ดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสี่กลีบบานเบ่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไร้ซุ่มไร้เสียง ไม่จำเป็นต้องมีถ้อยวาจามากมาย ไม่จำเป็นต้องอาศัยท่วงท่ามากนัก ดอกสัจธรรมดอกนี้ก็เพียงพอที่จะให้การรับรองในตัวของหลี่ชิเย่ เพียงพอที่จะกำหนดฐานะในสถาบันศึกษาเทพเจ้าของหลี่ชิเย่ได้แล้ว
เวลานี้นักศึกษาที่เคยวาจาสามหาวเมื่อครู่ต่างรู้สึกใบหน้าแดงกล่ำ อับอายจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี แทบอยากจะให้พื้นดินแยกออกเป็นร่องให้มันรู้แล้วรู้รอดไป เพื่อพวกเขาจะได้แทรกตัวเข้าไป
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ชิเย่ไม่ได้มองดูพวกเขาสักนิด กระทั่งคำพูดที่สั่งสอนสักคำก็ไม่มี แต่เวลานี้นักศึกษาทุกคนที่กล่าววาจาสามหาวต่างรู้สึกอับอายจนใบหน้าแดงกล่ำจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
ความรู้สึกเช่นนี้สุดจะทนยิ่งกว่าถูกหลี่ชิเย่ตบหน้าฉาดใหญ่ต่อหน้าธารกำนัลเสียอีก เพราะถ้าหากหลี่ชิเย่ตบหน้าพวกเขาต่อหน้าทุกคน อย่างน้อยพวกเขายังอยู่ในสายตาของหลี่ชิเย่ เวลานี้หลี่ชิเย่กระทั่งขี้คร้านจะมองดูพวกเขาสักครั้ง ไม่อยากออกปากสั่งสอนพวกเขา เรียกได้ว่าพวกเขาไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับการสั่งสอนจากหลี่ชิเย่ เล็กจิ๋วเสมือนดั่งมดปลวกอย่างนั้น!
ดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสี่กลีบ…ในเวลานี้ นักศึกษาเหล่านี้ต่างเหม่อลอยไม่อาจพูดสิ่งใดออกมาเป็นเวลานาน
“สร้างสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นใหม่อีกแล้ว” ม่อเชียนจวินทอดถอนใจยิ่งออกมามองดูดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกสิบสี่กลีบนั่น เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “กาลเวลาช่างยาวไกล เมื่อไหร่จะได้ฟังอีกสักครั้งเล่า!” กล่าวพลางทอดถอนใจออกมาเบาๆ ส่ายหน้าและก้าวเดินขากะเผลกจากไปอย่างช้าๆ
บรรดาผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าทยอยกันหลีกเป็นทางให้กับม่อเชียนจวิน เซียนหวังสองประสานสองสามีภรรยาเสมือนหนึ่งเป็นนักเรียนที่น่ารักเข้าไปพยุงตัวม่อเชียนจวินเดินจากไป
