สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีนักศึกษาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะนักศึกษาของศตาคารยิ่งมีจำนวนมากถึงนับหมื่นคน แม้จะกล่าวว่านักศึกษาของศตาคารส่วนใหญ่มาจากชนชั้นรากหญ้า และหรือเรียกได้ว่าส่วนใหญ่มาจากสำนักขนาดเล็ก
แต่ทว่า ส่วนใหญ่ที่มีชาติกำเนิดมาจากชนชั้นรากหญ้าและหรือสำนักขนาดเล็ก ล้วนแล้วแต่นำมาเปรียบเทียบกับสายสำนักราชันเซียน ดังนั้น ต่อให้เป็นเพียงสำนักขนาดเล็กพวกเขายังคงมีธาตุแท้ภายในอยู่บ้างเหมือนกัน
เถาถิงนั้นมาจากหมู่บ้านชนบทขนาดเล็ก อีกทั้งบรรพบุรุษนับเนื่องขึ้นไปสามรุ่นล้วนแล้วแต่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาเท่านั้น ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าใช่ว่าจะไม่มีลักษณะเช่นนี้ เพียงแต่เป็นส่วนน้อยมากเท่านั้น
ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่อให้เป็นนักศึกษาที่มาจากชนชั้นรากหญ้าจริงๆ บรรพบุรุษของพวกเขามากบ้างน้อยบ้างก็เคยเป็นผู้บำเพ็ญตนมาก่อน ต่อให้เป็นแค่ผู้บำเพ็ญตนไร้สังกัดชั่วดีอย่างไรก็ยังคงเป็นผู้บำเพ็ญตนคนหนึ่ง อย่างน้อยก็ยังมีผู้ชี้แนะแนวทาง
เถาถิงนั้นกลับแตกต่างกัน บรรพบุรุษนับเนื่องขึ้นไปสามรุ่นล้วนแล้วแต่เป็นเพียงมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา และหรือผู้แก่ผู้เฒ่าของหมู่บ้านเถาล้วนแล้วแต่เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา พวกเขากับเถาถิงอยู่กันคนละโลกโดยสิ้นเชิง ต่อให้เถาถิงมีความในใจอะไรก็ตาม และหรือถูกใครรังแกมาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า นางก็ไม่สามารถพูดกับคนในครอบครัว และไม่สามารถบอกกล่าวต่อผู้อาวุโสได้
เวลานี้หลี่ชิเย่ให้ความห่วงใยขนาดนี้ พลันทำให้ภายในใจของเถาถิงรู้สึกอบอุ่น นับตั้งแต่รู้จักกับหลี่ชิเย่เป็นต้นมา หลี่ชิเย่ก็ได้ให้ความรู้สึกสนิทสนม เสมือนหนึ่งเป็นญาติของนางอย่างนั้น
ในจังหวะที่นางกำลังโดดเดี่ยวและลำบากยากแค้น คำพูดที่ปลอบประโลมของหลี่ชิเย่อบอุ่นเข้าไปถึงภายในหัวใจของนาง นางหาใช่โดดเดี่ยวเช่นนั้น
“ข้าเข้าใจคำพูดของอาจารย์” หลังจากที่เถาถิงฟังคำของหลี่ชิเย่แล้ว ทำให้รู้สึกดีขึ้นภายในใจไม่น้อย พยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าเพียงต้องการฝึกบำเพ็ญเพียรให้ดี วันหน้าจะได้เข้าเรียนในชั้นหอศักดิ์สิทธิ์”
คำพูดนี้ของเถาถิงก็นับเป็นเสียงจากส่วนลึกในใจของนาง นางก้าวออกมาจากหมู่บ้านชนบทเล็กๆ กลายเป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะสนุบสนุนในพรสวรรค์ของนาง แต่จะอย่างไรเสียนางก็มีจุดเริ่มต้นมาจากศูนย์ อีกทั้งพรสวรรค์ของนางยังไม่ถึงขั้นที่ทางสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะยินยอมให้นางเข้าเรียนในหอศักดิ์สิทธิ์เป็นกรณีพิเศษได้ ดังนั้น นางจะต้องเริ่มต้นที่ศตาคาร เมื่อมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมแล้วก็จะถูกคัดเลือกให้เข้าเรียนในชั้นหอศักดิ์สิทธิ์ได้
