หลังจากที่คนหัวสิงโตร่างคนจากไปแล้ว ทำให้นักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจำนวนไม่น้อยมีการวิพากวิจารณ์กัน ทุกคนต่างคาดเดากันว่าคนผู้นี้คือใครกันแน่
“บางทีอาจเป็นเซียนหวังร้อยชาติพันธุ์จริงๆ” มีนักศึกษากล่าวคาดเดาขึ้นมา เมื่อมองเห็นผู้ที่หัวสิงโตร่างคนไม่กล้าเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง ปิดบังโฉมหน้าแท้จริงเอาไว้
การคาดเดาเช่นนี้ได้รับการเห็นด้วยจากผู้คนเป็นจำนวนมาก ถ้าหากเป็นจอมราชันของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องไปปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงอยู่แล้ว เผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าไม่ถูกกับร้อยชาติพันธุ์ตลอดมาอยู่แล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่รับรู้กันทั่วหล้า
เฉกเช่นราชันมารอวี่หลุนอย่างนั้น เขามาปล้นชิงสถาบันศึกษาเทพเจ้าอย่างเปิดาเผยไม่จำเป็นต้องไปปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงของตน แม้ว่าตระกูลขุนนางโบราณอวี่หลุนจะตั้งอยู่ที่ทวีปเจียงเหิงโจวก็ตาม ขณะที่ราชันมารอวี่หลุนยังคงกล้ามาแย่งชิงอย่างเปิดเผย โดยไม่ต้องเกรงว่าจะถูกผู้อื่นล่วงรู้เรื่องนี้
ตรงกันข้าม คนที่เป็นหัวสิงโตร่างคนผู้นี้กลับไม่กล้าเปิดเผยตัวตนแท้จริง ซึ่งทำให้เป็นที่คาดเดาของทุกคน ถ้าหากจะพูดถึงความกังวล บางทีเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์จึงจะมีความกังวล จะอย่างไรเสียสถาบันศึกษาเทพเจ้าถูกร้อยชาติพันธุ์มองว่าเป็นต้นกำเนิดความเจริญรุ่งเรือง ถ้าหากแม้แต่เซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์ยังโจมตีสถาบันศึกษาเทพเจ้า ย่อมเป็นความจริงที่จะต้องนำมาซึ่งการวิพากวิจารณ์ของร้อยชาติพันธุ์ ทำให้ลูกหลานที่เป็นชนรุ่นหลังต้องถูกประณาม
ถ้าหากเป็นเซียนหวังของร้อยชาติพันธุ์จริงๆ การปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงย่อมเป็นสิ่งที่สามารถจินตนาการได้อย่างแท้จริง
“ฮึ ไม่แน่นักอาจเป็นเซียนหวังที่กำเนิดมาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเราด้วยแหละ เจ้าคนเนรคุณ ไม่นึกถึงว่าสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้ทำการบ่มเพาะพวกเขาอย่างไร เวลานี้สถาบันศึกษาเทพเจ้ามีภัยไม่มาช่วยก็แล้วไป ยังแทงข้างหลังเข้าให้อีก ต่ำทรามไร้ยางอาย!” มีนักศึกษาที่หล่าวด้วยความรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม
คำพูดของนักศึกษาผู้นี้ทำให้ภายในใจของนักศึกษาจำนวนมากรู้สึกเย็นวาบ ความจริงหลังจากที่เซียนหวังสองประสานได้พูดคำพูดเช่นนี้ออกมาแล้ว ก็มีนักศึกษาจำนวนมากที่แอบเข้าใจกันว่าหัวสิงโตร่างคนผู้นี้ก็คือเซียนหวังที่ถือกำเนิดขึ้นที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า เพียงแต่ทุกคนไม่กล้าพูดออกมาเท่านั้นเอง จะอย่างไรเสียพวกเขาไม่ใช่เซียนหวังสองประสานที่พูดจาโดยไม่ต้องกังวลใดๆ
“ระวังคำพูดจะดีกว่า เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของเซียนหวังฝ่าบาท หากไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด ทางที่ดีอย่าพูดสุ่มสี่สุ่มห้าจะดีกว่า” มีรุ่นพี่ที่ดูจะมีความรอบคอบออกปากเตือนสติ
คำพูดของนักศึกษาผู้นี้ใช่จะไม่มีเหตุผล เซียนหวังที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าใช้นิ้วมือก็สามารถนับได้หมด เฉกเช่นเซียนหวังฝูสือ เซียนหวังสองประสานต่างก็มาให้การช่วยเหลือสถาบันศึกษาเทพเจ้า เช่นนั้นแล้วเซียนหวังที่ไม่ได้มา มิล้วนแล้วแต่น่าสงสัยไปสิ้น
ด้วยเหตุนี้เอง รุ่นพี่ผู้นี้จึงได้กล่าวเตือนสตินักศึกษาอื่นๆ ให้ระวังคำพูด จะอย่างไรเสียมันเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของเซียนหวัง หาใช่เป็นเรื่องเล็กน้อยเลย
แม้ว่านักศึกษาผู้นี้จะได้รับการเตือนสติจากรุ่นพี่ แต่ภายในใจของเขายังคงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม ส่งเสียงฮึเย็นชาออกมา
ความจริงแล้ว ไม่เพียงนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าที่ตั้งข้อสงสัยกับฐานะของหัวสิงโตร่างคนผู้นี้เท่านั้น แม้แต่บรรดาจอมราชันเซียนหวังก็ตั้งข้อสงสัยในฐานะของคนผู้นี้ พวกเขาก็ต้องการรู้ว่าคนผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่
จะอย่างไรเสีย ทุกคนต่างก็วางแผนต่อสถาบันศึกษาเทพเจ้า พวกเขาคือคู่แข่งด้วยกัน การเข้าใจในตัวคู่แข่งมากขึ้นย่อมเป็นการดีกว่า
น่าเสียดายที่หัวสิงโตร่างคนผู้นี้ไม่ได้เปิดเผยข้อมูลอะไรมากมายนัก ต่อให้เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะราชันมารอวี่หลุน และราชันเซียนไป่เลี่ยน ก็ไม่สามารถคาดเดาถึงประวัติของคนผู้นี้ได้
แต่ว่า ผู้ที่ต้องการครอบครองสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ได้มีเพียงบรรดาจอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพปราศจากผู้ต่อกรเท่านั้น
ตูม ตูม ตูมในเวลานี้เอง ประตูมิติถูกเปิดออก ทันใดนั้น ร่างเงาที่กำยำสายหนึ่งปรกฎอยู่บนท้องฟ้าของสถาบันศึกษาเทพเจ้า ขณะที่ร่างเงาสายนี้ปรากฏขึ้นมา เสมือนหนึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่งที่กดทับเหล่าชั้นฟ้าจนพังทลายอย่างนั้น ด้านหลังของเขาปรากฏวิหารเทพที่เก่าแก่โบราณหลังหนึ่งลอยล่อง ภายในวิหารเทพมองเห็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แต่ละองค์ที่นั่งอยู่ในนั้น อำนาจศักดิ์สิทธิ์ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด เหมือนว่าที่ตรงนี้เป็นโลกชองเหล่าเทพ ภายในโลกลักษณะเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตใตๆ ก็ต้องสั่นเทา ยอดฝีมือใดๆ ก็ต้องศิโรราบ
“วิหารเหล่าเทพ…” มีผู้ที่ร้องเสียงแหลมออกมา เมื่อมองเห็นวิหารศักดิ์สิทธิ์ที่เก่าแก่โบราณหลังนั้นที่อยู่ด้านหลังของร่างเงาสายนี้
“วิหารเหล่าเทพ…” ไม่รู้ว่ามีนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าจำนวนเท่าไรที่ต้องหวาดผวาจนหน้าถอดสี เมื่อได้ยินชื่อนี้เข้า กล่าวด้วยความรู้สึกใจหายใจคว่ำว่า “วิหารเหล่าเทพก็มาด้วยแล้วรึ?”
“เทพสงครามร้อยแขนมาแล้ว” แม้แต่ระดับจอมเทพที่ไม่ได้เผยโฉมออกมาก็ต้องมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป เมื่อมองเห็นร่างที่กำยำสูงใหญ่ผู้นี้ พึมพำออกมาว่า “วิหารเหล่าเทพก็ต้องการแปดเปื้อนน้ำครำในครั้งนี้ด้วยนะเนี่ย”
“สหาย มาด้วยเหตุอันใดรึ?” ในขณะนี้ เสียงของอดีตผู้อำนวยการสถาบันพูดขึ้นมาช้าๆ
“มิกล้า วิหารเหล่าเทพพวกเราต้องการของสิ่งเดียวเท่านั้น” ในเวลานี้ร่างที่กำยำสูงใหญ่ได้พูดขึ้นมาว่า “หวังว่าทางสถาบันศึกษาเทพเจ้าจะอนุเคราะห์สักนิด สิ่งใดที่ได้ล่วงเกิน ขอได้โปรดอภัย วันหน้าจะต้องมาขอรับโทษจากทุกท่าน”
ร่างที่กำยำสูงใหญ่พูดเสียเกรงใจเพียงนี้ ทำให้ผู้คนจำนวนมากต่างมองหน้ากันและกัน ทั้งที่เป็นการปล้นกันชัดๆ กลับพูดเสียสุภาพเช่นนี้ ทำให้ผู้คนต้องยอมแพ้กับคำพูดลักษณะเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าสหายต้องการสิ่งใด?” เสียงของอดีตผู้อำนวยการสถาบันดังก้องอยู่ตรงนั้น
“สิ่งที่พวกเราวิหารเหล่าเทพต้องการนั้นน้อยมาก เพียงต้องการสิ่งที่ทางสถาบันเก็บเอาไว้ก็พอ” บุรุษที่รูปร่างกำยำสูงใหญ่ หรือก็คือเทพสงครามร้อยแขน เขาเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ขอเพียงทางสถาบันของท่านยินยอมให้วิหารเหล่าเทพพวกเราได้อ่าน พวกเราวิหารเหล่าเทพจะไม่กล่าวมากความไปจากทันที เมื่อพวกเราได้อ่านตำราเล่มนี้จบแล้ว วันหน้าจะต้องนำมาคืนให้กับทางสถาบันของท่าน”
แม้แต่จอมราชันเซียนหวัง จอมเทพปราศจากผู้ต่อกรต่างมองตากันและกัน เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เทพสงครามร้อยแขนต้องการจะยืม
“นี่มันของดี มันคือสุดยอดตำราสูงสุดสายของราชันเทพจงหนานในครั้งนั้น” แม้แต่ราชันมารอวี่หลุนก็ถึงกับดวงตาทั้งสองเปล่งเป็นประกาย
“เกรงว่าสหายต้องผิดหวังแล้ว” อดีตผู้อำนวยการสถาบันกล่าวว่า “สิ่งนี้คือสินเดิมของราชินี สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่เคยให้ใครหยิบยืมออกไปจากสถาบัน หากสหายตั้งใจมาเป็นศิษย์ของสถาบันศึกษาเทพเจ้า วันหน้าต้องได้อ่านแน่นอน”
ที่แท้สิ่งที่เทพสงครามร้อยแขนต้องการหยิบยืมคือสุดยอดตำราเล่มหนึ่ง เคยเป็นหนึ่งในของล้ำค่าที่ราชันเทพจงหนานเก็บสะสมเอาไว้ ต่อมาบุตรีของราชันเทพจงหนานแต่งงานกับราชันเซียนเฟย ตำราเล่มนี้จะกลายเป็นหนึ่งในสินเดิมติดตามไปอยู่กับราชันเซียนเฟย
ภายหลังราชันเซียนเฟยได้ก่อตั้งสถาบันศึกษาเทพเจ้าขึ้นมา ตำราเล่มนี้จึงอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าตลอดมา กลายเป็นหนึ่งในตำราสำคัญของสถาบันศึกษาเทพเจ้า
แม้จะกล่าวว่าตำรา และเคล็ดวิชาลับจำนวนมหาศาลจะเปิดให้สำหรับนักศึกษาทุกคน แต่ก็มีตำรา และเคล็ดวิชาลับบางส่วนไม่เปิดให้กับบุคคลภายนอก เป็นต้นว่าตำราเล่มดังกล่าวก็ไม่มีการเปิดให้กับบุคคลภายนอก มีเพียงอาจารย์ที่มีสถานะก้าวไปถึงระดับหนึ่งแล้วจึงสามารถหยิบยืมไปอ่านได้
“เมื่อเป็นเช่นนั้น วิหารเหล่าเทพของพวกเราได้แต่บอกว่าขออภัย ถึงเวลานั้น พวกเราได้แต่บังคับยืมแล้ว” เทพสงครามร้อยแขนพูดขึ้นมาด้วยท่าทีเปี่ยมด้วยความพาล
คำพูดลักษณะเช่นนี้ทำให้ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องเย็นวาบ คำพูดของเทพสงครามร้อยแขนหาใช่เป็นการข่มขู่
วิหารเหล่าเทพได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสำนักที่แข็งแกร่งที่สุดของสิบสามทวีป ในวิหารเหล่าเทพไม่มีระดับจอมราชันเซียนหวัง แต่ว่า วิหารเหล่าเทพคือแหล่งรวมระดับจอมเทพที่มากที่สุดในหล้า มีผู้กล่าวว่าระดับจอมเทพของเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าสวรรค์สามเผ่าส่วนใหญ่ได้เข้าร่วมอยู่ในวิหารเหล่าเทพ
กล่าวได้ว่าวิหารเหล่าเทพเป็นศูนย์รวมของจอมเทพ ศักยภาพของพวกเชาสามารถบดขยี้สายสำนักราชันเซียนจำนวนมาก กระทั่งมีผู้ที่บอกว่า ในสิบสามทวีปไม่มีผู้ใดกล้ามีเรื่องกับวิหารเหล่าเทพ กระทั่งผู้ดำรงอยู่ในฐานะเทียนฉวนยังต้องให้เกียรติวิหารเหล่าเทพสามส่วน
ตัวของเทพสงครามร้อยแขนเองก็คือระดับจอมเทพที่แข็งแกร่งมาก มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงในครอบครอง มีชื่อเสียงโด่งดัง เคยมีผลงานการสู้รบที่หวั่นเกรงของผู้คน
เวลานี้เขายืนอยู่ตรงนี้ และพูดออกมาเช่นนี้ เป็นการแสดงจุดยืนของวิหารเหล่าเทพ ถ้าหากสถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่ยอมส่งมอบออกมา วิหารเหล่าเทพของพวกเขาก็จะไม่ยอมเลิกราอย่างเด็ดขาด
ลองนึกภาพดู มีสำนักจำนวนเท่าไรต้องหวาดกลัวจนขนลุกขนพองกับการเผชิญหน้ากับผู้ยิ่งใหญ่อย่างวิหารเหล่าเทพ และต้องหวาดกลัวอยู่ในใจอย่างยิ่ง
“วิหารเหล่าเทพต้องการบังคับยืม สถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกเรายินดีต้อนรับ” อดีตผู้อำนวยการสถาบันไม่รู้สึกหวั่นไหว และกล่าวว่า “คนเป็นขอทานย่อมไม่กลัวเหาบนหัวมีจำนวนมาก”
“ดี สถาบันศึกษาเทพเจ้าย่อมเป็นสถาบันศึกษาเทพเจ้า ข้าเลื่อมใสในความห้าวหาญเช่นนี้” เทพสงครามร้อยแขนหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราวิหารเหล่าเทพก็จะขอบังคับยืมจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าของพวกท่านแล้ว วันที่ท้องฟ้าคลาคล่ำด้วยดวงดาว วิหารเหล่าเทพพวกเราจะกลับมาเยือนอย่างแน่นอน ไม่ได้ตำราวิเศษวิหารเหล่าเทพพวกเราจะไม่ถอนทัพอย่างเด็ดขาด!” เทพสงครามร้อยแขนกล่าวจบหันหลังจากไปทันที
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของเทพสงครามร้อยแขนทำให้ทุกคนถึงกับใจหายใจคว่ำ คำพูดลักษณะเช่นนี้ของเทพสงครามร้อยแขนก็คือต้องการเอาเป็นเอาตายกับสถาบันศึกษาเทพเจ้า การที่เทพสงครามร้อยแขนพูดคำพูดที่พาลเช่นนี้หมายถึงไม่ตายไม่เลิก
แน่นอน หลังจากที่เทพสงครามร้อยแขนพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาแล้ว บรรดาจอมราชันเซียนหวังที่อยู่ในเหตุการณ์ก็มองตากันและกัน คำพูดของเทพสงครามร้อยแขนไม่เพียงพูดให้สถาบันศึกษาเทพเจ้าฟังเท่านั้น ยังเป็นการพูดให้กับทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ฟัง
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของเทพสงครามร้อยแขนเป็นการเตือนทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ไม่ว่าใครก็ตามอย่าได้คิด สุดยอดตำราเล่มนี้วิหารเหล่าเทพพวกเขาต้องได้อย่างแน่นอน ใครก็ตามหากคิดแย่งชิงกับวิหารเหล่าเทพ เท่ากับเป็นศัตรูกับวิหารเหล่าเทพพวกเขา
แน่นอน จอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพปราศจากผู้ต่อกรที่อยู่ในเหตุการณ์ก็ฟังคำพูดของเทพสงครามร้อยแขนออก ต่อให้ก่อนหน้ามีคนคิดจะแย่งชิงสิ่งนี้ เวลานี้ก็ได้เลิกล้มความตั้งใจแล้ว
จะอย่างไรเสียของดีในสถาบันศึกษาเทพเจ้ามีมากมายดั่งดอกเห็ด ไม่มีความจำเป็นต้องเอาเป็นเอาตายกับวิหารเหล่าเทพเพียงเพื่อสุดยอดตำราเล่มเดียว อีกอย่างสุดยอดตำราเล่มนี้ก็ไม่แน่ว่าจะเหมาะสมกับคน
หลังจากที่เทพสงครามร้อยแขนจากไปแล้ว ผู้คนจำนวนมากในสถาบันศึกษาเทพเจ้ารู้สึกหนักอึ้งในใจ โดยเฉพาะนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้ายิ่งรู้สึกกังวลใจ พวกเขาต่างรู้ว่าภัยพิบัติใหญ่มาถึงแล้ว
ภายในสถาบันศึกษาเทพเจ้าหนึ่งเดียวที่มีท่าทีเฉยเมย สงบนิ่งไม่สะทกสะท้านก็คือหลี่ชิเย่ เขานั่งอยู่ในตำหนักใหญ่มองขึ้นไปบนท้องฟ้าทีหนึ่ง เพียงยิ้มเฉยเมยออกมา
“คุณชายจะลงมือแล้วรึ?” หลิวจินเซิ่นที่ยืนอยู่ข้างกายเมื่อเห็นหลี่ชิเย่ลืมตาขึ้นอย่างกะทันหัน จึงพูดขึ้นทันทีว่า “ไว้ให้ข้าเปิดทางให้กับคุณชายดีไหม?”
“จินเซิ่นหน่ะ ไม่ต้องรีบ หากรีบร้อนเกินไปหละก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น ต้องมีความอดทน งานยิ่งใหญ่เช่นนี้ไม่ง่ายนัก พันล้านปีจึงจะได้พบเห็นสักครั้ง รอคอยอย่างสบายใจ พวกเรารอต่อไป รออีกสักหน่อย” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหย
“คุณชายกำลังรอผู้ใดอยู่รึ?” หลิวจินเซิ่นเอ่ยถาม
“จอมราชันเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายหน่ะสิ” หลี่ชิเย่เผยรอยยิ้มเต็มใบหน้า กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “มีเพียงระดับเช่นนี้มาแล้วจึงจะคึกครื้นดี”
คำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้หลิวจินเซิ่นเย็นวาบในใจ
……………………….