ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล – ตอนที่ 1998 เรือนตำรา

ตอนที่ 1998 เรือนตำรา

เวลานี้ หลี่ชิเย่ หดฝ่ามือกลับมาและไม่ได้มองดูเหยียนเฉินเซินที่ถูกตบจนกระเด็นสักแวบ เพียงกล่าวเรียบๆ ขึ้นมาว่า “ข้าหาใช่คนที่ใจกว้าง ไม่เชื่อฟัง สมควรตบปาก!”

บรรดานักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเมื่อเห็นเหยียนเฉินเซินถูกหลี่ชิเย่ตบด้วยหนึ่งฝ่ามือจนกระเด็น นับเป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นอาจารย์ที่ลงมือครั้งแรกก็เล่นงานนักศึกษาจนบาดเจ็บสาหัส อาจารย์เช่นนี้นับว่าลงมือได้โหดจริงๆ

อวี่เชียนเสวียนมองดูนักศึกษาเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้า สั่งการออกไปว่า “กลับไปกันได้” แล้วไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้อีก

“คุณชาย เชิญด้านใน ข้าเป็นตัวแทนของเหล่าผู้เฒ่าของสถาบันต้อนรับการมารับตำแหน่งอาจารย์ของคุณชายหลี่ การมาของคุณชายนับเป็นเกียรติอย่างยิ่งของสถาบัน!” อวี่เชียนเสวียนกล่าวต่อหลี่ชิเย่

หลี่ชิเย่พยักหน้าให้อวี่เชียนเสวียน จากนั้นตบศีรษะที่ก้มต่ำของเถาถิงเบาๆ หัวเราะและกล่าวว่า “นังหนู พยายามเข้า อย่าทำให้ชื่อเสียงของบรรพบุรุษต้องเสื่อมเสีย จากนี้ไปข้าเป็นผู้คุ้มครองเจ้า มีเรื่องอะไรสามารถมาหาข้าได้” จบคำยิ้มนิดหนึ่ง แล้วติดตามอวี่เชียนเสวียนเข้าประตูไป

ในเวลานี้ คงเหลือเถาถิงที่ยืนเหม่อลอยอยู่นานสองนานเพียงคนเดียว นางไม่สามารถได้สติกลับมาในขณะนี้ และไม่สามารถเข้าใจคำพูดเช่นนี่ของหลี่ชิเย่ได้

แรกทีเดียวเถาถิงยังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงยอดฝีมือธรรมดาๆ เท่านั้นเอง ไม่นึกเลยว่าเขากลับสามารถเป็นอาจารย์ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้

สมควรทราบว่า มาตรฐานการเข้าไปเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้านั้นสูงมาก ไม่เพียงแค่มีทักษะยุทธสูงส่งเพียงอย่างเดียวก็ได้แล้ว ต่อให้ลำพังแค่ว่ากันด้วยเรื่องทักษะยุทธ เกรงว่าก็ต้องอยู่ในระดับจอมเทพขึ้นไปจึงมีคุณสมบัติพอที่จะเป็นอาจารย์ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้

เวลานี้หลี่ชิเย่สามารถเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ ย่อมสามารถประเมินถึงความแข็งแกร่งของเขาได้แล้ว ด้วยผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้อยู่ข้างกายของนางตลอดมา นางกลับไม่รู้อะไรเลย ยังทำเซ่อๆ ซ่าๆ คอยให้ความช่วยเหลือเขาอยู่

สำหรับตัวเหยียนเฉินเซินไม่กล้ารั้งอยู่ที่ตรงนี้นาน ภายใต้การพยุงของนักศึกษาคนอื่นๆ หนีจากที่นี่ไปด้วยความเศร้าหมองนานแล้ว ครั้งนี้เดิมทีเขาคิดอยากจะสั่งสอนหลี่ชิเย่สักครั้งเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าตัวเองกลับจะต้องเป็นฝ่ายเสียหน้าอย่างแรง ทั้งยังไม่สามารถแก้แค้นต่อหลี่ชิเย่อีกด้วย ต่อให้ในใจของเขามีความอัดอั้นมากมายเพียงใดก็ตาม ได้แต่กลืนมันลงท้องไปเท่านั้น

อวี่เชียนเสวียนนำพาหลี่ชิเย่เข้าไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้า มุ่งหน้าไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของเรือนตำรา แม้จะกล่าวว่าประตูด้านทิศใต้คือประตูที่อยู่ใกล้กับเรือนตำรามากที่สุด ในความเป็นจริงแล้วก็ห่างกันนับหมื่นลี้