เนื่องเพราะเหตุนี้เอง เถาถิงจึงมุมานะบากบั่นไม่ท้อถอยขณะอยู่ในสถาบันศึกษา พยายามฝึกบำเพ็ญเพียร โดยไม่ไปข้องเกี่ยวกับความรักระหว่างชายหญิง แต่ว่า บ่อยครั้งที่เรื่องราวไม่ได้ง่ายเพียงนั้น
“ข้าเข้าใจ มีคนจ้องหาเรื่องเจ้า” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “แต่ว่า เจ้าวางใจได้ สถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นสำนักที่ตั้งตระหง่านมายุคแล้วยุคเล่า ขอเพียงเจ้าเป็นทองก้อนหนึ่งอย่างแท้จริง อย่างไรเสียก็ต้องเปล่งประกายออกมาไม่ถูกฝังกลบเอาไว้แน่นอน ภายในสถาบันใช่จะมีอาจารย์เพียงคนเดียว อาจารย์หลายคนจ้องมองดูเจ้าอยู่ ขอเพียงเจ้าพยายามฝึกบำเพ็ญเพียรให้ดี ขอเพียงตบะของเจ้ามีความก้าวหน้า วันหน้าต้องได้รับคัดเลือกให้เข้าไปในหอศักดิ์สิทธิ์อยู่แล้ว สิ่งที่เจ้าจะต้องทำก็คือ ฝึกบำเพ็ญเพียรโดยที่จิตใจไม่วอกแวกก็พอ”
หลี่ชิเย่เคยสอนอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้ามาก่อน มีหรือจะไม่รู้สึกเหตุการณ์ภายในของสถาบันศึกษาเทพเจ้า? ทีใดมีคนที่นั่นย่อมมีการแก่งแย่ง ทุกๆ ปี ทุกๆ รุ่นไม่รู้ว่ามีนักศึกษาจากศตาคารจำนวนเท่าไรที่ต้องการเข้าไปอยู่ในหอศักดิ์สิทธิ์ สภาพการแย่งชิงรุนแรงขนาดใหนย่อมสามารถจินตนาการได้
เฉกเช่นเถาถิงที่เป็นนักศึกษาซึ่งไม่มีผู้สนับสนุนไม่มีเบื้องหลัง เมื่อไปอยู่ในฐานะคู่ชิงย่อมจะต้องได้รับการบีบคั้นจากนักศึกษาคนอื่นๆ อยู่เสมอๆ ถ้าหากเถาถิงมีพรสวรรค์ธรรมดาๆ ก็แล้วไป แต่พรสวรรค์ของเถาถิงกลับไม่เลวนัก มีโอกาสเข้าสู่หอศักดิ์สิทธิ์สูงมาก ย่อมต้องถูกคนบางคนมองว่าเป็นหนามยอกอกแล้ว
“ขอบคุณอาจารย์ที่ชี้แนะ” หลังจากที่เถาถิงได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่เช่นนี้ ทำให้หายใจโล่งอกไปที มีท่าทีเหมือนได้พบกับแสงสว่าง เมฆหมอกที่มืดครึ้มซึ่งปกคลุมภายในใจหายไปสิ้น จะอย่างไรเสียนางมีชาติกำเนิดมาจากหมู่บ้านชนบทเล็กๆ นอกจากอาศัยความเพียรพยายามของตนบวกกับพรสวรรค์ที่ไม่เลวนักของตนแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาสู้กับนักศึกษาคนอื่นๆ
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ในเวลานี้ ทำให้เถาถิงดูจะมั่นใจมากขึ้น ในเมื่อผู้เป็นอาจารย์อย่างหลี่ชิเย่ยังมั่นใจขนาดนี้ เช่นนั้นแล้วนางก็ไม่ต้องไปกังวลบรรดานักศึกษาที่มีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเจ้าลัทธิจะมีวิธีการหรือธาตุแท้ภายในอย่างไรกันอีกแล้ว
