กลุ่มภูเขาขึ้นลงสลับ ในเวลานี้ ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้มีนักศึกษามาถึงท่ามกลางภูเขาแต่ละลูกที่ตั้งอยู่ ทุกคนต่างรอคอยการเปิดของสวนชา
แน่นอน บริเวณเทือกเขาและกลุ่มของภูเขาที่บรรดานักศึกษาทั้งหมดอยู่ ณ ตอนนี้ยังไม่ใช่ส่วนชา เป็นเพียงทางเขาสวนชาเท่านั้นเอง
คิดจะเข้าไปในสวนชาจะต้องรอจนกว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าเปิดสวนชาออกมาก่อน หากสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่เปิดส่วนชาให้ เป็นไปไม่ได้ที่ใครจะเข้าไปได้
ตูม ตูม ตูม…ท่ามกลางเสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอก ทันใดนั้นบนท้องฟ้าปรากฏรั้วกั้นไม้สองบาน ได้ยินเสียงดังเอี๊ยด ในขณะที่รั้วกั้นไม้ถูกเปิดออก มองเห็นไอหมอกปริมาณนับไม่ถ้วนที่เทราดลงมา เพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น บริเวณที่เป็นภูเขาทั้งหมดในบริเวณนี้ก็ถูกไอหมอกกลืนกินจนหายวับไปในพริบตาเดียว
ในขณะนี้ นักศึกษาทั้งหมดทยอยกันกระโดดโลดเต้น คล้ายดั่งขับเมฆขี่หมอก ดูไปแล้วดุจดั่งเป็นเซียนอย่างนั้น
สวนชาเปิดแล้ว…ครั้นกลุ่มภูเขาถูกไอหมอกบดบังจนหมดสิ้นไปแล้ว นักศึกษาทั้งหมดถึงกับร้องเสียงดังออกมาด้วยความดีใจ ต่างทยอยกันกระโดดขึ้นไปบนเมฆหมอก เพื่อจะได้เข้าไปในสวนชา
ตูม…ท่ามกลางเสียงดังตูมตามดังเป็นระลอก มองเห็นภูเขาแต่ละลูกที่ลงมาจากท้องฟ้า โดยที่ภูเขาแต่ละลูกไม่ได้สูงใหญ่อะไรมากมายนัก บางลูกแลดูไปแล้วเหมือนเป็นก้อนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งเท่านั้นเอง
“นักศึกษาทั้งหลาย เตรียมตัวเข้าสวนชากันได้แล้ว หลังจากเข้าไปในสวนชาแล้วสามารถเก็บเกี่ยวอะไรได้หรือไม่นั้นอาศัยตัวของพวกเจ้าเองแล้ว สิ่งที่ไม่สามารถทำได้ก็อย่าได้ฝืน” ในเวลานี้ท่ามกลางเมฆหมอกปรากฎผู้เฒ่าคนหนึ่ง เขาเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
“ได้เลย” บรรดานักศึกษาทั้งหลายต่างรู้สึกดีใจเมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ท่านนี้ ต่างทยอยกันเลือกภูเขาลูกของตนเองแล้วกระโดดขึ้นไปทันที ในเวลานี้ ภูเขาทุกลูกก็มีนักศึกษานั่งอยู่ ส่วนใหญ่จะอยู่กันเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน ทุกคนต่างร่วมเป็นพันธมิตรกัน เนื่องจากเมื่อเข้าไปอยู่ในสวนชาแล้ว คนมากพลังก็มาก โอกาสก็จะมากขึ้นตามไปด้วย
ในขณะนี้ นักศึกษาจำนวนมากต่างนั่งอยู่บนภูเขา แม้แต่นักศึกษาที่อัจฉริยะบุคคลของจวนราชันและหอศักดิ์สิทธิ์ก็พากันมาแล้ว ยุวกษัตริย์หกกระบี่ เทพบุตรซือจงที่เป็นผู้นำนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคน
ยุวกษัตริย์หกกระบี่ และเทพบุตรซือจงทั้งสองคนต่างยึดครองภูเขาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเอาไว้คนละลูก พวกเขาทั้งสองต่างก็เรียกได้ว่าดาวล้อมเดือน นักศึกษาของหอศักดิ์สิทธิ์และศตาคารจำนวนมากต่างติดตามพวกเขาสองคน พวกเขาสองคนต่างเป็นผู้นำนักศึกษาของหอศักดิ์สิทธิ์และศตาคาร แค่ส่งสัญญาณออกมาก็ ไม่รู้ว่ามีนักศึกษาจำนวนเท่าไรที่ยินดีติดตามพวกเขา
ขณะเดียวกัน ข้างกายของยุวกษัตริย์หกกระบี่และเทพบุตรซือจงมีนักศึกษาติดตามอยู่มาเกินไป โดยเฉพาะเทพบุตรซือจงในฐานะผู้นำของหอศักดิ์สิทธิ์ นักศึกษาที่ติดตามอยู่ข้างกายจึงไม่ขาดแคลนนักศึกษาประเภทอัจฉริยะบุคคล จึงเป็นที่หวาดหวั่นของผู้คนในความแข็งแกร่งด้านศักยภาพ
แม้ว่านักศึกษาของศตาคารจะเทียบไม่ได้กับหอศักดิ์สิทธิ์ แต่ศตาคารอาศัยจำนวนคนที่มากกว่า ขณะที่ยุวกษัตริย์หกกระบี่ไปถึงไหนก็จะเรียกคนให้เข้าเป็นพวก ขบวนที่อยู่ข้างกายของเขาจึงยิ่งใหญ่มาก
ด้วยเพราะเหตุนี้เอง นักศึกษาส่วนใหญ่ต้องหลบให้กับยุวกษัตริย์หกกระบี่ และเทพบุตรซือจง ทุกคนต่างเข้าใจเป็นอย่างดี งานมหกรรมชิมชาในครั้งนี้หากจะมีผลประโยชน์ใดๆ คงถูกยึดครองโดยคนของยุวกษัตริย์หกกระบี่ และเทพบุตรซือจงสองกลุ่มนี้อย่างแน่นอน คนอื่นคงไม่เหมาะที่จะไปแย่งชิงอะไรกับกลุ่มคนสองกลุ่มนี้
แต่ว่า จะว่าไปแล้วก็นับเป็นเรื่องแปลก หลังจากที่สวนชาเปิดแล้ว เมี่ยวฉานถึงกับอยู่ของนางเพียงลำพังคนเดียว มองเห็นเมี่ยวฉานอยู่ในมุมๆ หนึ่งที่ไม่เป็นที่สะดุดตาเพียงคนเดียว ยืนอยู่บนภูเขาขนาดเล็กลูกหนึ่งเงียบๆ ด้วยเมฆและไอหมอกที่แผ่คลุมอยู่ตรงนั้นแทบจะบดบังร่างของนางจนหมดทั้งร่างแล้ว
“รุ่นน้อง มาด้วยกันกับข้าจะดีไหม?” ยุวกษัตริย์หกกระบี่รีบกล่าวคำทักทายออกไป เมื่อมองเห็นเมี่ยวฉาน
ความจริงแล้ว ยุวกษัตริย์หกกระบี่คอยตามหาเมี่ยวฉานตลอดมา ดังนั้น พลันที่เขามองเห็นเมี่ยวฉานจึงรีบส่งคำเชื้อเชิญออกไปทันที
“ขอบคุณรุ่นพี่” เมี่ยวฉานผงกศีรษะส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “น้องแค่ต้องการเข้าไปดูเฉยๆ ไม่ต้องการขอวาสนาใดๆ ไม่กล้ารบกวนการทำงานของรุ่นพี่”
เมี่ยวฉานปฏิเสธคำเชื้อเชิญของยุวกษัตริย์หกกระบี่ทันควัน เนื่องจากนางเข้าใจในตัวของยุวกษัตริย์หกกระบี่ ชาติกำเนิดของยุวกษัตริย์หกกระบี่มาจากตระกูลขุนนางโบราณ บิดาของเขาเป็นระดับจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงอยู่ในครอบครอง เรียกได้ว่าตั้งแต่เล็กจนโตยุวกษัตริย์หกกระบี่นั้นมีจิตใฝ่สูงและหยิ่งยโส ภายในใจของเมี่ยวฉานเข้าใจ เมื่อยุวกษัตริย์หกกระบี่ที่ตัดสินใจจะเป็นศัตรูกับหลี่ชิเย่ให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ช้าเร็วก็ต้องก้าวสู่ความดับสูญอยู่แล้ว
การที่เมี่ยวฉานกล่าวปฏิเสธทันควัน ทำให้ยุวกษัตริย์หกกระบี่รู้สึกไม่สบายใจนัก ก่อนหน้านั้นเขาได้พยายามอย่างยิ่งกว่าจะเชื้อเชิญให้เมี่ยวฉานมาร่วมงานมหกรรมชิมชาในครั้งนี้ได้ ไม่นึกเลยว่าเวลานี้นางกลับถอนตัวอีกแล้ว