พื้นที่ของสถาบันศึกษาเทพเจ้ากว้างใหญ่เหลือเกิน เมื่อเดินเหินอยู่กลางอากาศ มองเห็นภาพของแม้น้ำใหญ่ที่คดเคี้ยว ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ทะลุเมฆา ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเทือกเขาขนาดยักษ์ที่อยู่บนพื้นดิน พฤกษาดึกดำบรรพ์ไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงเทียมฟ้า เป็นผืนแผ่นดินที่งดงามยิ่งปรากฎอยู่ตรงหน้า

อีกทั้งบริเวณผืนแผ่นดินแห่งนี้ไม่เพียงมีพลับพลาลอยฟ้า หอโบราณที่สร้างอยู่บนยอดเขาขนาดยักษ์ ท่ามกลางพื้นที่แห่งนี้ยังมีกำแพงเมืองขนาดยักษ์สามถึงห้าแห่ง ท่ามกลางกำแพงเมืองแต่ละแห่งดูคึกคักอย่างยิ่ง ผู้คนที่เดินเออัดยัดเยียดผ่านไปผ่านมา มีสินค้าให้เลือกซื้อหาได้ทุกอย่าง

อาจกล่าวได้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ได้เป็นเพียงสถานศึกษาเท่านั้น ในบางแง่มุมมันเหมือนเป็นแคว้นๆ หนึ่งมากกว่า เพียงแต่มันไม่ได้มีโครงสร้างของความเป็นแคว้นเท่านั้นเอง

“เรือนตำรามีนักศึกษาเพียงแค่สามคนเท่านั้น” อวี่เชียนเสวียนได้พูดกับหลี่ชิเย่ขณะอยู่ระหว่างเดินทาง “ไม่ทราบว่าคุณชายมีความเห็นเป็นเช่นใด?”

“สามคนก็สามคน” หลี่ชิเย่พูดออกมาตามอารมณ์ยิ่งนัก เพียงเอ่ยเรียบๆ ขึ้นมาว่า “ยุคสมัยเปลี่ยนไป ทุกคนต่างเร่งรัดในการฝึกปรือ แต่กลับลืมบางสิ่งไป และหรือยุคสมัยไม่ได้เปลี่ยน แต่ผู้คนบนโลกมักจะต้องการความสำเร็จและผลประโยชน์ที่รวดเร็ว เพียงแต่มองโลกในแง่ดีมากกว่าเก่าเท่านั้นเอง” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วต้องทอดถอนใจออกมา

“ฟังจากเหล่าผู้เฒ่าของสถาบันเล่าว่า ยุคหลังๆ มานี้นักศึกษาของเรือนตำราลดน้อยลงไปมากจริงๆ ไม่เหมือนเก่าก่อน” อวี่เชียนเสวียนยิ้มกล่าวเจื่อนๆ

จะมีสักกี่คนที่ยินดีถ่อมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณีกันเล่า ทุกคนที่มายังสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่ต้องการฝึกบำเพ็ญเพียร ต้องการฝึกเคล็ดวิชา ฝึกปรือสุดยอดวิชาในหล้า กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากแล้ว การมาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์ ขนบธรรมเนียมประเพณีเป็นการเสียเวลาเปล่า สูญเสียพลังงานโดยใช่เหตุ

“สิ่งนี้ก็คือข้อแตกต่างระหว่างมนุษย์ปุถุชนธรรมดากับผู้มีปัญญา” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “บางคนเข้าใจเหตุผลสิ่งนั้น บางคนสามารถทนต่อความอ้างว้างได้ ดังนั้นพวกเขาสามารถยืนอยู่บนจุดสูงสุด การที่เหล่าราชันเซียนได้ทิ้งเรือนตำราเช่นนี้เอาไว้ ไม่ได้ต้องการให้ชนยุคหลังมารำลึกถึงตนเองเท่านั้น และไม่ได้ต้องการให้ประวัติศาสตร์ได้บันทึกเรื่องราวของตนเอง”

“ถ้าหากสามารถเข้าใจถึงความลึกซึ้งพิสดารที่อยู่ภายใน ไหนเลยต้องไปกังวลวันในโลกนี้ปราศจากเคล็ดวิชาประหลาดที่จะฝึก” อวี่เชียนเสวียนพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดเช่นนี้ นางที่มีชาติกำเนิดมาจากจวนกู่ นางรู้อะไรมากกว่า และเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “เทพโบราณกุยฝานก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น”

