ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 2000 ตำนานเรื่องหนึ่ง

ตอนที่ 2000 ตำนานเรื่องหนึ่ง

การที่บุคคลผู้หนึ่งก้าวเดินไปบนเส้นทางบำเพ็ญเพียรเพื่ออะไรกันหละ? ก็เพื่อฝึกวิชา ฝึกเคล็ดวิชาที่ลึกซึ้งพิสดารมากกว่านี้ ฝึกเคล็ดวิชาราชันที่แข็งแกร่งยิ่งกว่า จะมีผู้บำเพ็ญตนสักกี่คนยินดีเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์กันเล่า?

ลองถามดูว่า จะมีผู้บำเพ็ญตนสักกี่คนที่นั่งอ่านนั่งกอดแต่ตำราอ่านเล่นทั้งวัน เสียเวลาอยู่กับตำราอ่านเล่นที่ไม่มีประโยชน์ใดๆ เลย

ลองนึกภาพดู เดิมทีหญิงสาวเช่นเย่ซินเสวี่ยสมควรมีอนาคตที่ไม่เลวนัก แต่ว่านางกลับกอดและอ่านตำราอ่านเล่นทั้งวันเป็นการฆ่าเวลา เกือบจะกลายเป็นหนอนหนังสือหญิงไปแล้ว ดังนั้น ในสายตาของคนในครอบครัวจึงมองว่าเย่ซินเสวี่ยคือคนที่ไม่เอาถ่าน ทำตัวเอ้อระเหยไปวันๆ

หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มที่จางๆ ออกมา มองดูใบหน้าของเย่ซินเสวี่ยที่ดูจะดีอกดีใจอยู่เล็กน้อย สายตาของเขาได้ตกไปอยู่ที่ตำราที่เย็บสันหนังสือด้วยเส้นด้ายที่อยู่ในกระเป๋าของเย่ซินเสวี่ยเล่มหนึ่ง ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “นั่นหนังสืออะไร ให้ข้าดูหน่อยสิ”

เย่ซินเสวี่ยตะลึงนิดหนึ่ง ตำราเล่มนี้นับว่ามีความล้ำค่าอยู่บ้างสำหรับนาง นางพกมันติดตัวอยู่เสมอ อีกทั้งยังเปิดอ่านอยู่เสมอๆ กระทั่งนางชอบที่จะไปครุ่นคิดคำทุกคำที่อยู่ในตำราเล่มนี้

“นี่ นี่คือตำราที่ข้าชอบอ่านมากที่สุด” เมื่อหลี่ชิเย่ออกปากขอ เย่ซินเสวี่ยก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ให้ นางใช้สองมือประเคนส่งให้ พร้อมกับพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา

คำพูดนี้เป็นการบ่งบอกชัดเจน และสามารถมองออกว่านางหวนแหนตำราเล่มนี้จริงๆ

หลี่ชิเย่รับเอาตำราเล่มนี้มา มันเป็นหนังสือที่มีการเย็บรวมเล่มเอาไว้เรียบง่าย เป็นเล่มที่มีความหนามามก รู้สึกได้ว่ามันหนักมือเมื่อถือมันอยู่ในมือ บนหน้าปกเขียนเอาไว้ว่า “ตำนานเกี่ยวกับมนุษยชาติ” หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาเมื่อได้เห็นชื่อตำราเล่มนี้

หลี่ชิเย่พลิกดูตำราเล่มนี้ ทุกๆ ตัวอักษร ทุกๆ ถ้อยคำล้วนแล้วแต่เขียนได้เรียบร้อยดีมาก มันเป็นเล่มที่เขียนขึ้นจากลายมือของผู้แต่งเอง ไม่ใช่ฉบับคัดลอก มันคือต้นฉบับดั้งเดิม

แม้ว่าตำราเล่มนี้จะเป็นตำราที่มีความหนามากเล่มหนึ่ง แต่การเดินเรื่องของผู้เขียนไม่ได้เป็นไปอย่างรื่นไหล ทุกๆ ตัวอักษร ทุกๆ ถ้อยคำล้วนแล้วแต่มีความระมัดระวังรอบคอบ มีการพินิจพิเคราะห์ถึงการใช้คำว่าเหมาะสมหรือไม่

หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มและกล่าวว่า “เขียนได้ไม่เลวเลยทีเดียว พูดได้เหมือนจริงเลยทีเดียว”