“หวังว่าอนาคตยังคงสว่างไสว” สุดท้ายแม้แต่อดีตผู้อำนวยการก็รู้สึกทอดถอนใจยิ่งนัก เขาเข้าใจถึงการบรรยายในครั้งนี้ของหลี่ชิเย่นั้นมีความหมายที่ลึกซึ้งมาก นี่ไม่ได้เป็นเพียงถ่ายทอดความรู้ให้กับนักศึกษาเท่านั้น ขณะเดียวกันก็เป็นการเตือนพวกเขาเหล่านี้ตื่นตัว เตือนบุคคลระดับเซียนหวังให้ตื่นตัว
สุดท้าย อดีตผู้อำนวยการได้โค้งคำนับอย่างงามให้กับดอกสัจธรรมสิบสี่กลีบดอกนั้น แล้วหันหลังจากไป
บรรดาผู้เฒ่าคนอื่นๆ ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ทยอยกันโค้งคำนับให้อย่างงามกับดอกสัจธรรมสิบสี่กลีบดอกนั้น ทุกคนต่างมีท่าทีที่หนักแน่นจริงจังและเคารพนับถือ
หลังจากที่พวกของอดีตผู้อำนวยการจากไปแล้ว นักศึกษาที่อยู่ในเหตุการณ์ยังคงนิ่งเงียบอยู่เป็นเวลานาน ไม่มีนักศึกษาคนใดกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ กระทั่งไม่มีใครต้องการทำลายบรรยากาศที่สงบเงียบเช่นนี้ ความสงบเงียบนี้เป็นการแสดงออกถึงการให้ความเคารพสูงสุดต่อหลี่ชิเย่
ในขณะนี้ สีหน้าของกู่ฉวี่หังเดี๋ยวคล้ำเดี๋ยวซีด ท่าทีดูพะอืดพะอมยิ่งนัก เป็นตัวเขาที่เสนอท้าสู้กับหลี่ชิเย่ขึ้นมาก่อน ขณะที่ในการประลองครั้งนี้เขาก็ได้สร้างผลงานที่ไม่เลวนัก
เรียกได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของกลุ่มคนรุ่นใหม่ แต่ว่า เวลานี้กลับกลายเป็นว่าเขานั้นช่างไร้ค่าไม่คู่ควรจกล่าวถึง
ก่อนที่หลี่ชิเย่จะขึ้นบรรยาย มีนักศึกษาจำนวนเท่าไรที่มีอารมณ์พลุ่งพล่านเพื่อเขา แต่นาทีนี้เหมือนว่าทุกคนได้ลืมการดำรงอยู่ของตัวเขาไปแล้วอย่างนั้น ทุกคนไม่ได้ไปมองดูดอกสัจธรรมหกกลีบดอกนั้นของเขาอีกต่อไป
เนื่องจากดอกสัจธรรมที่มีกลีบดอกหกกลีบของกู่ฉวี่หังเมื่อเปรียบกับดอกสัจธรรมกลีบดอกสิบสี่กลีบแล้วดูธรรมดามากเหลือเกิน เหมือนหนึ่งสุดยอดหญิงงามเปรียบกับหญิงสาวชาวบ้านที่เป็นปุถุชนธรรมดาเท่านั้น ทุกคนย่อมต้องมองไปที่สุดยอดหญิงงามนั้น ขณะที่หญิงสาวชาวบ้านที่เป็นปุถุชนธรรมดาได้แต่หายไปท่ามกลางเมฆหมอกที่เลือนรางนั่น
ในขณะนี้ กู่ฉวี่หังรู้สึกแสบร้อนบนใบหน้า ตั้งแต่ต้นจนจบหลี่ชิเย่ไม่เคยมองหน้าของเขาสักครั้ง และไม่เคยพูดคำพูดที่ยั่วยุสักคำ เหมือนว่าเขาไม่มีตัวตนอยู่แล้วอย่างนั้น
ตัวเขาเป็นผู้ริเริ่มให้มีการประลองขึ้นในครั้งนี้ ซึ่งเขาได้ใช้เล่ห์เหลี่ยมเพื่อการนี้ไปไม่น้อย แต่ท้ายที่สุดแล้วเวทีนี้กลับกลายเป็นของหลี่ชิเย่ไปสิ้น หลี่ชิเย่นั่นแหละคือตัวเอกของเวทีนี้ ขณะที่กู่ฉวี่หังเป็นเพียงตัวตลกที่อยู่ในมุมที่ไม่สะดุดตาของเวทีนี้เท่านั้นเอง!
