กู่ฉวี่หังถึงกับหัวเราะ และกล่าวว่า “ยังมีอาจารย์แบบนี้ด้วยหรือ นับว่าน่าสนใจ ข้ากลับอยากพบเจออาจารย์เช่นนี้แล้ว”
“อาจารย์เช่นนี้ไหนเลยจะเทียบเคียงกับอาจารย์ฉวี่หังได้เล่า” นายน้อยทะยานฟ้ากล่าวว่า “เมื่อเทียบกับอาจารย์แล้วก็เสมือนดั่งแสงหิ่งห้อยที่เทียบกับแสงของดวงจันทรา มิฉะนั้นหละก็ เขาคงไม่ถูกจัดให้ไปเป็นอาจารย์ในเรือนตำราแล้ว”
“เป็นอาจารย์ในเรือนตำรา?” เมื่อกู่ฉวี่หังได้ยินคำพูดจากนายน้อยทะยานฟ้าแล้วรู้สึกเหนือความคาดคิดยิ่งนัก
“นั่นสิ” เทพบุตรซือจงรีบกล่าวว่า “มีนักศึกษาสงสัยว่าเขาเข้ามาเป็นอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้เพราะความสัมพันธ์ส่วนตัว มิฉะนั้นหละก็ทางสถาบันไหนเลยจะจัดให้เขาไปเป็นอาจารย์ของเรือนตำราเล่า เรือนตำรามีนักศึกษาอยู่เพียงแค่สามคนเท่านั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาก็จะมาฟังคำบรรยายที่ศตาคารโดยไม่จำเป็นต้องมีอาจารย์อยู่แล้ว การที่สถาบันจัดให้เขาไปอยู่ที่เรือนตำราคงเกรงว่าเขาจะทำให้ลูกหลานคนอื่นต้องเสียหายกระมัง”
“ไม่…” กู่ฉวี่หังยิ้มๆ ส่ายหน้าและกล่าวว่า “พวกเจ้าออกจะดูแคลนเรือนตำราไปเสียแล้ว ทุกคนต่างก็รู้ว่าเรือนตำราเป็นสถานที่ที่ไม่มีความสำคัญ แต่ว่า เรือนตำราไหนเลยจะง่ายดายอย่างที่พวกเจ้าคิด เรือนตำราคือสถานที่ที่มากด้วยโชควาสนา ผู้ที่รับรู้ถึงความลึกซึ้งพิสดารคิดจะอาศัยอยู่ในเรือนตำราก็หาใช่เป็นเรื่องง่ายดาย”
“เรือนตำราคือสถานที่ที่มากด้วยโชควาสนา?” ทั้งนายน้อยทะยานฟ้าและเทพบุตรซือจงต่างรู้สึกตะลึงนิดหนึ่ง รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้
นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าล้วนแล้วแต่รู้ดีว่าอยู่แล้วว่า เรือนตำราเป็นเพียงสถานที่ที่เก็บรวบรวมตำราที่ไม่มีความสำคัญ นักศึกษาจำนวนมากต่างไม่ต้องการเข้าไปยังเรือนตำรา
“ถูกต้อง เป็นสถานที่ที่สุดยอดโชควาสนาแห่งหนึ่ง” กู่ฉวี่หังพยักหน้าเบาๆ และเอ่ยขึ้นช้าๆ
“เรือนตำรามันมีโชควาสนาใหญ่อย่างไรกันแน่?” นายน้อยทะยานฟ้าเต็มไปด้วยความสงสัย อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมา
“เรื่องนี้พูดยาก ความลับที่อยู่ภายในอย่าว่าแต่พวกเราเลย ต่อให้เป็นบรรดาอาจารย์ในสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็รู้อยู่ไม่กี่คน ผู้ที่รู้ถึงความลึกซึ้งพิสดารอย่างแท้จริงนั้น คงมีเพียงผู้เฒ่าที่ไม่ปรากฏตัวออกมาเพียงไม่กี่ท่านเท่านั้น” กู่ฉวี่หังเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“มิน่าเล่าจึงมีรุ่นพี่บอกว่า อาจารย์เคยอ่านตำรามามากมาย ความรู้ที่กว้างขวางของอาจารย์ไม่มีผู้ใดเทียบเทียม” เทพบุตรซือจงรีบกล่าวชมขึ้นมา
กู่ฉวี่หังยิ้มๆ และกล่าวว่า “แต่ทว่า อาจารย์หลี่ท่านนี้กลับเป็นผู้ที่น่าสนใจเลยทีเดียว ข้าอยากจะพบเขาสักครั้ง”
