เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว หลี่ชิเย่หยุดนิดหนึ่ง แล้วกล่าวต่อขึ้นมาช้าๆ ว่า “ผู้รู้จักกาลเทศะเป็นยอดคน สำหรับผู้ที่รู้จักกาลเทศะข้าจะปฏิบัติต่อเขาอย่างดี นี่แหละคือรูปแบบการทำงานของข้า”
คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้เมี่ยวฉานต้องทอดถอนใจภายในใจเบาๆ ผู้คล้อยตามข้าเจริญรุ่งเรือง ฝ่าฝืนข้าดับ คำพูดที่อันธพาลเช่นนี้คงออกมาจากปากของหลี่ชิเย่ได้เท่านั้น
ต่อให้ใต้หล้ามีผู้คนจำนวนมากที่ทำเช่นนี้ แต่ก็จะไม่พูดออกมา และหรือแสร้งทำเป็นผู้มีคุณธรรมอย่างนั้น แต่ หลี่ชิเย่ไม่เพียงทำแล้ว ทั้งยังพูดออกมาด้วย เป็นความพาลที่ซึ่งๆ หน้า ไม่มองผู้ใดอยู่ในสายตาทั้งสิ้น ความพาลเช่นนี้ตั้งอยู่บนรากฐานของพลังที่มีความแข็งแกร่งอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
“อีกอย่าง ที่ข้าชี้ทางสว่างให้กับเจ้า นั่นเป็นเพราะเจ้ามาจากเก้าแดน” เวลานี้หลี่ชิเย่จ้องมองไปที่เมี่ยวฉาน แล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ผู้กล้าจากเก้าแดนของพวกเราที่สามารถขึ้นมาแดนสิบ มีอยู่กี่คนที่ไม่ใช่ประเภทเกรียงไกรไปทั่วหล้า ทอดสายตามองไปยังประวัติศาสตร์ของสิบสามทวีป ราชันเซียนจากเก้าแดนที่ขึ้นมาแม้ว่าจะไม่ได้มากเท่ากับจอมราชันเซียนหวังซึ่งถือกำเนิดอยู่ในพื้นที่ แต่ว่า ราชันเซียนเก้าแดนของพวกเราด้อยกว่าใครเสียเมื่อไหร่!”
“แม้ว่าเจ้าจะไม่ใช่ราชันเซียน แต่หากพูดถึงด้านพรสวรรค์และสติปัญญาแล้ว นับว่าเป็นผู้ที่สามารถให้การส่งเสริมได้” หลี่ชิเย่พูดท่าทีเฉยเมยว่า “ในเมื่อเจ้าขึ้นมาเหยียบบนผืนแผ่นดินแห่งนี้แล้ว ก็พยายามฝึกปรือให้ดี อย่าได้ทำให้ชื่อเสียงของผู้กล้าเก้าแดนต้องมัวหมอง และอย่าทำให้ชื่อเสียงที่ปรัชญาเมธีของเก้าแดนสร้างเอาไว้ต้องเสียไป!”
คำพูดของหลี่ชิเย่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวในใจให้กับเมี่ยวฉาน ที่นางได้ขึ้นมายังแดนสิบ เรียกได้ว่าเป็นเพราะโอกาสและวาสนาต่างๆ นานา เป็นเพราะนางไม่ได้อาลับอาวรณ์ต่อเก้าแดนอีกแล้ว นางจึงยอมทุ่มเทเสี่ยงกับมันสักครั้ง เพื่อมาดูว่าโลกที่ใหม่ทั้งหมดนี้สักครั้ง ต่อให้ต้องตายบนเส้นทางสายนี้นางก็ไม่มีสิ่งใดต้องเสียใจ
ครั้นนางได้มาถึงแดนสิบแล้ว นางถูกดึงดูดใจโดยโลกใบนี้ ภายใต้การชี้แนะของราชันเซียนผู้เป็นบรรพบุรุษ นางจึงได้ฝึกบำเพ็ญเพียรต่อไปและไม่ได้คิดอะไรมากมายนัก ยิ่งไม่ได้นึกถึงระดับความสูงลักษณะเช่นนี้
เมื่อหลี่ชิเย่พูดเช่นนี้ในเวลานี้ ทันใดนั้น เหมือนได้เปิดประตูบานใหญ่ให้กับนางอย่างนั้น พริบตาเดียวนั้นเอง นางเสมือนหนึ่งได้ทำการสำรวจโลกใบนี้จากมุมมองที่ใหม่ทั้งหมด
เดิมทีเมี่ยวฉานก็เป็นสุดยอดคนฉลาดคนหนึ่งอยู่แล้ว พริบตาเดียวนั้นนางดูร่าเริงปลอดโปร่งขึ้นมาทันที พลันเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ทันใดนั้น นางได้กลับกลายเป็นคนที่ดูมีราศีและกระฉับกระเฉง ตัวของนางดูเจิดจ้าสว่างไสวและมีราศีเพิ่มขึ้นไม่น้อยทีเดียว