ในขณะนี้คนแรกที่ยุวกษัตริย์หกกระบี่นึกถึงก็คือหลี่ชิเย่ จะต้องเป็นหลี่ชิเย่ที่ไปพูดอะไรกับนางขณะอยู่ที่ศาลเจ้าหลังเล็กนั้น หาไม่แล้วเมี่ยวฉานคงไม่ถอนตัวออกไปเช่นนี้
ดังนั้น ยุวกษัตริย์หกกระบี่ในเวลานี้ถึงกับจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ในขณะนี้หลี่ชิเย่พาพวกของเหมยซู่เหยาห้าคนยืนอยู่บนภูเขาเล็กๆ มองเห็นหลี่ชิเย่ที่ข้างกายล้อมรอบด้วยสาวงามหลายนาง ยุวกษัตริย์หกกระบี่ถึงกับส่งเสียงฮึน่าเกรงขามออกมา
เวลานี้ภายในใจของยุวกษัตริย์หกกระบี่มีเหตุผลอยู่ร้อยแปดพันเก้าที่ไม่สบอารมณ์ในตัวของหลี่ชิเย่ เพียงแต่เวลานี้หลี่ชิเย่คืออาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า เขาคิดจะท้าทายหลี่ชิเย่ดูจะไม่มีกำลังพอที่จะทำได้
เวลานี้ผู้ที่มองเห็นหลี่ชิเย่แล้วไม่สบอารมณ์ไม่ได้มีเพียงยุวกษัตริย์หกกระบี่เท่านั้น ในขณะนี้เทพบุตรซือจงเองก็มองดูหลี่ชิเย่ด้วยความน่าเกรงขาม โดยเฉพาะเมื่อมองเห็นท่าทีที่สนิทสนมระหว่างหลี่ชิเย่กับเหมยซู่เหยาแล้ว ทำให้ภายในใจของเทพบุตรซือจงรู้สึกไม่สบายใจมากเป็นพิเศษ เขาอยากจะยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าเหลือเกิน อาจารย์เช่นหลี่ชิเย่ไม่ได้มีคุณสมบัติที่พึงมีของผู้เป็นอาจารย์ การแสดงท่าทีกระหนุงกระหนิงกับนักศึกษาหญิงเช่นนี้ เห็นที่นี่เป็นอะไรไป
ด้วยเหตุนี้เอง เทพบุตรซือจงกำลังตัดสินใจอยู่ว่าควรจะร้องเรียนหลี่ชิเย่ต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้าดีหรือไม่ หรือบางทีอาจกล่าวได้ว่า ในฐานะที่เป็นอาจารย์ล่อลวงนักศึกษา ซึ่งหาใช่เป็นเรื่องที่เล็กเลย
“เอาหละ นักศึกษาทั้งหลาย ออกเดินทางกันได้แล้ว” ในเวลานี้เอง อาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าผู้นั้นได้สั่งการออกมา
เสียงตูม…ดังสนั่น ภูเขาทั้งหมดพลันพุ่งตัวออกไปข้างหน้า นาทีนี้ภูเขาทุกลูกเสมือนหนึ่งเป็นเรือบินลำหนึ่งอย่างนั้นพุ่งทะยานออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว นักศึกษาทุกคนต่างอยู่บนภูเขาปล่อยให้มันทุกพวกเขาแล่นไปข้างหน้าตามอำเภอใจ
“ขี่วัวขี่ม้า หรือขี่นกกระเรียนข้าเคยขี่มาแล้วทั้งนั้น ขี่ภูเขานี่นับเป็นครั้งแรก” แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับหัวเราะและกล่าว
ความจริงแล้ว พวกของเถาถิง เย่ซินเสวี่ยที่เป็นนักศึกษาซึ่งมาสวนชาเป็นครั้งแรกต่างก็รู้สึกแปลกหูแปลกตามากเป็นพิเศษ จะอย่างไรเสียพวกเขาก็ไม่เคยได้ขี่ภูเขามาก่อน
“สิ่งนี้หาใช่ภูเขากำลังเคลื่อนที่ เจ้าเข้าใจว่ากำลังขี่ภูเขาอยู่รึ?” จังหวะที่แขนเหล็กห่วงทองคำกำลังตื่นเต้นดีใจอยู่นั้น หลิวจินเซิ่นได้เอ่ยขึ้นด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “นี่เป็นการแปรเปลี่ยนของฟ้าดิน ดังนั้นเจ้าจึงเข้าใจว่าภูเขากำลังเคลื่อนที่”
“ไม่ใช่ภูเขาที่กำลังเคลื่อนที่รึ?”ไอรีนโนเวล ”แขนเหล็กห่วงทองคำถึงกับตะลึงนิดหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“นี่เป็นฟ้าดินแห่งหนึ่ง และเป็นการเคลื่อนย้ายผืนแผ่นดินเท่านั้นเอง ถ้าหากเวลานี้เจ้าเกิดตกจากภูเขาลูกนี้ เจ้าก็จะกลับไปอยู่ที่สถาบันศึกษา” หลิวจินเซิ่นกล่าวท่าทีเอ้อระเหยว่า “ความจริงแล้วเจ้าอยู่ที่นี่โดยตลอดไม่ได้เคลื่อนที่เลยแม้แต่น้อย เป็นเพียงฟ้าดินที่แปรเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง”
“ผู้เฒ่าหลิวรู้ละเอียดขนาดนี้ ผู้เฒ่าหลิวเคยมาที่นี่มาก่อนรึ?” เย่ซินเสวี่ยถึงกับเอ่ยถามขึ้นด้วยตวามแปลกใจ
หลิวจินเซิ่นเพียงจ้องมองไปข้างหน้าโดยไม่ได้ตอบคำถามของเย่ซินเสวี่ย ท่าทางดุแปลกมาก สายตาของเขากระตุกทีหนึ่ง และตกอยู่ท่ามกลางการครุ่นคิด
เถาถิงและแขนเหล็กห่วงทองคำไม่ได้รู้สึกอะไร กลับเป็นเหมยซู่เหยาที่อมยิ้มจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ เหมยซู่เหยานั้นไม่ได้เหมือนเช่นคนทั่วไป บริเวณหน้าผากของนางมีกระดูกเซียนอยู่ชิ้นหนึ่ง สามารถมองเห็นความจริงได้ ดังนั้น เมื่อนางมองเห็นหลิวจินเซิ่นแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าไม่ธรรมดา
แน่นอน เหมยซู่เหยาเองก็เข้าใจได้ ไม่ว่าจะปิดบังฐานะมิดชิดเพียงใดก็ตาม ก็ไม่สามารถหนีพ้นสายตาคู่นั้นของหลี่ชิเย่ไปได้ ย่อมไม่เป็นทีสงสัย การที่หลิวจินเซิ่นสามารถรั้งอยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ได้ ย่อมได้รับการยอมรับจากหลี่ชิเย่กลายๆ แล้ว
เสียงตูม…ดังสนั่น หลังจากที่ภูเขาได้เคลื่อนที่ไปข้างหน้าอยู่นานมาก ได้หยุดลงอย่างกะทันหัน ภูเขาทุกลูกได้หยุดอยู่ตรงนั้น และเมฆหมอกที่อยู่รอบๆ ก็ได้หยุดลง
ข้างหน้ามองเห็นเพียงศิลาจารึกขนาดยักษ์สุดเปรียบเปรย ศิลาจารึกแผ่นนี้มีขนาดยักษ์โดยแท้จริง หากจะบอกว่ามันคือแขนศืลาก็ไม่เป็นการเกินเลย
ส่วนบนสุดของศิลาจารึกนี้ได้จารึกอักษรขนาดใหญ่ไว้สองตัวว่า “สวนชา” ใต้อักษรขนาดใหญ่ได้จารึกอักษรเอาไว้จำนวนนับไม่ถ้วน ตัวอักษรได้มีการสลักเอาไว้อย่างเป็นระเบียบและหนาแน่นเต็มแผ่นศิลาจารึก เป็นบทความสัพเพเหระที่ยืดยาวมากบทหนึ่ง
ตัวอักษรที่สลักอยู่บนแผ่นศิลาจารึกมีความงดงามยิ่งนัก ตัวอักขระที่แลดูลอยล่องดุจดั่งเซียน มองดูจากระยะห่างไกลเสมือนหนึ่งเป็นเซียนองค์น้อยๆ แต่ละองค์ที่กำลังร่ายรำอยู่ตรงนั้น น่าดูและสวยงามยิ่งนัก ลายมือเช่นนี้เสมือนหนึ่งเป็นผู้ที่หลุดพ้นจากกิเลสของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาอย่างนั้น
“นักศึกษาทั้งหลาย ถึงสวนชากันแล้ว ทุกคนแยกย้ายกันเข้าไปเองก็แล้วกัน” ในขณะนี้ อาจารย์ท่านนั้นของสถาบันศึกษาได้ปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง เขายิ้มกล่าวกับนักศึกษาทุกคน จากนั้นก็ได้หายตัวไปโดยพลัน
“ถึงสวนชากันแล้ว เข้าไปกัน” หลังจากได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว นักศึกษาจำนวนมากต่างกลั้นความดีใจเอาไว้ไม่อยู่ส่งเสียงเฮโลพลันวิ่งเข้าไปเสมือนดั่งมังกรเหินพยัคฆ์กระโจน ทยอยกันกรูกันเข้าไปในสวนชาและไม่ยอมล่าช้ากว่าใคร ทุกคนต่างต้องการเป็นคนแรก และได้รับสิ่งล้ำค่า และหรือได้รับโชควาสนาที่ดี
ทุกคนต่างทยอยกันวิ่งเข้าไปยังสวนชา ส่วนศิลาจารึกที่ตั้งอยู่ตรงปากทางเข้า มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมองมันมากกว่าครั้ง ทุกคนที่มาต่างก็มุ่งไปที่โชควาสนาของสวนชา จะมีใครไปมองดูบทความสัพเพเหระที่ร่ายยาวอยู่บนศิลาจารึกแผ่นนั้นกันเล่า
ต่อให้มีคนบางคนที่หยุดลงเพื่ออ่านดู เมื่อพบว่าสิ่งที่จารึกเอาไว้บนศิลาจารึกเป็นสิ่งที่เกี่ยวกับต้นกำเนิดของสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างๆ พลันรู้สึกไม่น่าสนใจทันที เนื่องจากสิ่งนี้เป็นเรื่องปรกติที่มีการพูดคุยกันทั่วไปเท่านั้น
ขณะที่พวกของหลี่ชิเย่เดินผ่านเข้าไปนั้น เย่ซินเสวี่ยยืนอยู่ด้านหน้าของศิลาจารึกแล้ว ถึงกับยืนอ่านอยู่ตรงนั้น เพราะว่านางชื่นชอบบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เช่นนี้ที่สุด
เมื่อเปรียบเทียบกับเย่ซินเสวี่ยแล้ว พวกของแขนเหล็กห่วงทองคำกลับไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก
“ที่แท้ขณะที่มีการก่อสร้างสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นมานั้น ที่ตรงนี้ยังมีเหวลึกอยู่นะเนี่ย” เย่ซินเสวี่ยรู้สึกดีใจอย่างยิ่ง เมื่อได้พบกับบันทึกเรื่องราวที่อยู่บนศิลาจารึก อ่านอย่างออกรสออกชาติ และกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่เคยมีบันทึกในตำราเล่มอื่นๆ เลย”
“พยายามศึกษาให้ดีๆ ก็แล้วกัน ขอเพียงเจ้าสามารถอ่านทำความเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ก็จะมีประโยชน์ต่อเจ้าอย่างมากทีเดียว” หลี่ชิเย่ลูบไล้เส้นผมของเย่ซินเสวี่ยเบาๆ และกล่าวว่า “จะอย่างไรเสียราชันเซียนเฟยยังไม่ถึงขั้นว่างมากจนไม่มีงานทำ มาร่ายยาวสัพเพเหระที่มากมายหลายหลากและชัดเจนและต่อเนื่องอยู่ตรงนี้”
“นี่เขียนขึ้นโดยราชันเซียนเฟยรึ?” ภายในใจของเย่ซินเสวี่ยรู้สึกหวั่นไหวเมื่อได้ยินคำพูดคำนี้ ออกจากฝีมือของราชันเซียนเฟยก็ต้องเป็นบทความของราชันอย่างแน่นอน
“ถูกต้อง” หลี่ชิเย่ยิ้มๆ และกล่าวว่า “สิ่งที่บันทึกอยู่บนศิลาจารึกแผ่นนี้ล้วนแล้วแต่เป็นต้นกำเนิดของสถาบันศึกษาเทพเจ้า อ่านให้ดีๆ ก็แล้วกัน”
“คนอื่นๆ ก็เข้าไปเดินเล่นด้านในกัน” หลี่ชิเย่ไม่ฝืนใจพวกของเถาถิงที่ไม่มีความสนใจในประวัติศาสตร์ จึงพาพวกเขาเข้าไปในสวนชา
ขณะที่เย่ซินเสวี่ยคงอยู่ที่หน้าศิลาจารึก นางอ่านอย่างตั้งใจกับทุกๆ คำพูดบนศิลาจารึก อ่านอย่างออกรสออกชาติ และศึกษาอย่างละเอียด