“นั่นสิ ข้าเองก็รู้สึกว่ามันจริง ผู้เขียนบอกว่ามีเงาสายหนึ่งที่คอยปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์เรา ตั้งแต่เก้าแดนจนถึงแดนที่สิบ สิ่งที่เอ่ยถึงในนั้นมีหลายสิ่งเหมือนของจริงอย่างนั้น” เมื่อเย่ซินเสวี่ยเห็นหลี่ชิเย่เห็นด้วยก็รู้สึกดีใจ ใบหน้าน้อยๆ นั้นแดงก่ำ นางรู้สึกเหมือนได้พบกับคนรู้ใจอย่างนั้น

ตำราเล่มนี้เป็นนิทานที่แต่งขึ้น ในตำรากล่าวถึงคนผู้หนึ่งที่คอยปกป้องมนุษย์ เฝ้าปกป้องมายุคแล้วยุคเล่า อีกทั้งบุคคลบางส่วนที่อยู่ในนั้นเหมือนจริงมาก แม้ว่าในตำราจะมีการพูดถึงที่คลุมเครือมาก ไม่ได้ชี้ชัดลงไป แต่ท่ามกลางความเลือนรางนี้ สามารถนำเอาบุคคลที่อยู่ในนั้นบางส่วนมาเทียบเคียงเข้ากับจอมราชันเซียนหวังของสิบสามทวีปได้

“นี่มันแค่เป็นนิทานเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ก็แค่หยิบยกเอาราชันเซียน และเซียนหวังบางคนมาเป็นต้นแบบ จับแพะชนแกะมัดรวมเข้าด้วยกัน เล่าถึงตำนานเรื่องหนึ่งเท่านั้นเอง”

ความจริงแล้ว ที่ผู้เขียนตำราเล่มนี้ต้องการจะเอ่ยถึงก็คืออีกาทมิฬนั่นเอง เพียงแต่เขาไม่กล้าเขียน ได้แต่แต่งเป็นนิทานเรื่องหนึ่ง แล้วอาศัยตัวละครในนิทานไปสะท้อนถึงเรื่องราวบางอย่าง ดูไปแล้วคือสร้างขึ้น แต่บางอย่างกลับเป็นเรื่องจริง

“มันก็ไม่แน่หรอกนะ” เย่ซินเสวี่ยที่เดิมมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามอยู่เจ็ดส่วน งดงามขลาดกลัวอยู่สามส่วน ถึงกับอดที่จะใช้เหตุผลเข้าโต้แย้งเต็มที่ เมื่อมีการเอ่ยถึงตำราที่ตนชื่นชอบมากที่สุด โดยกล่าวว่า “บุคคลบางส่วนที่อยู่ในตำราก็คือเหล่าราชันเซียนนั่นเองแหละ ไม่แน่นักอาจจะใช่ทั้งหมด ไม่แน่นักเบื้องหลังร้อยชาติพันธุ์พวกเรามีผู้ปกป้องคุ้มครองตลอดมา เพียงแต่พวกเราไม่รู้เท่านั้นเอง เดิมบนโลกใบนี้มีพระเจ้าช่วยชาวโลกอยู่แล้ว เพียงแต่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างพวกเราไม่สามารถสัมผัสได้เท่านั้นเอง”

“โลกนี้ไม่มีพระเจ้าที่ช่วยโลก” หลี่ชิเย่หัวเราะส่ายหน้าและกล่าวว่า “ผู้คนบนโลกมนุษย์ต่างก็ต้องพึ่งพาตัวเอง ถ้าหากหวังพึ่งแต่พระเจ้าช่วยโลกหละก็ สมควรอดตายทั้งเป็น”

“แต่ แต่ว่าต้องมีพระเจ้าช่วยโลกจริงๆ อย่างแน่นอน” แต่เดิมเย่ซินเสวี่ยที่ไม่ยอมโต้แย้งกับใคร ถึงกับอดที่จะพูดขึ้นมาว่า “ข้า ข้าเคยอ่านตำราโบราณเล่มหนึ่ง ได้บันทึกการศึกสงครามหนึ่งเอาไว้ ที่สิบสามทวีปนี้เคยระเบิดศึกขึ้นมาครั้งหนึ่งที่เรียกว่าศึกล่าราชัน เบื้องหลังของการศึกครั้งนี้ก็มีผู้จัดตั้งอยู่ผู้หนึ่ง เกรงว่าผู้ที่จัดตั้งศึกครั้งนี้ไม่แน่นักก็คือพระเจ้าผู้ช่วยโลก เหมือนเช่น ‘ตำนานเกี่ยวกับมนุษยชาติ’ เล่มนี้ที่ได้เขียนเอาไว้อย่างนั้น เบื้องหลังของมนุษย์มีเงาสายหนึ่งคอยปกป้องอยู่ ในยามคับขันเขาก็จะออกมาช่วยเหลือพวกเรา”

หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา เมื่อเห็นท่าทีของเย่ซินเสวี่ยที่ยกเหตุผลโต้แย้งกับตนเต็มที่ ในเวลานี้นับเป็นอะไรที่น่าสนใจ คนอื่นเอ่ยถึงตัวเขา เขากลับปฏิเสธการดำรงอยู่ของสิ่งนี้

“สิ่งนี่เป็นได้แค่บันทึก ไม่สามารถอาศัยความจริงไปยืนยันเรื่องนี้ได้จริงจัง” หลี่ชิเย่พูดขึ้นมาเรียบเฉย

เย่ซินเสวี่ยที่อาศัยเหตุผลโต้แย้งแต็มที่เมื่อได้ยินคำพูดลักษณะเช่นนี้แล้ว ความเร่าร้อนของนางเสมือนหนึ่งถูกน้ำเย็นราดลงบนศีรษะโดยพลันถึงกับห่อเหี่ยวลง แต่นางยังไม่ยอมแพ้ พูดเสียงอ่อยๆ ว่า “ความ ความจริงเรื่องที่บันทึกในนั้นเหมือนจริงมาก บางทีอาจสามารถตรวจสอบดูได้”

“เช่นนั้นแล้วทำไมเจ้าไม่ลองไปตรวจสอบดูหละ?” หลี่ชิเย่หัวเราะขึ้นมา

เวลานี้เย่ซินเสวี่ยดูจะห่อเหี่ยวไปบ้าง ท่าทีเหมือนมีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงอย่างนั้น นิ่งเงียบอยู่พักใหญ่ นางจึงได้พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “ข้า ข้า ข้าทำไม่ได้ เนื่องจากต้องเดินทางไกลมาก ต้องไปสถานที่หลายแห่งมาก”

ความจริงแล้ว ภายในใจของเย่ซินเสวี่ยรู้สึกให้ความสนใจเป็นอย่างยิ่งต่อตำนานของมนุษย์ชาติว่ามีอยู่จริงหรือไม่ และนางอยากรู้นักว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ กระทั่งบางครั้งในใจของนางได้บังเกิดความรู้สึกอยากจะไปศึกษาสักครั้ง

ลองนึกภาพดู หากหญิงสาวคนหนึ่งไม่ยอมไปฝึกปรือให้จริงๆ จังๆ กลับหลงไหลไปกับเรื่องที่เลื่อนลอยถึงเพียงนี้ แล้วจะให้คนในครอบครัวของนางเห็นด้วยได้อย่างไรกัน? อีกอย่าง การที่จะไปตรวจสอบตำนานที่เลื่อนลอยเช่นนี้ เกรงว่าคงต้องวิ่งไปทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งสิบสามทวีป สิ่งนี้จำเป็นต้องอาศัยศิลาขมุกขมัวจำนวนมากเป็นค่าเดินทางผ่านมิติ ซึ่งหาใช่หญิงสาวคนหนึ่งเช่นนางสามารถแบกรับได้ไหวอยู่แล้ว

หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มจางๆ เมื่อมองเห็นท่าทางที่มีลมหายใจแต่ไร้เรี่ยวแรงของเย่ซินเสวี่ย จึงกล่าวว่า “บางทีทุกเรื่องราวล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ เหมือนอย่างที่เจ้าคิดอย่างนั้น เรื่องบางเรื่องก็ไม่แน่ว่าจะเป็นเรื่องที่เลื่อนลอย เพียงแต่เจ้าจะยึดติดมันเอาไว้ในใจหรือไม่เท่านั้นเอง”

“อาจารย์พูดแบบ แบบ แบบนี้ แสดงว่าก็เชื่อว่าเป็นเรื่องจริงแล้วรึ?” เมื่อเย่ซินเสวี่ยได้ยินคำพูดเช่นนี้พลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา ถึงกับพูดขึ้นมาด้วยความรู้สึกดีใจเล็กๆ

“เชื่อก็มี ไม่เชื่อก็ไม่มี” หลี่ชิเย่เพียงตอบเรียบเฉย จากนั้นได้เปลี่ยนหัวข้อสนทนาว่า “นักศึกษาอื่นๆ อีกสองคนหละ?”