“เจ้าทำการฝึกบำเพ็ญเพียรให้สบายใจก็พอ เรื่องอื่นๆ เจ้าไม่ต้องไปสนใจ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบๆ ว่า “หากมีใครเขารังแกเจ้าจริง หรือใช้เล่ห์กลอะไรหละก็ บอกข้าคำหนึ่งก็พอ”
“ขอบคุณอาจารย์” คำพูดที่ใกล้ชิดของหลี่ชิเย่ทำให้เถาถิงรู้สึกอบอุ่นในใจ และซาบซึ้งอยู่ในใจ
หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มๆ และทอดถอนใจในใจขณะมองดูเถาถิง เดิมทีบรรพบุรุษของตระกูลเถาไม่ต้องการให้ลูกหลานของตนเข้าไปในโลกของผู้บำเพ็ญตนอีกต่อไป แต่มาวันนี้ เถาถิงได้ก้าวสู่สถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้ว บางทีนี่อาจเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง ดังนั้น เขาก็แค่ทำตัวแบบตามน้ำเท่านั้น เห็นแก่บรรพบุรุษของนางจะช่วยเหลือนางอีกแรง หวังว่านางสามารถบินไปได้สูงกับเส้นทางสายนี้
“โย้ว นี่ไม่ใช่เด็กเรียบร้อยของศตาคารพวกเรารึ?” ในเวลานี้เอง เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงฟังดูแล้วเยาะเย้ยอยู่ในที
ด้านนอกร้านสุราแห่งนี้มีผู้หญิงเดินเข้ามาภายในร้านสามถึงห้าคน ผู้หญิงสามถึงห้าคนเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทั้งสิ้น อายุอานามดูแล้วราวสิบแปด ทุกคนล้วนแล้วแต่มีลักษณะที่งดงามประทับใจผู้คน ยิ่งผู้ที่เป็นผู้นำแล้วดูสะสวยยิ่งนัก มีความสวยหยาดเยิ้มสายหนึ่ง สวมใส่อาภรณ์ดูสูงส่ง ท่วงท่ามีท่าทีที่ข่มเหงเหนือผู้คนอยู่เจ็ดส่วน ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้ได้ทันทีว่าชาติกำเนิดของนางไม่เบา
ผู้ที่พูดคำๆ นี้ออกมาก็คือนักศึกษาหญิงผู้นี้ นางเดินเข้ามาหาเถาถิง บนใบหน้าแฝงไว้ซึ่งท่าทีของการยิ้มเยาะเย้ย
หลังจากที่ผู้หญิงคนนี้เดินเขามาหาแล้ว มองดูเถาถิง แล้วก็เหลือบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง ด้วยใบหน้าที่เหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม และกล่าวว่า “โย้วเด็กเรียบร้อยศตาคารของพวกเราแอบหนีมาอยู่ที่นี่ นี่คิดจะทำอะไรรึ? แอบพรอดรักกับชายคนรักรึ? ทำไม มีชายคนรักแล้วไม่กล้าเปิดเผย ได้แต่แอบมาพลอดรักแบบนี้ หรือเกรงว่าจะถูกพวกรุ่นพี่เหยียนรู้เข้าอย่างนั้นรึ?”
เถาถิงพลันมีใบหน้าที่แดงก่ำเมื่อได้ยินคำพูดของผู้หญิงคนนี้ แต่ว่านางยังคงควบคุมความโกรธเอาไว้ ชักสีหน้าและพูดน้ำเสียงเย็นชาว่า “เย่เฉี่ยวเซียง อย่าได้พูดอะไรพล่อยๆ อยู่ตรงนี้!”
“พูดพล่อยๆ รึ? ” ผู้หญิงคนนี้หัวเราะออกมาและกล่าวว่า “ไม่อย่างนั้นแล้ว เจ้ากับผู้ชายคนหนึ่งมาทำลับๆ ล่อๆ อยู่ตรงนี้ทำไม? นอกจากกำลังทำเรื่องที่ต้องปกปิดไม่ให้ผู้อื่นรู้ยังจะทำอะไรได้อีกเล่า?”