เมื่อพูดถึงเรือนตำราแล้ว ทุกคนต่างรู้ว่าเรือนตำราเป็นสถานที่ที่บันทึกเรื่องราวต่างๆ ของราชันเซียนเก้าแดนและเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ และยังได้บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมประเพณีของสิบสามทวีป ในสายตาของผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากมองว่าเรือนตำราเป็นเพียงคลังตำราแห่งหนึ่งเท่านั้น มีไว้เพื่อเผยแพร่และยกย่องผลงานวีรกรรมของราชันเซียนเก้าแดน เซียนหวังร้อยชาติพันธุ์เท่านั้น มันหาใช่ชั้นเรียนที่เหมาะแก่การฝึกปรือ ดังนั้นนักศึกษาจำนวนมากต่างไม่ยินดีเข้าศึกษาในเรือนตำรา

แต่ผู้คนบนโลกนี้กลับไม่รู้ว่า ในฐานะที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นสิ่งที่ใหญ่โตมโหฬารและเก่าแก่โบราณ มันกลับมีชั้นเรียนที่เป็นเรือนตำราเช่นนี้เอาไว้ ทั้งยังจัดวางอยู่ในตำแหน่งร่วมกับอีกสี่ชั้นเรียน ในนั้นย่อมต้องมีความหมายที่ลึกซึ้งอยู่แล้ว ข้างในซ่อนความลึกซึ้งพิสดารที่บุคคลทั่วไปไม่สามารถรับรู้ได้ มีเพียงผู้ที่อดทนต่อความอ้างว้าง และสะกดจิตแห่งการบำเพ็ญเพียร เอาไว้ได้ จึงจะสามารถได้รับดอกผลจากที่ตรงนี้ได้

เทพโบราณกุยฝานคือหนึ่งในนั้น แน่นอนที่สุด สิ่งที่เทพโบราณกุยฝานร่ำเรียนมาชั่วชีวิตย่อมไม่ได้มาจากเรือนตำรา และเขาก็ไม่ได้อาศัยเรือนตำราไปได้สุดยอดเคล็ดวิชาบางอย่างแล้วจึงปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า

ขณะที่เทพโบราณกุยฝานยังอยู่ในวัยหนุ่มเคยมาอยู่ที่เรือนตำรามาก่อน เทพโบราณกุยฝานเคยทำการศึกษาอย่างตั้งอกตั้งใจอยู่ในเรือนตำรา สุดท้าย ทำให้เขาได้รับเคล็ดวิชาคืนสู่ปุถุชนฉบับสมบูรณ์ที่เป็นต้นฉบับ เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับเส้นทางในอนาคตของเขา

“มนุษย์บนโลกพื้นๆ ธรรมดา ปล่อยพวกเขาไปเถอะ” หลี่ชิเย่เรียบเฉย กล่าวขึ้นมาตามอามรมณ์ยิ่ง

“คุณชายมีความต้องการอะไรหรือไม่ขณะอยู่ที่สถาบันแห่งนี้?”

“ขอเพียงมีข้าวกินข้าก็พึงพอใจมากแล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “สำหรับสิ่งอื่นๆ ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”

อวี่เชียนเสวียนอ้าปากทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี เหมือนว่าผู้ดำรงอยู่ในฐานะเฉกเช่นหลี่ชิเย่ไม่น่าเป็นไปได้ที่จะมาเป็นอาจารย์สอนหนังสือในสถาบันศึกษาเทพเจ้า ไม่น่ามีเวลาว่างมากไม่มีอะไรทำถึงขนาดต้องมาฆ่าเวลาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า

ส่วนหลี่ชิเย่จะมาด้วยเหตุอันใดนั้น อวี่เชียนเสวียนเดาไม่ถูก แม้แต่บรรดาเหล่าผู้เฒ่าในสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็คาดเดาไม่ถูกเช่นกัน

“ทำไมรึ? มีอะไรก็พูดมาเถอะ” เมื่อหลี่ชิเย่มองเห็นท่าทางของอวี่เชียนเสวียนที่เหมือนจะพูดแล้วก็ไม่พูด

อวี่เชียนเสวียนได้เรียบเรียงคำพูดด้วยความระมัดระวัง สุดท้ายจึงได้กล่าวว่า “บรรดาผู้เฒ่าต้องการถามคุณชายว่าต้องการสิ่งใด หากคุณชายมีสิ่งที่ต้องการ บางทีเหล่าผู้เฒ่าอาจจะช่วยตามหาให้คุณชายได้บ้าง”

“ข้ารู้” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา และกล่าวว่า “บรรดาตาเฒ่าของสถาบันยังไม่วางใจ ยังคงระแวดระวังตัวข้า ซึ่งก็นับเป็นเรื่องปรกติ ในบรรดาตาเฒ่าของสถาบันอสุรายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?”