คำพูดของกู่ฉวี่หังสร้างความดีใจให้กับนายน้อยทะยานฟ้าและเทพบุตรซือจง พวกเขาทั้งสองต่างมองตากันและกัน นายน้อยทะยานฟ้ากล่าวว่า “อาจารย์ อาจารย์หลี่ใกล้ชิดสนิทสนมกับอาจารย์เชียนเสวียนยิ่งนัก ดูเหมือนความสัมพันธ์กับผู้เฒ่าบางส่วนของสถาบันก็ไม่ธรรมดา ดูไปแล้วเบื้องหลังที่คอยสนับสนุนอาจารย์หลี่นั้นแข็งแกร่งมาก อาจารย์ยังคงอย่าขัดแย้งกับเขาดีกว่า เพื่อไม่ให้ทุกคนเข้าใจผิดกัน”
คำพูดของนายน้อยทะยานฟ้ามีความหมาย เนื่องจากเขามีความใกล้ชิดสนิทสนมกับกู่ฉวี่หัง ดังนั้นเขาจึงรู้ว่ากู่ฉวี่หังมีใจต่ออวี่เชียนเสวียน การส่งสัญญาณเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหลี่ชิเย่กับอวี่เชียนเสวียน ทำให้ฟังดูแล้วเหมือนว่าเป็นการเตือนกู่ฉวี่หัง แต่ความจริงแล้วเป็นการ ‘กระตุ้น’ กู่ฉวี่หัง
กู่ฉวี่หังมีท่าทีไม่สะทกสะท้าน เขายิ้มๆ ท่าทีดูเป็นธรรมชาติ และกล่าวว่า “เส้นทางหมื่นพัน บนโลกนี้อุปสรรคมากมาย คิดจะยืนอยู่บนโลกใบนี้ยังคงต้องอาศัยตนเอง ข้าร่วมดื่มกับเหล่าราชัน สนทนาธรรมกับเซียนหวัง มันก็แค่สหายที่ ‘คบหา’ กันผิวเผินเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการ ’คบหา’ กับผู้คนทั่วหล้า หรือว่ามีชาติกำเนิดมาจาก ‘สายสำนัก’ ราชัน มันก็แค่เป็นความได้เปรียบเล็กน้อยบนเส้นทางที่กว้างใหญ่เท่านั้น การจะยืนอยู่บนเส้นทางใหญ่เบิกโลกหล้า มีเพียงตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกรจึงจะเป็นแก่นแท้”
คำพูดนี้กู่ฉวี่หังพูดขึ้นมาช้าๆ ไม่ได้เป็นคำพูดที่มีพลังกล้าได้กล้าเสีย กระทั่งพูดออกมาโดยอาศัยน้ำเสียงที่เรียบเฉยมาก แต่เปียมด้วยความพาลยิ่งนัก ทำให้ผู้ฟังต้องสะเทือนหวั่นไหวภายในใจ
ร่วมดื่มกับเหล่าราชัน สนทนาธรรมกับเซียนหวัง ช่างเป็นความอันธพาลยิ่งนัก ช่างเป็นชีวิตที่สูงสุดยอดจริงๆ จะมีสักกี่คนที่สามารถก้าวไปถึงความสูงระดับนี้กันเล่า
คนจำนวนมากเท่าไรที่แหงนมองเหล่าราชัน กราบไหว้เซียนหวัง ขณะที่กู่ฉวี่หังกลับสามารถร่วมดื่มกับเหล่าราขัน สนทนาธรรมกับเซียนหวัง ไม่ว่าใครก็ตามหากได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วก็ต้องใจหายใจคว่ำ
แน่นอน นายน้อยทะยานฟ้าและเทพบุตรซือจงก็เข้าใจว่ากู่ฉวี่หังใช่ว่าจะอวดอ้างคุยโต ในฐานะที่เป็นจอมเทพที่มีพรสวรรค์สูงที่สุด เป็นความจริงที่กู่ฉวี่หังมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะร่วมดื่มกับเหล่าราชัน และสนทนาธรรมกับเซียนหวัง
“บุคลิกลักษณะของอาจารย์เป็นที่น่าประทับใจแห่งยุค พวกข้าที่เป็นผู้เยาว์ได้แต่แหงนหน้ามอง” เทพบุตรซือจงรีบเร่งพูดขึ้นมา
“เอาหละ แผนการน้อยๆ ของพวกเจ้ามีรึข้าจะไม่เข้าใจ?” กู่ฉวี่หังหัวเราะและกล่าวว่า “ข้าต้องพบกับอาจารย์หลี่ท่านนี้แน่ แต่ไม่เป็นเพราะบุญคุณความแค้นอะไรของพวกเจ้า ด้วยอัจฉริยะบุคคลที่มีศักยภาพเช่นนี้ข้ารู้สึกคันไม้คันมืออยากจะลองดูเสียแล้ว อยากจะประลองสักหน่อย ส่วนความคิดน้อยๆ และคำประจบน้อยๆ เหล่านั้นจงเก็บเอาไว้เถอะ ขอเพียงพวกเจ้ามีกำลังที่แข็งแกร่งเพียงพอ ย่อมท้าสู้ได้กับทุกคน”
“ขอบคุณอาจารย์ที่สอนสั่ง ศิษย์ผิดไปแล้ว” นายน้อยทะยานฟ้าและเทพบุตรซือจงต่างรู้สึกดีใจ รีบคาระวะทีหนึ่ง
“คราวนี้ข้าจะสนทนาธรรมกับอาจารย์หลี่ และถ่ายทอดวิชาเพียงเท่านี้เอง” กู่ฉวี่หังหัวเราะและกล่าวว่า “พวกเจ้าก็นับเป็นศิษย์ของข้า คราวนี้ก็ถือว่าข้าได้เข้าข้างนิดหนึ่งก็แล้วกัน สำหรับเรื่องบุญคุณความแค้นของพวกเจ้านั้น หรือบางทีพวกเจ้าถูกรังแกอะไรนั้นก็ให้มันแล้วกันไปเถอะ ใครใช้ให้พวกเจ้าฝีมือไม่ดี พวกเจ้าคาดหวังให้ข้ากับอาจารย์หลี่ปะมือกันนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้แล้ว”
“ศิษย์ไม่กล้า” นายน้อยทะยานฟ้าและเทพบุตรซือจงยิ้มเจื่อนๆ แล้วไม่กล้าพูดมากความ จะอย่างไรเสียกู่ฉวี่หังมีตำแหน่งและอำนาจสูง สามารถออกหน้าแทนพวกเขานับว่าไม่ง่ายนักแล้ว
“พวกเจ้าเองก็สงบจิตสงบใจเสียบ้าง อย่าทำตัวโดดเด่นทั้งวัน ทำตัวค่อมต่ำสักนิดอย่าเป็นที่สนใจของผู้อื่น หนทางข้างหน้าไม่ได้ราบเรียบ พวกเจ้าสามารถทนอยู่จนถึงสำเร็จการศึกษาหรือไม่ก็ยังไม่แน่เลย” กู่ฉวี่หังยิ้มกล่าวขึ้นมา
“ความหมายของอาจารย์คือพวกเราจะถูกไล่ออกจากสถาบันศึกษาเทพเจ้ารึ?” เทพบุตรซือจงตกใจกับคำพูดเช่นนี้ จึงรีบพูดขึ้นมา
กู่ฉวี่หังส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “มันไม่ใช่เรื่องที่ว่าพวกเจ้าจะถูกไล่ออกจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า เพียงแต่สถาบันมีภัย ข้าเกรงว่าจะทนไปไม่ได้ถึงเวลานั้น”
เป็นไปไม่ได้กระมัง…เมื่อเทพบุตรซือจงได้ยินคำพูดของกู่ฉวี่หังแล้วพลันรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่ง
ประกายตาของนายน้อยทะยานฟ้าเองก็เต้นกระตุกทีหนึ่ง อดที่จะกล่าวว่า “อาจารย์ ข่าวลือเรื่องนั้นเป็นความจริงรึ?” ในฐานะผู้สืบทอดของหนึ่งสำนักห้าเซียนหวัง อีกทั้งยังเป็นระดับจอมเทพคนหนึ่ง นายน้อยทะยานฟ้าจึงรู้อะไรได้มากกว่า
“เรื่องราวบนโลกจริงๆ เท็จๆ พูดยาก” กู่ฉวี่หังยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “แต่ว่า ในใจของพวกเจ้าก็ต้องเตรียมการเอาไว้ วางแผนให้กับตนเองดีๆ อนาคตสามารถก้าวเดินบนเส้นทางแบบไหนขึ้นอยู่กับโชควาสนาของตัวเองแล้วหละ”
ทั้งนายน้อยทะยานฟ้าและเทพบุตรซือจงต่างมองตากันและกันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของกู่ฉวี่หัง
ความหมายของอาจารย์…ในเวลานี้นายน้อยทะยานฟ้าก็คาดเดาจิตใจของกู่ฉวี่หังบ้างเหมือนกัน
กู่ฉวี่หังใบหน้าแฝงด้วยรอยยิ้ม กล่าวเฉยเมยว่า “นี่จะเป็นยุคที่บรรดาเหล่าราชันและเซียนหวังออกมาพร้อมกัน เป็นงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ พวกเจ้าจะมีวาสนาหรือไม่ก็ต้องขึ้นกับตัวของพวกเจ้าเองแล้ว”
“ขออาจารย์ช่วยชี้แนะทางสว่างให้ด้วย” เทพบุตรซือจงร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง เมื่อได้สติกลับมา จึงรีบคารวะต่อกู่ฉวี่หัง
กู่ฉวี่หังไม่ตอบ เพียงอมยิ้มแต่ไม่พูดอะไร
หลี่ชิเย่เดินเล่นอยู่ในสวนชา เขาแค่เดินไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง แต่ว่า ทันใดนั้น ในที่ที่ห่างไกลปรากฎแสงสีทองที่แวบผ่านไป ซึ่งทำให้ประกายตาของหลี่ชิเย่เต้นกระตุกทีหนึ่ง เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา จากนั้นเหินฟ้าออกไป
ลึกเข้าไปในสวนชามีหุบเขาลึกอยู่แห่งหนึ่ง ที่ตรงนี้จะปกคลุมด้วยไอหมอกตลอดทั้งปี ฟังจากนักศึกษาทุกรุ่นพูดถึงกันว่า ที่ตรงนี้ทำให้ผู้คนต้องหลงทาง ผู้ที่เข้าไปในหุบเขาลึกแห่งนี้แล้ว สุดท้ายแล้วมักจะย้อนกลับไปยังที่เดิมอยู่เสมอๆ
มันเป็นหุบเขาลึกธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง ไม่มีใครรู้ว่าข้างในมีรายละเอียดเกี่ยวกับความลึกลับอย่างไรบ้าง อีกทั้งอาจารย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ไม่เคยพูดถึงเลย
หลังจากที่หลี่ชิเย่เข้าไปในหุบเขาลึกแล้ว เพียงใช้นิ้วชี้ไปตามใจ ได้ยินเสียงดังตึง ตึง ตึงขึ้นมาคล้ายดั่งเปิดกุญแจอย่างนั้น ท่ามกลางไอหมอกปรากฏเป็นกฎเกณฑ์สีทองแต่ละสายขึ้นมา สุดท้าย ได้ยินเสียงดังตึง กฎเกณฑ์ทั้งหมดได้ถักทอเข้าด้วยกัน ฉับพลันได้กลายเป็นประตูมิติ
ได้ยินเสียงดังแว้งค์ หลี่ชิเย่ก้าวเข้าไปยังประตูมิติ ทันใดนั้นได้ถูกส่งตัวออกไป พริบตาเดียวได้ก้าวข้ามช่องว่างหนึ่งช่องว่างเล่า เข้าไปยังตำแหน่งที่ไม่รู้แน่ชัด
สุดท้าย หลี่ชิเย่ได้เข้าไปยังบ้านโบราณหลังหนึ่ง ภายในบ้านโบราณไม่มีสิ่งอื่นใด นอกจากเตียงราชันที่วางอยู่หลังหนึ่ง ถ้าหากเป็นผู้ที่รู้ดี พลันที่มองเห็นเตียงราชันหลังนี้จะต้องตกใจยิ่งนัก เนื่องจากเป็นเตียงราชันที่ถูกแกะสลักขึ้นมาจากไม้เซียนในตำนานทั้งหลัง อีกทั้งยังเป็นชิ้นเดียวกันทั้งหลัง เป็นการตัดต้นไม้เซียนขนาดใหญ่มากแล้วแกะสลักขึ้น ต้นไม้เซียนประเภทนี้แม้แต่จอมราชันเซียนหวังก็ยากที่จะได้มันมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์ปุถุชนธรรมดาแล้ว
บนเตียงราชันยังถูกปิดผนึกด้วยสุดยอดหินเลือดเซียนกาลเวลาที่ยากจะหาใดเทียมในหล้า ซึ่งอาศัยวิธีการที่พบเห็นได้ยาก เกรงว่าการปิดผนึกร่างเช่นนี้แม้แต่จอมราชันเซียนหวังทั่วไปก็ไม่มีสิทธิ์
“ท่านมาด้วยตนเอง ขออภัยที่ข้าไม่ได้ไปต้อนรับ” ในขณะนี้บนเตียงราชันมีคนผู้หนึ่งลุกขึ้นนั่ง คนผู้นี้สวมใส่ชุดราชันทั้งชุด เปี่ยมด้วยอำนาจบารมียิ่ง คนผู้นี้แลดูเหมือนผู้เฒ่าอายุแปดสิบ บนตัวของเขาสวมใส่ชุดราชันโบราณ มีผมสีทองที่กระจายยาวประบ่า ยามที่เขาลุกขึ้นนั่งมีพลังของราชันที่สยบเก้าชั้นฟ้าอานุภาพสะเทือนสิบสามทวีป!