”รุ่นพี่เย่ ไม่แน่นักนางอาจจะไม่ได้แอบพลอดรักกับผู้ชายแค่คนเดียวนะเนี่ย” นักศึกษาหญิงอีกคนที่มาด้วยกันก็หัวเราะขึ้นมา ถือโอกาสฉีกหน้าของเถาถิง
“นั่นสิ ฮึคนแซ่เถาคบผู้ชายไม่เลือกหน้า หากให้รุ่นพี่เหยียนรู้เข้าหละก็ รับรองโดนเขี่ยกระเด็นแน่เลย” นักศึกษาหญิงอีกคนกล่าวสนับสนุน
นักเรียนหญิงเหล่านี้พูดกันคนละคำสองคำ พวกนางจงใจทำลายชื่อเสียงของเถาถิง คำพูดเหล่านี้ทำเอาใบหน้าของเถาถิงแดงก่ำ เพลิงแค้นสุมอก หากเป็นผู้อื่นคงอาละวาดขึ้นมาทันทีแล้ว
“เด็กเรียบร้อย สายตาของเจ้าออกจะแย่มากเลยนะ ต่อให้ต้องแอบพลอดรักผู้ชายก็ต้องหาผู้ชายที่ได้มาตรฐานหน่อย ดูเจ้าผู้ชายคนนี้มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น สายตาในการเลือกผู้ชายของเจ้าออกจะชั้นต่ำเกินไปแล้วกระมัง คงไม่ใช่ประเภทกินไม่เลือก ดังนั้น จึง…” เวลานี้ ผู้หญิงที่มีชื่อว่าเย่เฉี่ยวเซียงเหลือบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง กล่าวคำดูแคลนออกมา
“ก่อนที่ข้ายังไม่ระเบิดอารมณ์ออกมา จงไสหัวไปให้พ้นเดี๋ยวนี้” เย่เฉี่ยวเซียงพูดยังไม่ทันจบ หลี่ชิเย่ก็แทรกตัดบทนาง กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
“เจ้าเดรัจฉานน้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้านี่แหละเป็นใคร? ถึงกับกล้าพูดจาโอ้อวดไร้ยางอาย ไม่เห็นรึ ต่อหน้าข้าชู้รักของเจ้าไม่กล้ากระทั่งผายลม? ข้านี่แหละศิษย์ของพรรคทะยานฟ้า คุณหนูของข้าคือองค์หญิงของพรรคทะยานฟ้า” เมื่อถูกหลี่ชิเย่พูดใส่ต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ สีหน้าของผู้หญิงที่มีชื่อว่าเย่เฉี่ยวเซียงพลันแปรเปลี่ยนไป จึงอาศัยอิทธิพลข่มเหงผู้คน
เพียะ…เย่เฉี่ยวเซียงพูดยังไม่ทันจบ หนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ฟาดเข้าไปเต็มๆ เย่เฉี่ยวเซียงไม่มีโอกาสแม้แต่ขัดขืน ถูกหนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ตบกระเด็นพุ่งชนกำแพงของร้านสุราจนพัง กระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง แม้แต่ฟันยังหักหลายซี่
“ข้าพูดแล้วว่าไสหัวออกไป!” หลี่ชิเย่พูดเรียบเฉยขึ้นมา
จากการที่หลี่ชิเย่อาศัยหนึ่งฝ่ามือตบจนเย่เฉี่ยวเซียงกระเด็นไป พลันทำให้นักศึกษาหญิงหลายคนที่มาด้วยกันถึงกับถูกสยบเอาไว้ เวลานี้พวกนางต่างจ้องมองหลี่ชิเย่แบบงงๆ พวกนางนึกไม่ถึงว่าถึงกับมีคนกล้าตบเย่เฉี่ยวเซียงจนกระเด็นต่อหน้าธารกำนัลเช่นนี้ได้ อีกทั้งหนึ่งฝ่ามือยังตบจนฟันของนางแตกละเอียด
“เจ้า เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายรุ่นพี่ของพวกเรา นาง นางคือศิษย์ของพรรคทะยานฟ้าเลยนะ คุณหนูของพวกเราคือองค์หญิงของพรรคทะยานฟ้า” นักศึกษาหญิงผู้หนึ่งได้สติกลับมา จึงพูดออกมาด้วยท่าทีแข็งนอกอ่อนใจต่อหลี่ชิเย่
“ไสหัวไป…” หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะมองหน้าของนางสักครั้งด้วยซ้ำ