“ผู้เฒ่าอสุรายังคงมีชีวิตอยู่” เมื่ออวี่เชียนเสวียนได้ยินหลี่ชิเย่เอ่ยถึงชื่อบุคคลผู้นี้ถึงกับเย็นวาบในใจ

“นำสิ่งนี้ไปมอบให้กับเขา เขาก็จะรู้ว่าข้าเป็นใครแล้ว” หลี่ชิเย่ยื่นของสิ่งหนึ่งให้กับอวี่เชียนเสวียนไปตามอารมณ์

หลังจากที่อวี่เชียนเสวียนรับเอาของสิ่งนี้มาพิจารณาอย่างละเอียด แต่นางดูไม่ออกว่ามีความลึกซึ้งพิสดารอย่างไร นางเก็บสิ่งนี้เอาไว้อย่างระวัง และกล่าวว่า “คุณชายโปรดวางใจ ข้าจะต้องนำมันมอบให้กับบรรพบุรุผู้เฒ่าอสุราอย่างแน่นอน ไม่ทราบว่าคุณชายยังมีสิ่งใดจะสั่งการหรือไม่?”

“ตอนนี้ยังไม่มี ปล่อยให้ข้าได้สอนหนังสืออย่างสบายใจสักหลายวันก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มนิดหนึ่ง จากนั้นมองหน้าอวี่เชียนเสวียนแล้วกล่าวว่า “นังหนู ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีความสงสัย ถูกต้อง ที่ข้ามาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าต้องการค้นหาสิ่งของสิ่งหนึ่งเป็นความจริง เพียงแต่สิ่งของที่ข้าต้องการค้นหา ตาเฒ่าในสถาบันช่วยอะไรข้าไม่ได้หรอกนะ สิ่งนี้ราชันเซียนเฟย ราชันเทพจงหนานต่างก็ไม่สามารถบรรลุได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพวกเขาอีกเลย”

คำพูดที่พูดไปตามอารมณ์นี้ทำให้ภายในใจของอวี่เชียนเสวียนเย็นวาบทีหนึ่ง ทั้งราชันเซียนเฟย ราชันเทพจงหนานต่างดำรงอยู่ในฐานะอะไร พวกเขาคือราชันเซียนและจอมราชันระดับสูงสุดเลยนะ เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติจัดให้มีการเดินทางไกลเพื่อการปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายขึ้นมาได้

เวลานี้หลี่ชิเย่กลับบอกว่าแม้แต่ราชันเซียนเฟย ราชันเทพจงหนานต่างก็ไม่สามารถบรรลุได้บรรลุถึงความลึกซึ้งพิสดารที่ซ่อนอยู่ในนั้นช่างสะเทือนฟ้าเช่นใด สุดยอดในหล้าปราศจากผู้เทียบเทียมเพียงใด

“เป็นอะไรไป สถาบันศึกษาเทพเจ้ากลายเป็นระมัดระวังรอบคอบเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” ในขณะที่อวี่เชียนเสวียนกำลังตะลึงงันอยู่บ้าง หลี่ชิเย่จ้องมองนางแวบหนึ่งยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันศึกษาเทพเจ้ากับจวนกู่ไม่ต้องกล่าวให้มากความ ต่อให้ไม่มีจวนกู่ของพวกเจ้า ในโลกนี้ยังจะมีใครสามารถสั่นคลอนต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ ที่ผ่านมาสถาบันศึกษาเทพเจ้าเคยกลัวใครที่ไหนกัน?”