“ขอบคุณคุณชายที่ชี้แนะ ทำให้น้องทะลุปรุโปร่งขึ้นมาโดยทันที คำพูดของคุณชายมีค่ามากกว่าการทำความบรรลุของน้องในสิบกว่าปีที่ผ่านมา” เมี่ยวฉานที่ทะลุปรุโปร่งขึ้นมาในทันทีทำให้นางแลดูกระฉับกระเฉงมีราศี ทันใดนั้นเอง ภาพรวมของนางดูเปล่งประกายที่สดชื่นออกมา
อาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่นางรู้ประสาเป็นต้นมา นางได้เสียเวลาอยู่กับความรักระหว่างชายหญิงมากเกินไป ภายใต้ความทะเยอทะยานที่ต้องการครอบครองใต้หล้าของรัชทายาทจินอูในช่วงเวลานั้น นางต้องหมุนเต้นไปตามจังหวะของเขา ช่วยวางแผนคิดอุบายให้กับเขา ช่วยให้เขาได้ปกครองหุบเขากีบสวรรค์
ภายหลังรัชทายาทจินอูถูกสังหาร หุบเขากีบสวรรค์ถูกทำลาย ทำให้นางจิตตกไปช่วงเวลาที่ยาวมากช่วงหนึ่ง แม้ว่าภายหลังนางจะก้าวออกจากภาวะซบเซาขึ้นมายังแดนสิบได้ แต่ภายในใจของนางยังคงมีเมฆหมอกสีดำที่สลัดไม่ออกอยู่เช่นนั้น
เวลานี้ นาทีนี้คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันปัดเป่าเมฆหมอกสีดำที่อยู่ภายในใจของเมี่ยวฉานจนกระจัดกระจายไป ทำให้นางรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นในทันที ทันใดนั้น นางเสมือนหนึ่งได้มองเห็นโลกในโฉมใหม่ทั้งหมด
“พยายามเข้าไว้ อาศัยสติปัญญาของเจ้า อาศัยพรสวรรค์ของเจ้า ขอเพียงเจ้ายืนหยัดต่อไป ในอนาคตจะต้องมีที่ที่ให้เจ้ายืนในสิบสามทวีปเป็นแน่แท้ สิ่งนี้หาใช่เป็นความคุ้มครองภายใต้ร่มเงาของราชันเซียนที่เป็นบรรพบุรุษของเจ้า แต่เป็นเพราะเจ้าเองมีศักยภาพไปทำให้เป็นความจริง” หลี่ชิเย่พยักหน้า
เมี่ยวฉานถึงกับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าผู้ที่เคยเป็นศัตรูมาก่อน กลับช่วยนางให้ผลักประตูอีกบานในใจออกมา ทำให้นางได้เปิดหน้าต่างอีกบาน และกลับมาทบทวนตัวเองใหม่อีกครั้ง
“เมื่อคุณชายพูดเช่นนี้แล้ว หากน้องยังไม่พยายาม เท่ากับละอายต่อทุกคนที่มีความคาดหวังสูงบนตัวข้า” เมี่ยวฉานโค้งคารวะต่อหลี่ชิเย่อย่างสุดซึ้ง
หลี่ชิเย่พยักหน้า หันหลังออกเดินทันที
“คุณชาย เทพธิดาเหมยก็อยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า วันนี้สวนชาได้เปิดแล้ว เทพธิดาเหมยอยู่บรรลุสัจธรรมที่ใต้ต้นสนเซียน” ก่อนที่หลี่ชิเย่จะเดินจากไป เมี่ยวฉานรีบเอ่ยขึ้นมา
“นังหนูคนนี้” เมื่อหลี่ชิเย่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ขึ้นมา และกล่าวว่า “นางเองก็ก้าวเดินออกมาจากสิ่งกีดขวางภายในใจของตน” กล่าวพลางเดินออกไปข้างนอก
ในขณะที่หลี่ชิเย่จากไปนั้น เมี่ยวฉานได้เดินมาส่งด้วยตัวเอง กระทั่งออกไปนอกบริเวณศาลเจ้าเก่าแก่
บริเวณด้านนอกศาลเจ้าเก่าแก่ พวกของยุวกษัตริย์หกกระบี่และบรรดาอัจฉริยะบุคคลของศตาคารรออยู่ที่ตรงนั้น หลังจากหลี่ชิเย่ออกมาแล้วท่าทีของพวกเขาไม่ค่อยจะเป็นมิตรนัก โดยเฉพาะยุวกษัตริย์หกกระบี่ที่จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีน่าเกรงขาม ดวงตาทั้งสองปรากฏปณิธานการฆ่าออกมา