สุดท้าย กู่ฉวี่หังไม่กล้าพูดอะไรออกมา หลบหนีออกไปจากที่ตรงนี้เงียบๆ แม้ว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้เอ่ยคำหยามเหยียดเขาแม้แต่ครึ่งคำ แต่เขารู้สึกว่านี่คือช่วงเวลาที่อัปยศที่สุดในชีวิตของเขา เขาต้องหลบหนีออกจากหุบเขาเหมือนสุนัขไม่มีเจ้าของ
พวกยุวกษัตริย์หกกระบี่ที่ก่อนหน้านั้นกล่าววาจาสามหาวต่างมีใบหน้าที่ขาวซีด ไม่กล้าส่งเสียงออกมาสักคำ และหลบออกจากที่ตรงนี้เงียบๆ ไม่กล้าทำให้ผู้ใดแตกตื่น พวกเขาก็คล้ายดั่งสุนัขที่ไม่มีเจ้าของหดหางแอบวิ่งหนีไปเงียบๆ
หลังจากสิ้นสุดการบรรยายคาบนี้แล้ว ทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้า ดูจะสงบเงียบเป็นพิเศษ แม้แต่นักศึกษาระดับอัจฉริยะที่ปรกติหยิ่งยโสยิ่งก็ดูจะกลับกลายเป็นสงบยิ่งนักในเวลานี้ ตั้งหน้าตั้งตาศึกษาเล่าเรียน ทำการฝึกฝนด้วยความสงบไม่กล้าก่อเรื่องก่อราวขึ้นมาอีก
หลี่ชิเย่เองก็ขลุกอยู่แต่ในเรือนตำราไม่ได้ออกไปไหน เขาปิดประตูทำบรรลุบางอย่าง โดยที่พวกเย่ซินเสวี่ยก็ไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่กำลังบรรลุในสิ่งใดอยู่
แม้ว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าดูจะสงบเงียบเป็นพิเศษ แต่ทว่าบรรดาผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าต่างก็เข้าใจ นี่เป็นพียงความสงบก่อนพายุฝนฟ้าคะนองจะมาเท่านั้น หลังความสงบผ่านพ้นไป ก็จะมีพายุฝนฟ้าคะนองตามมา
แต่ว่า มาคราวนี้บรรดาผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่มั่นใจว่าสามารถผ่านภัยพิบัติคราวนี้ไปได้ ผ่านพายุฝนฟ้าคะนองคราวนี้ไปได้ เนื่องจากพวกเขาได้มีการตระเตรียมไว้แล้วอย่างเต็มที่ ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ยังมีหลี่ชิเย่ที่นั่งบัญชาการอยู่ภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้า ซึ่งจะเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการตัดสินสงครามในครั้งนี้!.Aileen-novel
ดังนั้น บรรดาผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจึงเปี่ยมด้วยความมั่นใจ ต่อให้เป็นจอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายมาลอบโจมตี สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็รับเอาไว้ได้
เสียงปัง…ดังขึ้นเสียงหนึ่งหลังจากสงบเงียบได้ไม่กี่วัน หลังจากผ่านวันที่สงบเงียบมาได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ในค่ำคืนหนึ่งพลันเกิดเสียงแตกละเอียดดังขึ้นมากะทันหัน เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างที่ดิ้นหลุดจากพันธนาการอย่างนั้น ทุกคนที่อยู่ภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้าสามารถได้ยินเสียงแตกร้าวนี้ได้
นักศึกษาจำนวนมากรีบวิ่งออกไปเมื่อได้ยินเสียงแตกละเอียดที่ดังขึ้น ทุกคนต้องการรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
“ดูนั่น…” เมื่อนักเรียนทั้งหมดวิ่งออกมาแล้ว มีนักศึกษาที่ส่งเสียงร้องดังออกมาพร้อมกับชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า
