพลังอำนาจของอวี่เชียนเสวียนอีกต่อไป ได้แต่ทำท่าโค้งคำนับทีหนึ่ง และพูดว่า “อาจารย์ ขออภัยแล้ว” ด้วยท่าทีที่ไม่เต็มใจ
เหยียนเฉินเซินในขณะนี้ไม่ได้มีความจริงใจแม้แต่น้อย เขาไม่คิดจะกล่าวคำขอโทษต่อหลี่ชิเย่อยู่แล้ว เพียงแต่สยบต่อพลังอำนาจของอวี่เชียนเสวียนเท่านั้น ดังนั้น เขาจึงคิดทำท่าโค้งคำนับนิดหนึ่ง และพูดคำพูดแบบเอ้อระเหยคำหนึ่ง ให้เรื่องมันจบๆ ไป
เพียะ…เสียงที่ดังก้องยิ่งเสียงหนึ่งดังขึ้น หนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ที่ตบออกไป เหยียนเฉินเซินไม่มีโอกาสขัดขืน ถูกตบจนปลิวออกไปตามแรงและกระอักเลือดออกมาอย่างแรง กระทั่งฟันยังหลุดออกไปหลายซี่
…………………………………………………….