โดยเฉพาะยามที่เมี่ยวฉานเดินเคียงคู่ออกมา ท่าทีที่เผยให้เห็นถึงความสนิทสนม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมี่ยวฉานดูจะคล้อยตามหลี่ชิเย่ ซึ่งส่งผลให้ยุวกษัตริย์หกกระบี่ยิ่งรู้สึกไม่สบอารมณ์มากขึ้น แววตาฉายให้เห็นถึงปณิธานการฆ่าสายหนึ่ง
ยุวกษัตริย์หกกระบี่นั้นมีใจต่อเมี่ยวฉาน ซึ่งหาได้เป็นความลับอะไรในศตาคาร ยุวกษัตริย์หกกระบี่เคยเปิดยุทธการตามจีบเมี่ยวฉาน แต่ทว่า เมี่ยวฉานยังคงวางเฉยเป็นปรกติไม่หวั่นไหว
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ยุวกษัตริย์หกกระบี่เข้าใจว่าตนเองนั้นยังมีโอกาสสูงมาก จะอย่างไรเสียไม่ว่ากับใครก็ตาม เมี่ยวฉานก็จะมีท่าทีที่วางเฉยเป็นปรกติเช่นนี้ ยิ่งไปกว่านี้ในศตาคารยังจะมีใครหน้าไหนที่มีคุณสมบัติมากกว่าเขาหละ? ด้วยชาติกำเนิด ด้วยพรสวรรค์ ด้วยกำลังความสามารถที่สามารถบดขยี้นักศึกษาชายในศตาคารได้ทุกคน
แต่ว่า เวลานี้พลันปรากฏผู้ชายที่ไม่ปรากฏชื่อโผล่ขึ้นมากะทันหัน ถึงกับมีสัมพันธ์ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับเมี่ยวฉานภายในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะเมี่ยวฉานที่ดูจะคล้อยตามเขา มันเป็นท่าทีที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิง สิ่งนี้พลันทำให้ยุวกษัตริย์หกกระบี่บังเกิดความริษยาขึ้นมาอย่างแรง ส่วนลึกภายในแววตาจึงมีปณิธานการฆ่าที่เต้นระริกอยู่
แน่นอน ยุวกษัตริย์หกกระบี่ยังไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่เป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ถ้าหากเขารู้ถึงข้อนี้หละก็ ไม่รู้ว่าจะมีความคิดอย่างไร
เดิมทีหลังจากที่หลี่ชิเย่ออกจากศาลเจ้าเก่าแก่แล้วไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเหมยซู่เหยา เขาวางใจในตัวของเหมยซู่เหยาอย่างยิ่ง จะอย่างไรเสียพรสวรรค์ของนางเป็นที่ประจักษ์อยู่แล้ว แต่ทว่า ยามที่เขามองไปทางทิศตะวันออกนั้น มองเห็นกลิ่นอายสีม่วงที่ลอยขึ้นมา หลี่ชิเย่เพ่งมองแล้วถึงกับยิ้มเจื่อนๆ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “นังหนูคนนี้ แม้ว่าจะสลัดความหรูหราทิ้งไป แต่ยังคงมีจิตที่ต้องการช่วงชิงความเป็นหนึ่ง” กล่าวพลางมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกทันที
ด้านทิศตะวันออกมียอดเขาสูงลูกหนึ่ง ที่ตรงนี้ยังคงอยู่ในอาณาบริเวณของสวนชา บนยอดเขาสูงลูกนี้มีต้นสนเซียนอยู่ต้นหนึ่ง ต้นสนเซียนต้นนี้มีใบสีเขียวที่ร่ายรำเฉิบฉับ มีกลิ่นอายเซียนที่ลอยขึ้นมา
เล่าลือกันว่า ในสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีนักศึกษาที่เป็นอัจฉริยะบุคคลมาบรรลุสัจธรรมอยู่ใต้ต้นสนเซียนต้นนี้ หนึ่งในจำนวนนั้นที่เลื่องลือที่สุดย่อมเป็นเซียนหวังสองประสานแล้ว เล่าลือกันว่า ขณะที่เซียนหวังสองประสานสองสามีภรรยาขณะยังเป็นหนุ่มสาวมักจะมาบรรลุสัจธรรมอยู่ใต้ต้นสนเซียนต้นนี้เสมอๆ และนับแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาพวกเขาก็บังเกิดมีใจให้แก่กัน