นักศึกษาอื่นๆ อีกสองคน…การเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างกะทันหัน่ของหลี่ชิเย่ ทำให้เย่ซินเสวี่ยไม่ทันระวังตั้งตัว จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ผู้เฒ่าหลิว และพี่หวังพวก พวกเขากำลังเรียน ใช่แล้ว พวกเขากำลังท่องตำราและศึกษาเล่าเรียนอยู่”

ครั้นเย่ซินเสวี่ยกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกใจหวิวขาดความมั่นใจ คำพูดที่พูดออกมาดูจะไม่มั่นใจนัก รีบก้มหน้าลง จากนั้นแอบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่งเหมือนเกรงว่าหลี่ชิเย่จะไปเจออะไรเข้า

พฤติกรรมเช่นนี้ของเย่ซินเสวี่ยถูกสายตาของหลี่ชิเย่จับภาพเอาไว้ทั้งมด เขาเผยรอยยิ้มจางๆ แล้วหัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ท่องตำราและศึกษาเล่าเรียนนะเนี่ย เอาเถอะ พาข้าไปดูพวกเขาหน่อย”

“ข้า ข้า ข้า…” ในขณะนี้เย่ซินเสวี่ยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี สุดท้าย นางพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้า ถ้า ถ้าไม่อย่างนั้น ข้า ข้าไปตามพวกเขามา”

“ไม่ต้องแล้ว” หลี่ชิเย่ โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “ในเมื่อข้าก็เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่นี่แล้ว ข้าสมควรใส่ใจต่อนักศึกษาของตน ข้าไปดูด้วยตนเองก็แล้วกัน”

เย่ซินเสวี่ยจนด้วยเกล้าเมื่อหลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ ได้แต่ฝืนใจพาหลี่ชิเย่ไป

ความจริงแล้ว เรือนตำรากว้างใหญ่มากและไม่ได้มีเฉพาะห้องหอที่เอาไว้เก็บตำราเท่านั้น แต่หมายรวมถึงพื้นที่ทั้งหมดแห่งนี้ เนื่องจากผืนแผ่นดินที่งดงามได้มีการก่อสร้างเป็นห้องหอวิหารโบราณจำนวนไม่น้อย และบรรดาห้องหอวิหารโบราณจำนวนมากล้วนแล้วแต่เก็บซ่อนตำราเอาไว้ กระทั่งหน้าผาสูงชันบางแห่งก็ยังมีการเจาะเป็นถ้ำ และภายในถ้าเหล่านี้ได้เก็บซ่อนตำราเอาไว้เป็นจำนวนมากเช่นกัน

เรียกได้ว่าผืนแผ่นดินที่เป็นเรือนตำราแห่งนี้มีตำราอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกๆ ภูเขา ทุกๆ แม่น้ำก็ได้เก็บซ่อนตำราเอาไว้

ท่ามกลางผืนแผ่นดินที่เป็นที่ตั้งเรือนตำราแห่งนี้ ไม่เพียงเก็บรวบรวมตำราจำนวนมหาศาลเอาไว้ อีกทั้งบริเวณนี้ยังมากด้วยป่าหิน ภาพวาดฝาผนัง รูปแกะสลักต่างๆ ณ สถานที่แห่งนี้ได้มีการจารึกสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย

ส่วนใหญ่แล้วบรรดาภาพวาดบนฝาผนัง และหรือตัวอักษรที่สลักเอาไว้มาจากชนรุ่นก่อน บางส่วนอัจฉริยะบุคคลของสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ฝากเอาไว้ ส่วนหนึ่งมาจากผู้มาเยือน กระทั่งบางส่วนเป็นลายมือของราชันเซียนหรือเซียนหวัง

บรรดาภาพวาดฝาผนังและอักษรแกะสลักเหล่านี้ มีบางส่วนที่ทำขึ้นมาอย่างประณีตตั้งใจดั่งช่างฝีมือ ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากอารมณ์สุนทรีที่เกิดขึ้นมากะทันหัน ส่วนใหญ่จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชา ส่วนใหญ่เป็นประเภทร่ายโคลงกลอนชมจันทร์อะไรประมาณนั้น