อวี่เชียนเสวียนทำท่าจะพูด แต่ก็หุบปากเงียบ นางอยากจะพูด แต่เรื่องบางเรื่องกลับพูดไม่ได้

“ดูท่าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวเฉยเมยขึ้นว่า “ไม่เพียงยุคสมัยกำลังเปลี่ยน ของบางอย่างในสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอด บางทีสิ่งนี้อาจเป็นเคราะห์กรรมอย่างหนึ่งกระมัง”

คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ภายในใจของอวี่เชียนเสวียนต้องเย็นวาบทีหนึ่ง เนื่องจากสิ่งที่เกี่ยวพันถึงสะเทือนฟ้ามากเหลือเกิน นางไม่ต้องการพูดถึง แต่นางกลับรู้สึกว่าหลี่ชิเย่คาดเดาอะไรบางอย่างได้ลางๆ

เรือนตำราไม่เหมือนจวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่บริเวณที่เป็นศูนย์กลางของสถาบันศึกษาเทพเจ้า และเรือนตำราก็ไม่ได้คึกคักเหมือนอย่างจวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์

เรือนตำราสร้างอยู่ท่ามกลางภูเขาที่สูงชัน ณ ที่ตรงนี้สามารถมองเห็นภูเขาสูงชันแต่ละลูกที่ตั้งตระหง่าน คล้ายดั่งดวงดาวที่กระจายไปทั่ว ด้วยลักษณะที่เป็นสถานที่ที่อยู่ท่ามกลางภูเขาสูงชันเช่นนี้ สามารถมองเห็นหอโบราณแต่ละหลังที่ก่อสร้างอยู่ท่ามกลางหน้าผาสูงชัน และมีบ้านศิลาแต่ละหลังที่สร้างขึ้นด้วยการขุดเจาะอยู่ท่ามกลางหน้าผาที่สูงชะโงก…

ท่ามกลางภูเขาที่สูงชันสามารถมองเห็นสะพานหินแต่ละสะพานที่พาดผ่าน ถนนศิลาแต่ละสายที่ทอดยาวออกไป ใบไม่ร่วงลงมาบางเบา ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ส่ายโอนเอนไปมา ทั่วทั้งผืนแผ่นดินดูจะเงียบสงัด และมีความสงบมากเป็นพิเศษ

เมื่อเปรียบเทียบกับจวนราชัน หอศักดิ์สิทธิ์ที่มีบรรยากาศสารพันแล้ว เรือนตำราดูจะเงียบสงบยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีก เหมือนว่าสถานที่แห่งนี้ไม่ต้องการให้ใครมารบกวนอย่างนั้น กระทั่งคนที่เดินผ่านมาบริเวณนี้ถึงกับต้องก้าวเดินอย่างแผ่วเบา

แต่ว่ายามที่คนๆ หนึ่งก้าวเข้าไปในเรือนตำราแล้ว หากว่าบุคคลนั้นมีความแข็งแกร่งมากพอ สามารถรับรู้ได้ถึงกลิ่นอายที่แตกต่างอย่างหนึ่ง มีบรรยากาศที่แตกต่างอย่างหนึ่ง แน่นอนบรรยากาศและกลิ่นอายเช่นนี้หาใช่ผู้บำเพ็ญตนทั่วไปสามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว

“ที่ตรงนี้เคยมีราชันเซียนจำนวนเท่าไรได้ฝากรอยเท้าเอาไว้ และมีเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่ได้ฝากลายมือเอาไว้ ครั้งนั้นราชันเซียนเฟย และราชันเทพจงหนานทิ้งแผ่นดินผืนนี้เอาไว้เรียกได้ว่าอาศัยความพยายามอย่างสูงยิ่ง น่าเสียดายที่ชนรุ่นหลังกลับไม่มีใครรู้” หลังจากที่หลี่ชิเย่ก้าวเท้าเข้าไปในเรือนตำราแล้ว ยิ้มจางๆ และเอ่ยขึ้น

……………………………………..

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

ราชันอหังการ Emperor’s Domination จักรพรรดิบรรพกาล

Status: Ongoing

สิบล้านปีก่อน หลี่ชีเย่ตัดไผ่เขียวขจีหนึ่งลำ   แปดล้านปีก่อน หลี่ชีเย่เลี้ยงปลาไนหนึ่งตัว ห้าล้านปีก่อน หลี่ชีเย่รับเลี้ยงเด็กสาวหนึ่งคน   วันนี้ ทันทีที่หลี่ชีเย่ตื่นขึ้น กิ่งไผ่เขียวบำเพ็ญตนจนกลายเป็นวิญญาณเทพ ปลาไนกลายร่างเป็นมังกรทอง เด็กสาวกลายเป็นจักรพรรดินีเก้าแดน  นี่คือเรื่องราวของการฝึกฝน เรื่องราวของเด็กหนุ่มปุถุชนที่มีชีวิตอมตะ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท