ตลอดเวลาที่ผ่านมา โอรสราชันเซียนเฟยต้องการรู้สภาพของการต่อสู้ครั้งสุดท้าย เนื่องจากไม่เพียงบิดา และคุณตาของเขาที่ได้ก้าวขึ้นสู่เส้นทางสายนี้ แม้แต่มารดาของเขาก็ได้ก้าวขึ้นสู่เส้นทางสายนี้เช่นกัน
ครั้งนั้น หลังจากที่ราชันเซียนเฟยและราชันเทพจงหนานได้เป็นผู้ริเริ่มให้มีการเดินทางไกลเพื่อปราบปรามครั้งสุดท้ายครั้งที่สามขึ้นแล้วก็ไม่มีข่าวคราวอีกเลย ผู้คนบนโลกต่างเข้าใจว่าพวกเขาไม่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว แต่โอรสราชันเซียนเฟยในฐานะที่เป็นบุตรไม่ตายใจ ยังคงความหวังอันน้อยนิดเอาไว้
โอรสราชันเซียนเฟยเองไม่สามารถก้าวขึ้นสู่เส้นทางสายนี้ จะอย่าไรเสียเขายังคงมีห่วง เขาไม่สามารถปล่อยวางจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าไปได้ แต่ทว่าเขารู้ว่าหลี่ชิเย่เคยไปที่นั่นมาก่อน และเขารู้ว่าเป็นหนึ่งเดียวที่มีชีวิตรอดกลับมาจากที่ตรงนั้น
ในเวลานี้ โอรสราชันเซียนเฟยมองไปที่หลี่ชิเย่ แม้ว่าตัวเขาที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ยังถึงกับต้องมีท่าทีที่ดูหนักแน่นจริงจังยิ่ง ก่อนหน้านี้นานมาแล้วเขาก็คิดจะถามปัญหาข้อนี้แล้วแต่เขาก็ไม่ได้ถาม บางทีภายในใจของเขาเองก็ไม่ต้องการได้รับคำตอบเช่นนั้น
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้ยินคำถามของโอรสราชันเซียนเฟยแล้ว จ้องมองไปที่ตัวเขาและถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วครู่ สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ในที่สุด “ปัญหาข้อนี้ข้าไม่รู้ว่าจะตอบเจ้าอย่างไรดี”
“ท่านตอบมาตรงๆ ก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวดี หรือว่าข่าวร้ายข้าก็สามารถยอมรับได้ ข้าเองก็อายุปูนนี้แล้ว ยังจะมีอะไรที่รับไม่ได้หละ?” โอรสราชันเซียนเฟยกล่าวอย่างหนักแน่น
หลี่ชิเย่ส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “นี่มันไม่ใช่ปัญหาเรื่องข่าวดีหรือข่าวร้าย แต่ว่าเรื่องนี้มันออกจะสลับซับซ้อน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะตอบเจ้าอย่างไรดี ถ้าหากเจ้าต้องการให้ข้าให้คำตอบเจ้าจริงๆ หละก็ เจ้าจะรู้คำตอบอยู่ข้อหนึ่ง รอให้ข้าผ่านการต่อสู้ครั้งสุดท้ายไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นสิ่งที่ควรเข้าใจ ข้าเชื่อว่าเจ้าก็จะเข้าใจ”
“หากศึกในครั้งนี้ไม่มีผลออกมา เช่นนั้นแล้วก็จะไม่มีคำตอบ” หลี่ชิเย่ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “สิ่งนี้ก็เหมือนเช่นข้าที่ต้องการคำตอบอย่างนั้น เจ้าเองก็ต้องการคำตอบนี้เช่นกัน”
หลังจากที่โอรสราชันเซียนเฟยได้ฟังคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วนิ่งเงียบอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจ้องมองหลี่ชิเย่และกล่าวว่า “ข้าเชื่อว่าสามารถรอจนถึงวันนั้น และข้าก็เชื่อว่าท่านสามารถต่อสู้จนถึงที่สุด ทำลายพันธนาการพันล้านปีนี้เสีย ถ้าหากแม้แต่ท่านก็ล้มเหลว เช่นนั้นแล้วอนาคตดูน่าสิ้นหวังเหลือเกิน หากเป็นเช่นนี้จริง อนาคตจะมีผู้คนยอมสยบต่อความมืดมากยิ่งกว่านี้”
“ยุคสมัยไหนๆ ล้วนแล้วแต่มีความมืด เป็นเรื่องที่ไม่สามารถทำให้หมดไปได้” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “เพียงแต่ เวลานี้ไหนเลยจะไม่ใช่โอกาส ที่ควรฆ่าก็ฆ่าเสีย อนาคตก็มอบให้เป็นเรื่องอนาคตก็แล้วกัน”
“ที่ท่านพูดมาก็ถูก” โอรสราชันเซียนเฟยพยักหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “คราวนี้ก็นับเป็นโอกาสดีโดยแท้ ภายในร้อยชาติพันธุ์ของพวกเราก็สมควรกวาดล้างเสียบ้าง มิฉะนั้นหละก็ ไม่รู้ว่าใครเป็นศัตรู สิ่งนี้แหละที่ทำให้ต้องกังวล”
หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “วันนี้คงอีกไม่นาน สมควรต้องมาแล้ว”
“ภัยเงียบของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็สมควรสิ้นสุดลงได้แล้ว คราวนี้เป็นการกวาดล้างอย่างสิ้นซาก บางทีอาจทำให้ฐานรากของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแข็งแรง หนาแน่นและลึกมากกว่าเดิม” โอรสราชันเซียนเฟยก็เห็นด้วยกับวิธีการของหลี่ชิเย่
“เช่นนั้นแล้วก็ให้พายุฝนฟ้าคะนองครั้งนี้มาให้รุนแรงยิ่งขึ้นก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวว่า “ถ้าหากว่าบรรดาจอมเทพและเซียนหวังที่ถือกำเนิดจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็มาแปดเปื้อนน้ำครำในครั้งนี้ด้วยหละก็ เป็นอะไรที่น่าผิดหวังอยู่บ้างเหมือนกัน”
สำหรับคำพูดเช่นนี้ได้ทำให้โอรสราชันเซียนเฟยต้องนิ่งเงียบ สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้บ่มฟักระดับจอมเทพออกมาเป็นจำนวนมาก และบ่มฟักเซียนหวังออกมาส่วนหนึ่ง ถ้าหากว่าในวันที่สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีภัย แล้วจอมเทพและเซียนหวังที่ถือกำเนิดมาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่มาแปดเปื้อนน้ำครำในคราวนี้หละก็ นับว่าน่าสะเทือนใจเหลือเกิน และเป็นสิ่งที่ในใจของโอรสราชันเซียนเฟยไม่ต้องการเห็น
แน่นอนที่สุด หากมีวันนั้นมาถึงจริงๆ ที่สมควรฆ่าก็ต้องฆ่า ไม่มีอะไรต้องเมตตาอยู่แล้ว
งานมหกรรมชิมชาได้สิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว พวกเย่ซินเสวี่ยต่างทยอยกันกลับมาที่เรือนตำรา นักศึกษาจำนวนมากต่างทยอยกันกลับไปยังชั้นเรียนของตน
หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้กลับมาจากงานมหกรรมชิมชาแล้ว ได้ยืนอยู่ด้านนอกตำหนักมองดูพื้นที่ของเรือนตำราแห่งนี้ เขามองดูจนเหม่อลอย
“อาจารย์บรรลุความลี้ลับอัศจรรย์อยู่รึ?” พวกเย่ซินเสวี่ย แขนเหล็กห่วงทองคำต่างรู้สึกแปลกใจ มีเพียงหลิวจินเซิ่นที่ไม่พูดอะไรออกมา
นับตั้งแต่ได้รับคำชี้แนะจากหลี่ชิเย่ในครั้งนั้นแล้ว หลิวจินเซิ่นค้นพบตำรับยานั้นมาได้ เขาไม่มีอาการไออีกแล้ว อีกทั้งหลังจากกลับมาจากงานมหกรรมชิมชาในครั้งนี้แล้ว ท่าทางของหลิวจินเซิ่นดูจะสบายขึ้นมากทีเดียว ดูเหมือนจิตใจเบิกบานกว่าก่อนเสียอีก
“เพียงแค่มองดูผืนแผ่นดินนี้ให้เต็มตาสักหน่อยเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่มองดูพื้นที่แห่งนี้และยิ้มกล่าวว่า “อีกไม่นาน เกรงว่าพื้นที่แห่งนี้อาจจะสิ่งต่างๆ ยังคงเหมือนเดิมแต่คนเปลี่ยนไป ยิ่งกว่านั้นอาจมีความเป็นไปได้ที่ทั่วทั้งผืนแผ่นดินของสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่กลับกลายเป็นบ้านแตกสาแหรกขาด”
อาจารย์ล้อเล่นแล้ว…ทำเอาแขนเหล็กห่วงทองคำตกใจยิ่ง กล่าวว่า “สถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเราถือเป็นสำนักของร้อยชาติพันธุ์ที่มีธาตุแท้ภายในมากที่สุด ต่อให้สายสำนักราชันเซียนอื่นๆ ถูกทำลายไป เกรงว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเราก็ยังคงปลอดภัยไม่มีปัญหา”
“ทุกสิ่งล้วนแล้วแต่มีความเป็นไปได้ โลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นนิรันดร์” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “ในโลกนี้ไม่มีสำนักใดที่ตั้งอยู่โดยไม่ล้มตลอดกาล เฉกเช่นสำนักเซียนในครั้งนั้น ต่อให้เป็นสำนักที่มีเก้าราชัน มิใช่ล้มครืนลงภายในชั่วข้ามคืนกันเล่า”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาพวกของแขนเหล็กห่วงทองคำ และเย่ซินเสวี่ยถึงกับเย็นวาบในใจ เนื่องจากพวกเขารับรู้ถึงหน้าประวัติศาสตร์นี้ดี เป็นหน้าประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียงมาก
ในยุคนี้ สำนักที่ถูกยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดก็คือตระกูลเฉี่ยน หนึ่งสำนักเก้าราชัน! แต่ทว่า ความจริงแล้วเคยมีสำนักที่มีเก้าราชันก่อนตระกูลเฉี่ยนเสียอีก หนึ่งสำนักเก้าราชันนี้เก่าแก่กว่าตระกูลเฉี่ยนเสียอีก กล่าวได้ว่าก่อนที่ตระกูลเฉียนยังไม่ได้กลายเป็นหนึ่งสำนักเก้าราชันนั้น สำนักนี้ได้เป็นหนึ่งสำนักเก้าราชันมานานแล้ว
สำนักดังกล่าวมีชื่อว่าสำนักเซียน กล่าวได้ว่าในโลกนี้ผู้ที่กล้าเรียกตัวเองว่าเป็น ‘สำนักเซียน’ คงมีแต่พวกเขาแล้ว เป็นสำนักที่มีความพาลอยู่เต็มเปี่ยม
แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้ว สำนักที่แข็งแกร่งและเก่าแก่โบราณแห่งนี้กลับถูกผู้อื่นทำลาย และล้มครืนลงภายในชั่วข้ามคืน เรียกได้ว่าเป็นเรื่องที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนยิ่งนัก และเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของสิบสามทวีป
เวลานี้ หลี่ชิเย่นำเอาสถาบันศึกษาเทพเจ้ามาเทียบกับสำนักเซียน แล้วจะไม่ให้พวกของเย่ซินเสวี่ยต้องตระหนกตกใจได้อย่างไรเล่า
“อาจารย์ นี่ นี่เป็นเรื่องจริงรึ?” เย่ซินเสวี่ยตกใจจนตัวสั่นเทิ้มทีหนึ่ง ภายในใจของนางสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็คือบ้านหลังที่สองของนาง อีกทั้งไม่มีสถานที่แห่งใดปลอดภัยมากไปกว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าอีกแล้ว ไม่มีสำนักใดๆ ตั้งอยู่โดยไม่ล้มยิ่งกว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าอีกแล้ว
เวลานี้ หลี่ชิเย่กลับบอกว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีภัยถึงตัว กระทั่งอาจจะล้มครืนลงก็เป็นได้ แล้วจะไม่ให้เด็กผู้หญิงคนหนึ่งตระหนกตกใจได้อย่างไร
“เป็นความจริง และก็เป็นความเท็จ” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “ภัยพิบัติมาถึงนั้นเป็นความจริง คิดจะให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มครืนลงไม่ได้ง่ายอย่างนั้น ขอเพียงข้าอยู่ที่นี่ก็จะไม่อนุญาตให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าล้มลง”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว อาจารย์เล่นทำเอาข้าตกอกตกใจไปหมด” เมื่อแขนเหล็กห่วงทองคำได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่แล้วจึงค่อยโล่งอกไปทีหนึ่งกล่าวหัวเราะแหะแหะออกมา
“แม้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะไม่ล้มแต่อันตรายยังคงอยู่ ทางที่ดีพวกเจ้าเก็บของสักหน่อย หารูหนูที่ดีสักหน่อยเอาไว้ เผื่อว่าหากภัยพิบัติมาถึงจริงๆ พวกเจ้าสามารถมุดเข้าไปหลบสักหน่อย” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ สั่งการออกไป
แม้ว่าคำพูดของหลี่ชิเย่ดูจะอวดอ้างเกินเลยไปนิด แต่ทั้งเย่ซินเสวี่ยและแขนเหล็กห่วงทองคำก็รู้ว่าเรื่องนี้หนักหนา พวกเขาไม่กล้าชักช้า ทำตามที่หลี่ชิเย่สั่งการไปเก็บของของตนเองเสียก่อน
หลังจากเย่ซินเสวี่ยและแขนเหล็กห่วงทองคำล่าถอยออกไปแล้ว หลี่ชิเย่ไม่ได้หันหลังกลับ เพียงจ้องมองไปยังพื้นที่ที่อยู่ตรงหน้า กล่าวเฉยเมยต่อหลิวจินเซิ่นว่า “ภัยพิบัติใหญ่กำลังมาถึง เจ้าคิดจะทำอย่างไร”
หลิวจินเซิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง กล่าวหนักแน่นจริงจังว่า “ศิษย์ยินดีก้าวไปด้วยกันกับสถาบันศึกษาเทพเจ้า ขอเพียงอาจารย์สั่งการมาคำหนึ่ง ศิษย์พร้อมปฏิบัติตามคำสั่งของอาจารย์! คนอื่นข้าไม่รู้ แต่ ข้าคือนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ข้าได้รับดอกผลมากมายจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า หรือกล่าวได้ว่า หากไม่มีสถาบันศึกษาเทพเจ้า ก็ไม่มีความสำเร็จในวันนี้ของข้า ขอเพียงข้าอยู่ สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ต้องอยู่ ข้ายินดีร่วมเป็นร่วมตายกับสถาบันศึกษาเทพเจ้า!”
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี” หลี่ชิเย่พยักหน้ามองดูที่ที่ห่างไกล เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “พายุฝนฟ้าคะนองกำลังจะมาแล้ว ได้เวลาให้เจ้ามีโอกาสสำแดงแล้ว และสมควรแก่เวลาที่เจ้าจะเกรียงไกรไปทั่วหล้า แม้ว่าเจ้าจะเอาชนะจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสาย และสู้ระดับเทพโบราณไม่ได้ แต่ว่า ท่ามกลางพายุฝนฟ้าคะนองนี้ เจ้าจะกลายเป็นแกนหลักในครั้งนี้!”
“ขอเพียงสถาบันศึกษาเทพเจ้าต้องการ ข้ายินดีสู้จนถึงที่สุด!” คำพูดนี้ของหลิวจินเซิ่นพูดได้นักแน่นและมีพลังมาก
“คนเราย่อมทำผิดกันทั้งนั้น แต่ หากนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่เป็นเหมือนดั่งเจ้า ภัยพิบัติใหญ่แค่ไหน สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็จะยืนหยัดอยู่ไม่มีล้ม” หลี่ชิเย่ถึงกับทอดถอนใจออกมา
มหกรรมชิมชาสิ้นสุดลง ทุกคนเข้าใจว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าคงจะเงียบสงบไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ว่า พลันที่มหกรรมชิมชาสิ้นสุดลง ก็มีข่าวแพร่ออกมาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าว่า กู่ฉวี่หังจะจัดให้มีการบรรยายวิชาขึ้นที่ลานธรรม
นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าพลันที่ได้ยินข่าวนี้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษาของศตาคาร หรือหอศักดิ์สิทธิ์ และหรือจวนราชัน ต่างรู้สึกมีกำลังขึ้นมา นักศึกษาจำนวนมากต่างดีใจกับข่าวนี้
ในสถาบันศึกษาเทพเจ้า ศตาคาร หอศักดิ์สิทธิ์ จวนราชันล้วนแล้วแต่มีอาจารย์บรรยายในชั้นเรียน แน่นอนที่สุด วิชาที่ถ่ายทอดส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหาที่เป็นทางการ
การบรรยายในลานธรรมก็จะแตกต่างกัน การบรรยายที่ลานธรรมจะเป็นแก่นแท้อย่างแน่นอน ถ้าหากจะกล่าวว่า การเรียนการสอนในชั้นเรียนธรรมดานั้น มีลักษณะคล้ายกับการบรรยายธรรมดาทั่วไป เช่นนั้นแล้ว การบรรยายที่ลานธรรมก็คือเป็นชั้นเรียนที่แฝงความรู้สึกหรือความเห็นส่วนตัวอย่างแท้จริงแล้ว
ลานธรรมของสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีชื่อเสียงมาก แม้จะกล่าวว่า ลานธรรมของสถาบันศึกษาเทพเจ้าใครก็ใช้เป็นที่บรรยายได้ แต่ทว่า หากเจ้าไม่มีความสามารถขนาดนั้น ทางที่ดีอย่าได้ไป เพราะจะเป็นที่อับอายขายหน้าผู้คน
เนื่องจากการบรรยายที่ลานธรรม สิ่งที่นำมาพูดถ่ายทอดล้วนแล้วแต่เป็นแก่นแท้จากการบรรลุของตน อีกทั้งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เป็นความเข้าใจที่มีความโดดเด่นของตนที่ไม่เหมือนใคร พุ่งเป้าตรงไปที่ความหมายที่ลึกซึ้ง อีกทั้งตลอดเวลาที่ผ่านมา ผู้ที่กล้าถ่ายทอดวิชาที่ลานธรรมนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นอาจารย์ที่มีศักยภาพสูงและหรือผู้ดำรงอยู่ในฐานะจอมราชันเซียนหวัง
กระทั่งแม้แต่ราชันเซียนเฟยก็เคยบรรยายที่ลานธรรมมาก่อน ย่อมสามารถจินตนาการได้ว่า บุคคลทั่วไปจะไม่กล้าไปบรรยายวิชาที่ลานธรรมอยู่แล้ว
เวลานี้ข่าวแพร่ออกมาว่ากู่ฉวี่หังต้องการบรรยายวิชาที่ลานธรรม จะไม่ให้ผู้คนรู้สึกตื่นเต้นดีใจกับสิ่งนี้ได้อย่างไรกัน สิ่งนี้ย่อมต้องเป็นของดีอยู่แล้ว
“ฉวี่หังกักตน ได้บรรลุถึงสัจธรรม ดังนั้นจึงจะบรรยายที่ลานธรรม ยินดีร่วมสนทนาธรรมกับผู้ร่วมงานทั้งหมด” ข่าวที่ถูกแพร่ออกมานั้นเป็นความจริง เนื่องจากในวันรุ่งขึ้นกู่ฉวี่หังได้แสดงความคิดเห็น และแถลงข่าวด้วยตนเอง