ในเวลานี้เย่ซินเสวี่ยได้พาหลี่ชิเย่เข้าไปในป่าหินแห่งหนึ่งที่มีหินตั้งสูงตระหง่าน หินผาแต่ละลูกที่ตั้งสูงตระหง่านมีรูปลักษณ์ที่แตกต่างกันออกไปสารพัด…

แต่ว่า มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่บนยอดเขาได้มีการฝากลายมือเอาไว้ กระทั่งมีผู้ที่วาดภาพวาดเอาไว้

เมื่อลองพิจารณาดูลายมือและหรือภาพวาดเหล่านี้แล้ว ส่วนใหญ่เกิดขึ้นตามอารมณ์ ไม่ได้ตั้งใจไปแกะสลักให้ประณีตสักเท่าไร อีกทั้งสิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่ได้มาจากบุคคลเดียวกัน บ้างแค่เขียนไปประโยคสองประโยคตามอารมณ์ บ้างเขียนต่อเนื่องเป็นบทความบรรยาย

บ้างมีการจารึกชื่อหรือฉายาเอาไว้ใต้ลายมือ ส่วนใหญ่จะไม่มีการจารึกชื่อฉายาเอาไว้ จัดเป็นประเภทบุคคลนิรนาม

เวลานี้เย่ซินเสวี่ยได้พาหลี่ชิเย่ลึกเข้าใปในส่วนลึกของป่าหิน ที่ตรงนั้นปรากฎคนผู้หนึ่งได้ปีนขึ้นไปบนยอดเขา ใช้ผ้าผืนที่มีขนาดใหญ่มากทำการปิดทับลายมือทั้งหมดที่มีอยู่บนยอดเขานั้น จากนั้นทำการพิมพ์ลอกลายที่เป็นลายมือนั้นออกมาทั้งหมด

ผู้ที่ดูเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างกำยำมาก มีร่างกายที่แข็งแรง เปี่ยมด้วยกำลัง ผิวออกเป็นสีดำแดงบนแขนสองข้างได้สวมคู่กำไลทองแต่ละคู่เอาไว้ ดูไปแล้วให้ความรู้สึกมีพละกำลังเป็นอันมาก

“พี่ใหญ่หวัง” เย่ซินเสวี่ยรีบโบกไม้โบกมือทักทายอย่างดีใจ เมื่อมองเห็นชายวัยกลางคนแต่ไกล

“น้องซินเสวี่ย เจ้ามาแล้วรึ อ๋อ รอสักครู่ กำลังจะเสร็จแล้วหละ” ชายวัยกลางคนสาระวนกับการพิมพ์ลอกลายอยู่พูดออกมาพร้อมหัวเราะเสียงดัง เสียงของเขากังวานดั่งระฆัง

“พี่ใหญ่หวังชื่นชอบพิมพ์ลอกลายสิ่งของต่างๆ เขาได้ทำการพิมพ์ลอกลายภาพวาดฝาผนังของเรือนตำราไปเป็นจำนวนมาก” เย่ซินเสวี่ยพูดเสียงแผ่วเบากับหลี่ชิเย่ พร้อมกับเผยรอยยิ้มออกมา

หลี่ชิเย่ยืนอยู่ตรงนั้นโดยไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงมองดูชายวัยกลางคนผู้นี้ที่ทำการลอกพิมพ์ลายมือที่อยู่บนยอดของหินออกมาทั้งหมดเงียบๆ เท่านั้น

หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ชายวัยกลางคนนี้ได้ทำการลอกพิมพ์ลายที่เป็นลายมือบนยอดของหินลูกนี้ไว้แล้วเสร็จสิ้น เขาจึงกระโดดลงมาและก้าวเดินเข้ามาหา

“อุ๊ย! ในที่สุดน้องซินเสวี่ยของพวกเราก็ได้เบิกเนตรแล้ว ไม่ขลุกอยู่แต่ในบ้านอ่านตำราอย่างเดียว ในที่สุดก็รู้จักออกมานัดพบกับผู้ชายได้แล้ว ก้าวหน้ามาก พวกเราต่างมั่นใจในตัวเจ้า” ชายวัยกลางคนมองดูหลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ข้างกายเย่ซินเสวี่ย ยกนิ้วโป้งให้และพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท