ร่างเงานังหนูน้อยที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองค่อยๆ จางลง ไอหมอกเป็นสายเหมือนดั่งต้องการมุดเข้าไปในสระน้ำอย่างนั้น มันค่อยๆ หลอมรวมเข้ากันกับน้ำในสระ ทันใดนั้น มันได้หลอมรวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำในสระแล้ว หรือบางทีอาจเป็นการหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับดวงดาวดวงนี้อย่างช้าๆ
“ข้าจะสร้างกายขึ้นมาใหม่ ต้องอาศัยเวลาที่ยาวนานมากอยู่ช่วงหนึ่ง” เวลานี้เสียงของนังหนูน้อยดังก้องอยู่ในสระหน้ำ จากการที่ร่างเงาที่อยู่ในผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองยิ่งจืดจางลง เสียงนั้นก็อ่อนลงเรื่อยๆ เหมือนว่ากำลังค่อยๆ หายไป ไอลีนโนเวล
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ถึงเวลาทีข้าสมควรจะจากไปได้แล้ว” หลี่ชิเย่ยิ้มจางๆ และกล่าวว่า “คำสัญญาของข้าสัมฤทธิ์ผลแล้ว ในอนาคตเป็นเวลาที่เจ้าต้องทำตามสัญญาแล้วหละ”
“ฮึ ข้ารู้แล้วหน่า ข้าพูดแล้วย่อมทำได้” นังหนูน้อยส่งเสียงฮึออกมา เสียงของเขาก้องกังวานไปมาอยู่ในสระน้ำ เหมือนว่านางไม่พอใจอย่างยิ่งที่หลี่ชิเย่เน้นย้ำกับนางเป็นการเฉพาะ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว” หลี่ชิเย่พยักหน้า จากนั้นหันหลังจากไปทันที
“ข้าชื่อหลงเซียว” จังหวะที่หลี่ชิเย่จากไปนั้น ปรากฏเสียงของนังหนูน้อยดังขึ้นมาจากด้านหลัง กล่าวว่า “จากนี้ไปให้เรียกข้าว่าหลงเซียว ไม่ใช่นังหนูน้อย เจ้าจงจำเอาไว้!”
“ข้าชื่อหลี่ชิเย่ เชื่อว่าเจ้าก็คงไม่ลืมอยู่แล้ว” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา จากนั้นลอยล่องจากไป
หลังจากที่หลี่ชิเย่ลอยล่องจากไปแล้ว ผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองก็ค่อยๆ จมลงสู่ก้นสระ ร่างเงาบนผ้าเช็ดหน้าสีเหลืองค่อยๆ จางลง สุดท้ายหายไปอย่างไร้ร่องรอย เหมือนว่านังหนูน้อยก็หายตัวตามไปด้วย ส่วนที่ว่าเมื่อไหร่จะได้ต้อนรับชีวิตใหม่นั้น เกรงว่าคงไม่มีใครทราบ
หลังจากที่หลี่ชิเย่ไปจากดดวงดาวดวงใหญ่นี้แล้ว ก็ไม่ได้รอพวกหวงหลงและป้าหู่ เดินทางกลับไปยังสถาบันศึกษาเทพเจ้าโดยตรง พวกหวงหลงและป้าหู่ก็ไม่จำเป็นต้องให้หลี่ชิเย่อยู่รอพวกเขา เนื่องจากเรื่องนี้เกี่ยวพันกับต้นกำเนิดของทั้งสองเผ่าของพวกเขา เรื่องเช่นนี้หลี่ชิเย่ไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ สุดท้ายแล้วยังคงต้องอาศัยตัวของพวกเขาเอง ดังนั้น การที่หลี่ชิเย่สามารถชี้นำทางสว่างให้กับพวกเขา ก็ถือว่าได้ทำตามสัญญาของเขาแล้ว
หลังจากที่หลี่ชิเย่กลับไปถึงสถาบันศึกษาเทพเจ้าแล้ว ได้เจาะจงตามเถาถิงมาเป็นการเฉพาะ เนื่องจากเขากำลังจะไปจากแล้ว เขายังไม่อาจวางใจนางอยู่บ้าง นังหนูผู้นี้กับเขามีวาสนาต่อกัน
หลังจากที่เถาถิงได้พบกับหลี่ชิเย่แล้ว นางรู้สึกเก้ๆ กังๆ อย่างยิ่ง มือคู่นั้นไม่รู้ว่าวางเอาไว้ตรงไหนดี กระทั่งไม่กล้าจ้องหน้าหลี่ชิเย่ตรงๆ
ความจริงแล้วจะโทษเถาถิงก็ไม่ถูก ในเวลานี้ทั่วทั้งสถาบันเทพเจ้าจะมีสักกี่คนที่เห็นหลี่ชิเย่แล้วไม่รู้สึกเก้ๆ กังๆ ? เถาถิงในเวลานี้ก็เข้าใจ หลี่ชิเย่นั้นคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุด อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่จอมราชันเซียนหวังยังต้องให้ความเคารพนอบน้อมอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าของเขา แล้วนับประสาอะไรกับนางเล่า