ต้นสนเซียนต้นนี้จะมีไอหมอกเซียนล้อมรอบทั้งปี ยามที่นั่งบรรลุสัจธรรมใต้ต้นสนต้นนี้นั้น สามารถทำให้จิตใจและสติปัญญามีความชัดเจน เชื่อมต่อฟ้าดิน ทำให้ผู้คนได้รับประโยชน์ไม่น้อยทีเดียว
แน่นอน ใช่ว่าทุกคนสามารถรองรับผลประโยชน์นี้ได้ หากว่าเป็นผู้มีสติปัญญาอ่อนด้อย จิตแห่งการบำเพ็ญเพียรไม่มั่นคง การมาบรรลุสัจธรรมที่ใต้ต้นสนต้นนี้มีโอกาสจิตล่องลอยออกไปโดยไม่สามารถเรียกสติกลับมา และนั่งอยู่ตรงนี้สามถึงห้าปีจนแห้งก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปรกติ
ด้วยเหตุนี้เอง ภายหลังนักศึกษาทั่วไปก็จะไม่มานั่งบรรลุสัจธรรมใต้ต้นสนเซียนต้นนี้ เนื่องจากหากไม่ทันระวังจิตวิญญาณก็จะกลับเข้าร่างไม่ได้ นั่งเหี่ยวแห้งอยู่ใต้ต้นสนเซียนสามถึงห้าปีก็เป็นเรื่องปรกติมาก ไม่ว่าใครก็ไม่ต้องการเสี่ยง ดังนั้น ผู้ที่กล้านั่งบรรลุสัจธรรมใต้ต้นสนเซียนล้วนแล้วแต่เป็นบรรดานักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่เป็นอัจฉริยะบุคคลเท่านั้น
ต้นสนเซียนขึ้นอยู่บนยอดเขา โดยที่บริเวณยอดเขาเป็นลานที่กว้างขวางใหญ่โตมาก สามารถรองรับผู้คนได้หนึ่งถึงสองร้อยคน ในขณะนี้บนยอดเขามีนักศึกษาจำนวนร้อยกว่าคนที่นั่งอยู่ตรงนั้น ตั้งใจฟังอยู่เงียบๆ
นักศึกษาที่นั่งฟังธรรมอยู่ที่ตรงนี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษาจากหอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชันที่มีพรสวรรค์และยอดเยี่ยมที่สุด ทั้งหมดถือเป็นนักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลทั้งสิ้น พวกเขามานั่งอยู่ที่นี่ก็เพื่อสนทนาและแลกเปลี่ยนธรรมะ
แน่นอนที่สุด การสนทนาและแลกเปลี่ยนธรรมะเช่นนี้ก็ไม่ได้ห้ามไม่ให้ใครมาร่วมด้วย เพียงแต่ผู้ที่สามารถมานั่งสนทนาและแลกเปลี่ยนธรรมะล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษาจากหอศักดิ์สิทธิ์และจวนราชันสองชั้นเรียนที่เป็นระดับหัวกะทิและมีศักยภาพมากที่สุด โดยเฉพาะเฉกเช่นเทพบุตรซือจงที่เป็นสุดยอดอัจฉริยะบุคคลในหล้า ซึ่งทำให้ผู้คนจำนวนมากต้องสลดและอับแสงลง
จากการที่มีนักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลมากมายมาสนทนาแลกเปลี่ยนธรรมะที่ตรงนี้ นักศึกษาทั่วไปจึงอับอายที่ต้องการนั่งอยู่ตรงนี้ จะอย่างไรเสียบรรดานักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลเหล่านี้พลันอ้าปากก็เป็นความลึกซึ้งพิสดารของสัจธรรม พูดพล่ามน่าฟังโดยเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ นักศึกษาที่มีพรสวรรค์ทั่วไปหากไปนั่งด้วยกันกับพวกเขาแล้วไม่สามารถแสดงความสามารถของตน มิเป็นการประจานตัวเองหรือ
ในขณะนี้ เหมยซู่เหยานั่งอยู่ภายใต้ต้นสนเซียนต้นนั้น นางเอื้อนเอ่ยขึ้นมาช้าๆ เสียงสัจธรรมล้วนแล้วแต่ออกมาจากปากของนาง ยามที่นางสนทนาธรรมอยู่นั้น มองเห็นต้นสนเซียนปรากฏกลิ่นอายเซียนที่ทิ้งตัวห้อยลงมา กลิ่นอายเซียนออกเป็นสีม่วง ทำการยกตัวของเหมยซู่เหยาขึ้นมาเบาๆ เดิมทีเหมยซู่เหยาก็มีรูปโฉมที่งามหยาดเยิ้มในหล้าอยู่แล้ว สวยไม่มีที่ติ เวลานี้เมื่อนางถูกยกให้ลอยขึ้นโดยกลิ่นอายเซียน ยิ่งดูเหมือนเป็นนางฟ้าที่ลงมาจากสวรรค์ ทำให้จิตใจของผู้คนต้องสั่นไหว