“ช่างเถอะ ด้วยสภาพร่างกายของเจ้าเช่นนี้ยังคงอยู่นิ่งๆ จะดีกว่า” หลี่ชิเย่โบกมือและนั่งลงข้างเตียง หัวเราะและกล่าวว่า “เกิดสวรรค์ลงทัณฑ์อะไรขึ้นมาหละก็ยุ่งแน่เลย”
“กระดูกผุๆ อย่างข้าเกรงว่าสวรรค์คงไม่เห็นอยู่ในสายตา” ผู้เฒ่าผู้นี้ยิ้มกล่าว
หลี่ชิเย่ยิ้มแล้วมองตั้งแต่หัวจดเท้า และกล่าวว่า “คราวนี้แม้แต่เจ้ายังจะปรากฏตัวออกมา นับว่าทำให้ข้ารู้สึกผิดคาด นับตั้งแต่บิดาเจ้าเดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เจ้าก็ปรากฏตัวออกมาน้อยมาก”
“เฮ่อ ตาเฒ่าอย่างข้าทนต่อการทนทุกข์ทรมานไม่ไหวอีกแล้ว หากทนทุกข์ทรมานต่อไปเกรงว่ากระดูกคงต้องแยกเป็นชิ้นๆ แน่ ได้แต่นอนเฉยๆ ให้ร่างกายที่พอมีประโยชน์อยู่บ้างสามารถสำแดงออกมายามต้องการ” ผู้เฒ่าทอดถอนใจและยิ้มกล่าวออกมา
“ช่างเถอะ คำพูดแบบนี้ไม่ต้องเอามาพูดกับข้าแล้วหละ อาศัยสายเลือดเสินหย่งของเจ้า ขอเพียงสวรรค์ไม่ลงทัณฑ์ต่อเจ้า เจ้ายังคงสามารถกระโดดโลดเต้นและมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวและส่ายหน้า
“ท่านพูดเล่นแล้ว” ผู้เฒ่าหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “เป็นความจริงที่คนในรุ่นของพวกเราไม่สามารถทนต่อการทนทุกข์ทรมานได้ ไม่เหมือนดั่งท่านที่ยิ่งสู้ยิ่งห้าวหาญ ถ้าหากว่าเวลานี้ให้ข้าไปทำเหมือนเช่นบิดาในครั้งนั้นที่เดินทางไกลเพื่อปราบปรามเป็นครั้งสุดท้าย เกรงว่าข้าเองไม่มีความกล้าหาญเช่นนั้น ร่างกายแตกต่างจากก่อนหน้านั้นมากทีเดียว”
“มาคราวนี้เจ้าก็ได้ออกมาแล้วมิใช่รึ” หลี่ชิเย่หัวเราะทีหนึ่ง และกล่าวว่า “ข้ายังเข้าใจว่าเจ้าจะไม่สนใจไม่ยุ่งอีกแล้วจริงๆ”
“จะอย่างไรเสีย สิ่งนี้คือกำลังกายใจของบิดาและท่านตาของข้า และเป็นกำลังกายใจของมารดาข้า ต่อให้ข้าไม่สนใจเรื่องราวทางโลก แต่สิ่งนี้จะอย่างไรเสียก็คือกำลังแรงกายแรงใจของพวกเขา ข้าไม่ต้องการให้มันล่มสลาย” ผู้เฒ่าผู้นี้กล่าวทอดถอนใจออกมา