นักศึกษาหญิงเหล่านี้พลันถูกสยบโดยท่าทีของหลี่ชิเย่ไม่กล้าพูดอะไรอีก พวกนางล้วนแล้วแต่เป็นเพียงนักศึกษาธรรมดาเท่านั้น ไม่เคยพบเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน
นักศึกษาหญิงเหล่านี้ร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง บังเกิดความหวาดกลังบ้างขึ้นมา รีบเข้าไปพยุงเย่เฉี่ยวเซียงที่ถูกตบจนกระเด็นลุกขึ้น
“เจ้า เจ้า เจ้าหนู เจ้ารออยู่นี่ ข้าจะต้องมาคิดบัญชีกับเจ้าแน่ ถ้าหากเจ้าสามารถยืนอยู่ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ ข้าจะไม่แซ่เย่” ภายใต้การพยุงของนักศึกษาหลายคน ก่อนจากเย่เฉี่ยวเซียงยังไม่ยินยอม…จึงได้ทิ้งท้ายด้วยคำพูดชั่วร้ายเอาไว้
หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจนาง เพียงจิบน้ำชาด้วยท่าทีเอ้อระเหยเท่านั้นเอง
เถาถิงละสายตากลับมา หลังจากมองตามพวกของเย่เฉี่ยวเซียงจากไปแล้ว กล่าวด้วยท่าทีกังวลใจอยู่บ้างว่า “เย่เฉี่ยวเซียงคือศิษย์ของพรรคทะยานฟ้าคุณหนูของนางคือองค์หญิงของพรรคทะยานฟ้า นายน้อยทะยานฟ้าที่มีชื่อเสียงโด่งดังของสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเราก็คือศิษย์พี่ของนาง”
ที่แท้ผู้หญิงที่มีชื่อว่าเย่เฉี่ยวเซียงคือศิษย์ของพรรคพรรคทะยานฟ้าเดิมทีนางคือสาวใช้ขององค์หญิงของพรรคทะยานฟ้า ต่อมาอาศัยการแนะนำขององค์หญิงของพรรคทะยานฟ้าเข้าเป็นคือศิษย์ของพรรคพรรคทะยานฟ้าเรียกได้ว่าบินขึ้นไปบนต้นไม้พลันกลายเป็นหงส์
เนื่องจากองค์หญิงของพรรคทะยานฟ้าคุณหนูของนางสมัครเข้าเป็นนักศึกษาสถาบันศึกษาเทพเจ้า นางจึงติดตามมาและกลายเป็นนักศึกษาของศตาคาร ซึ่งนางเองต้องการเป็นนักศึกษาชั้นหอศักดิ์สิทธิ์ ย่อมไม่ต้องสงสัย เถาถิงได้กลายเป็นคู่แข่งของนาง นางจึงมองเถาถิงในฐานะหนามยอกอก
“แล้วเป็นอย่างไร?” หลี่ชิเย่กล่าวตอบเรียบเฉย
เถาถิงตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมา นางเองถึงกับต้องอึ้งและมีท่ามีเก้อเขินอยู่บ้าง เมื่อครู่เกือบลืมฐานะของหลี่ชิเย่ไป
แม้จะกล่าวว่า ผู้สนับสนุนของเย่เฉี่ยวเซียงยิ่งใหญ่มาก แต่ทว่า หลี่ชิเย่นั้นมีฐานะเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ต่อใหผู้สนับสนุนของเย่เฉี่ยวเซียงยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม อย่างไรเสียนางก็เป็นเพียงนักศึกษาคนหนึ่งของสถาบันศึกษาเทพเจ้าเท่านั้นเอง แล้วจะไปทำอะไรกับหลี่ชิเย่ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์ได้เล่า
เมื่อเถาถิงได้สติกลับมาจึงเอ่ยขึ้นมาเบาๆ ว่า “ขอบคุณอาจารย์” รู้สึกซาบซึ้งในใจยิ่งนัก แม้มีพันคำหมื่นวจี สุดท้ายแล้วก็พูดได้เพียงคำนี้คำเดียวเท่านั้น
ปรกติแล้วกลุ่มของเย่เฉี่ยวเซียงไม่เคยลดละที่จะยั่วยุนาง ซึ่งโดยปรกติหากนางสามารถอดกลั้นเอาไว้ก็อดกลั้นเพื่อให้เรื่องมันยุติ น้อยครั้งนักที่จะขัดแย้งซึ่งหน้ากับพวกของเย่เฉี่ยวเซียง จะอย่างไรเสีย ฝ่ายตรงข้ามมีคนมากกว่า หากเข้าปะทะโดยหักหาญ นางไม่แน่เสมอไปว่าจะได้เปรียบ