ยิ่งไปกว่านั้น เหมยซู่เหยาที่ส่งเสียงบรรยายธรรมออกมา เสียงกังวานดั่งคำบัญชา และทำให้บรรดานักศึกษาที่นั่งฟังจนประหนึ่งมัวเมาปัญญาอ่อน
เดิมทีเหมยซู่เหยาเพียงต้องการอาศัยงานมหกรรมชิมชาครั้งนี้เพื่อบรรลุภายใต้ต้นสนเซียนแห่งนี้ เพื่อสำนึกในประสบการณ์ด้านสัจธรรมที่เพิ่งสำนึกได้เร็วๆ นี้ให้มากยิ่งขึ้น ไม่นึกเลยว่า นักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลของหอศักดิ์สิทธิ์ และจวนราชันจำนวนไม่น้อยก็ได้ทยอยกันมาบรรลุสัจธรรมที่นี่ด้วย
ในระหว่างที่มีการสนทนาธรรมกัน นักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันสนับสนุนให้เหมยซู่เหยาเป็นผู้บรรยายธรรม
ขณะที่อยู่เก้าแดน เหมยซู่เหยาเคยเป็นผู้สอนบรรยายธรรม ภายหลังนางไม่รู้สึกสนุกกับการบรรยายธรรมอีก หลังจากมาถึงแดนสิบแล้ว นางเพียงตั้งใจบำเพ็ญเท่านั้น ไม่ต้องการให้เกิดเรื่องราวมากเกินไป
แต่ทว่าในขณะนี้ มีนักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลชายหญิงจำนวนนับร้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพร้อมใจกันสนับสนุนไห้นางบรรยายธรรม เหมยซู่เหยาขัดศรัทธาไม่ได้ จึงหยิบยกเอาสัจธรรมพื้นฐานที่เป็นตำนานมากที่สุดของสถาบันศึกษาเทพเจ้าท่อนหนึ่งขึ้นมาบรรยายไปตามอารมณ์
ขณะที่นางกำลังบรรยายสัจธรรมพื้นฐานท่อนนี้อยู่นั้น นางบรรยายได้ยอดเยี่ยมสุดเปรียบเปรย ทำให้บรรดานักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลชายหญิงจำนวนกว่าร้อยคนสดับฟังจนเหมือนดั่งคนมัวเมา
โดยเฉพาะยามที่นางพูดถึงจุดที่มหัศจรรย์ยิ่งฟังแล้วรู้สึกลึกลับและมหัศจรรย์ยิ่ง ต้นสนเซียนถึงกับส่งกลิ่นอายเซียนลงมามากมายเพื่อทำการปกป้องคุ้มครองเหมยซู่เหยาเอาไว้
“บรรยายได้ยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน” หลังจากที่เหมยซู่เหยาบรรยายจนจบ พลันปรากฏเสียงปรบมือดังกึกก้อง ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาชายหรือหญิงก็ตาม บรรดานักศึกษาระดับอัจฉริยะบุคคลต่างปรบมือกันอย่างคึกคัก
เป็นความจริงที่ความรู้และพรสวรรค์ของเหมยซู่เหยาทำให้นักศึกษาจำนวนมากสยบทั้งกายและใจ นางไม่เพียงมีรูปโฉมที่งดงาม ความรู้ความสามารถและศักยภาพของนางล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับสุดยอด เปี่ยมด้วยความรู้ความสามารถและรูปโฉม ถูกยกย่องให้เป็นสาวงามอันดับหนึ่งของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ซึ่งนับว่าคู่ควรแล้ว
“รุ่นน้องบรรยายได้ตื่นเต้นเหลือเกิน สามารถเทียบเคียงกับอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าพวกเราแล้ว” แม้แต่นักศึกษาหญิงระดับอัจฉริยะบุคคลที่เข้าศึกษาก่อนและยาวนานกว่าเหมยซู่เหยาก็อดที่จะชมเปาะและสยบทั้งกายและใจ