ในเวลานี้ บนท้องฟ้าเหมือนปรากฏเหตุการณ์ประหลาดขึ้นมา นาทีนี้ช่องว่างทั่วทั้งบริเวณภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้ากำลังกระเพื่อมเสมือนดั่งเป็นคลื่นยักษ์อย่างนั้น นาทีนี้สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็คล้ายดั่งเป็นเรือน้อยลำหนึ่งที่ลอยล่องอยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์บนทะเล พร้อมที่จะถูกพลิกคว่ำโดยช่องว่างที่กำลังกระเพื่อมอยู่
ตึง ตึง ตึงเสียงโซ่ที่ทำจากโลหะดังขึ้นเป็นระลอก ต้นตอที่ทำให้เกิดการกระเพื่อมของช่องว่ามาจากเจดีย์ขนาดเล็กหลังหนึ่ง เจดีย์หลังนี้ไม่ได้สูงใหญ่อะไรนัก มันไม่ได้สร้างขึ้นมาจากโลหะใดๆ แต่เกิด่จากการรวมตัวกันขึ้นมาของอักขระยันต์
เจดีย์หลังเล็กที่เกิดจากการรวมตัวกันขึ้นของตัวอักขระยันต์ ถูกพันธนาการเอาไว้โดยโซ่กฎเกณฑ์แต่ละสายเอาไว้ โดยที่กฎเกณฑ์แต่ละสายนี้ไม่รู้ว่าเป็นฝีมือของใคร มีพลังที่น่าเกรงขามยิ่ง เหมือนว่ามันสามารถสยบเป็นนิรันดร์อย่างนั้น
ในขณะนี้ เจีดย์เล็กหลังนี้ได้สั่นเทาขึ้นมา เหมือนว่าต้องการดิ้นให้หลุดจาการถูกพันธนาการโดยโซ่กฎเกณฑ์สัจธรรมอย่างนั้น มันสั่นเทาขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า อีกทั้งการสั่นแต่ละครั้งก็จะรุนแรงขึ้นกว่าครั้งแรก
จากการที่เจดีย์หลังเล็กสั่นเทาครั้งแล้วครั้งเล่า กฎเกณฑ์สัจธรรมยิ่งพันธนาการแน่นขึ้นๆ เหมือนต้องการรัดให้เจดีย์แตกละเอียดอย่างนั้น แต่ทว่า ยิ่งกฎเกณฑ์สัจธรรมพันธนาการแน่นมากขึ้นเท่าไร เจดีย์หลังเล็กก็ยิ่งสั่นเทารุนแรงมากขึ้น และมีพลังมากยิ่งขึ่น
จากการที่เจดีย์หลังเล็กลักษณะเช่นนี้ที่สั่นเทาอย่างรุนแรง มันได้ทำให้ช่องว่างขนาดยักษ์สั่นไหวโคลงเคลงจนเหมือนอยู่ท่ามกลางคลื่นยักษ์ที่โหมสาดซัดอย่างนั้น ทำให้เกิดการกระเพื่อมขึ้นอย่างรุนแรง
“นี่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?” บรรดานักศึกษาต่างตกใจกับภาพเหตุการณ์ที่ได้เห็น ต่างไม่รู้ว่ามันได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ตึง ตึง ตึงในเวลานี้เอง ปรากฏเสียงเตือนของสถาบันศึกษาเทพเจ้าดังขึ้น และน้ำเสียงที่เข้มและมากด้วยอำนาจของผู้อำนวยการสถาบันได้ดังไปทั่วทุกมุมของสถาบันศึกษาเทพเจ้าว่า “เหตุการณ์ไม่ปรกติ นักศึกษาทุกคนรีบกลับเข้าไปยังป้อมปราการนิรภัย มิฉะนั้นแล้วจะต้องรับผิดชอบในผลที่เกิดขึ้นเอง!”
หลังจากเสียงของผู้อำนวยการสถาบันดังเตือนขึ้นมา ทำเอานักศึกษาทั้งหมดต่างรู้สึกตกใจยิ่งนัก เวลานี้นักศึกษาจำนวนมากจึงได้รู้ว่าเกิดเหตุการณ์รุนแรง มิฉะนั้นหละก็ทางสถาบันศึกษาเทพเจ้าคงไม่มีเสียงระฆังฉุกเฉินดังขึ้นอย่างเร่งด่วนขนาดนี้
หลังจากที่นักศึกษาสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้สติกลับมาแล้วต่างทยอยกันหนีกลับไปยังป้อมปราการนิรภัยไม่กล้าออกมาอีก จะอย่างไรเสียแม้แต่ผู้อำนวยการสถาบันยังพูดเช่นนี้ออกมา ย่อมต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ก็มีนักศึกษาบางส่วนที่มีทักษะยุทธแข็งแกร่งและห้าวหาญ ถือว่าตนเองนั้นมีทักษะที่แข็งแกร่ง มีของวิเศษที่ยอดเยี่ยมไว้คุ้มกายในครอบครอง ถึงกับไม่หนีกลับไปยังป้องปราการ ยังคงรั้งอยู่ด้านนอกคอยสักเกตุการณ์ แน่นอน มีนักศึกษาบางส่วนที่มีเป้าหมายภายในใจที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ พวกเขาก็ไม่ได้กลับเข้าไปยังป้อมปราการของสถาบัน
ทางสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ไม่ได้ให้ความสนใจต่อบรรดานักศึกษาที่ไม่กลับเข้าป้อมปราการเหล่านี้ บางทีกล่าวสำหรับนักศึกษาเหล่านี้แล้ว ถือเป็นขัดเกลาจากความเป็นความตายครั้งหนึ่ง
ปัง…ครั้นใกล้รุ่งสาง ทันใด้นั้น เจดีย์ขนาดเล็กหลังนั้นได้ทำลายกฎเกณฑ์สัจธรรมที่พันธนาการมันลง จากนั้นได้ยินเสียงดังตูมที่ดังสนั่นเสียงหนึ่ง เสมือนดั่งช่องว่างทั้งหมดเกิดพายุร้ายที่สูงเป็นล้านล้านจ้างเข้าโจมตีอย่างนั้น พริบตาเดียวนั้นเอง คลื่นช่องว่างที่ดั่งคลื่นในทะเลที่หนุนเนื่องมาไม่ขาดสาย พลันปกคลุมท่วมสถาบันศึกษาเทพเจ้าจนจมมิด
ตูม ตูม ตูมเสียงดังตูมตามดังขึ้นเป็นระลอกไม่ขาดสาย ทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าสั่นไหวโคลงเคลงไม่หยุด เหมือนว่าทั่วทั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าพร้อมถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ทำให้นักศึกษาจำนวนมากหวาดกลัวด้วยความหวาดระแวง
สุดท้าย ภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้าค่อยๆ สงบลง ต่อให้เป็นการกระเพื่อมขอช่องว่างที่ดั่งคลื่นยักษ์ถาโถมเข้ามา ก็ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้าแม้แต่น้อย หากเปลี่ยนเป็นแคว้นเจ้าลัทธิอื่นๆ เกรงว่าคงแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี กลายเป็นเถ้าธุลีไปนานแล้วภายใต้การกระเพื่อมของช่องว่างที่น่ากลัวเช่นนี้
หลังจากที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าได้สงบลงแล้ว มีนักศึกษาที่ได้สติกลับมาถึงกับวิ่งออกไปดู พริบตาเดียวนั้นเอง ทุกคนต่างรับรู้ถึงกลิ่นอายที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมยิ่งลอยเข้ามาปะทะใบหน้า
“โลกข้าง ข้าง ข้างนอกหายไปแล้ว…” มีนักศึกษาที่เหาะขึ้นไปดูบนท้องฟ้า ตกใจจนหน้าถอดสี ร้องเสียงแหลมออกมา
นักศึกษาจำนวนไม่น้อยทยอยกันเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้าเมื่อได้ยินเสียงร้องแหลมดังเช่นนี้ เมื่อมองออกไป พวกเขาถึงกับอ้าปากตาค้าง
แม้จะกล่าวว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้ากินเนื้อที่อาณาบริเวณกว้างขวางใหญ่โตมาก แต่ทว่า เมื่อมองออไปจากสถาบันศึกษาเทพเจ้ายังคงสามารถมองเห็นแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากที่อยู่ด้านนอก
แต่ทว่า เวลานี้เมื่อยืนอยู่บนท้องฟ้าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้วมองออกไปด้านนอก สิ่งที่สายตามองเห็นคือโลกที่ไร้ซึ่งอารยะธรรมยิ่ง มองเห็นต้นไม้ขนาดยักษ์แต่ละต้นที่สูงเทียมฟ้า ภูเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกที่สูงทะลุเมฆาขึ้นไป มองเห็นวิหคยักษ์และสัตว์ดุร้ายแต่ละตัวที่กลืนและคายสุริยันจันทราออกมา…
พริบตาเดียวนี้เอง นักศึกษาทั้งหมดล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าตนเองนั้นอยู่บนโลกอีกโลกหนึ่ง เหมือนว่าเวลานี้สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ได้ตั้งอยู่ที่ทวีปเจียวเหิงโจวอีกต่อไป กระทั่งไม่ได้ตั้งอยู่แห่งหนึ่งแห่งใดในสิบสามทวีป เหมือนว่าที่ตรงนี้คือโลกที่พวกเขาไม่เคยรู้จักมาก่อน!
…………………………………………………