กล่าวสำหรับเถาถิงแล้ว ฉับพลันนั้นเหมือนอยู่ในความฝันอย่างนั้น เนื่องจากกล่าวสำหรับบุคคลตัวน้อยๆ อย่างนางแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเข้าใกล้จอมราชันเซียนหวัง แม้แต่เข้าพบกับผู้เฒ่าของสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ยังไม่มีคุณสมบัติพอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดยอดเช่นนี้
ลองนึกดู ในอดีตนางยังเรียกหลี่ชิเย่ว่าพี่ท่านอยู่เลย เวลานี้มานึกอีกที เถาถึงถึงกับเหงื่อตกกับความโง่เขลาของตนในขณะนั้น ยังดีที่หลี่ชิเย่เป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจกว้างขวาง ไม่ได้ถือสาหาความกับนาง
หลี่ชิเย่ถึงกับยิ้มจางๆ เมื่อเห็นท่าทางที่เก้ๆ กังๆ ของเถาถิง มองเห็นใบหน้าของเถาถิงแล้วทำให้เขาหวนนึกถึงบุคคลบางคนในอดีต บุคคลที่ได้จากไปแล้ว
“นั่งลงสิ” หลี่ชิเย่ โบกมือเบาๆ สั่งการกับเถาถิงที่ดูเก้ๆ กังๆ นั่น
เถาถิงไม่กล้าพูดอะไรมาก นั่งลงเงียบๆ ข้างๆ เขาอยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่ที่เป็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุด ได้รับพระราชทานที่นั่งให้นับเป็นเกียรติยศสูงสุดแล้ว
“หลังสำเร็จการศึกษาแล้ว เจ้าคิดจะเดินไปทางไหนดีหละ?” หลี่ชิเย่ได้เอ่ยถามาขึ้นขณะที่เถาถิงก้มหน้าก้มตาอยู่
เถาถิงตะลึงนิดหนึ่ง นางนึกไม่ถึงว่าหลี่ชิเย่จะถามคำถามลักษณะเช่นนี้ ในใจของนางได้มีการคิดมาร้อยพันตลบและเตรียมคำพูดเอาไว้มากมายก่อนมา แต่เวลานี้ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่ได้นำมาใช้
“ข้า ข้า…” เถาถิงจ้องมองหลี่ชิเย่แวบหนึ่ง เวลานี้ไม่สามารถตอบอะไรได้ แม้ว่ากว่านางจะสำเร็จการศึกษายังอีกหลายปี แต่หากจะถามนางว่าหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วควรจะเดินไปทางไหนดีนั้น นางเองก็รู้สึกงุนงงอยู่
“ข้า ข้าคงกลับไปที่หมู่บ้าน” หลังจากที่เถาถิงตะลึงอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายได้แต่ตอบออกมาเช่นนี้
ความจริงกล่าวสำหรับเถาถิงแล้ว นอกเหนือจากกลับไปที่หมู่บ้านแล้ว นางเองก็ไม่รู้ว่าควรจะไปที่ไหนดี กล่าวสำหรับเถาถิงแล้ว นางไม่ได้เหมือนดั่งบรรดานักศึกษาที่มีชาติกำเนิดมาจากแคว้นเจ้าลัทธิเหล่านั้น ซึ่งนักศึกษาที่มายังสถาบันศึกษาเทพเจ้าเหล่านี้จะมีเป้าหมายที่ชัดเจนมาก อีกทั้งหลังจากที่นักศึกษาเหล่านี้ได้สำเร็จการศึกษาแล้ว โดยพื้นฐานก็จะกลับไปยังสำนักหรือราชวงศ์ของตน
กล่าวได้ว่า การที่เถาถิงก้าวสู่เส้นทางการบำเพ็ญตนนั้นเต็มไปด้วยความบังเอิญ สำหรับเรื่องของอนาคตนั้น นางไม่ได้มีความมุ่งมาดปรารถนาที่ชัดเจนนัก ดังนั้น คิดไปคิดมานางก็ได้แต่กลับไปยังหมู่บ้านเถา
แม้จะกล่าวว่า นักศึกษาที่สำเร็จมาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้าเป็นที่ต้องการมาก โดยเฉพาะเฉกเช่นเถาถิงที่มีผลการเรียนไม่เลวนัก เรียกได้ว่าแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากล้วนแล้วแต่ยินดีรับเอาไว้เป็นศิษย์ เนื่องจากนักศึกษาที่เป็นชนชั้นรากหญ้าประเภทนี้มักจะมีพลังแฝงที่แข็งแกร่งมาก สามารถทำอะไรได้มากในอนาคต และด้วยเหตุผลข้อนี้ แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากจึงแย่งกันรับนักศึกษาชนชั้นรากหญ้าและมีผลการเรียนเยี่ยมที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันศึกษาเทพเจ้า แม้แต่สายสำนักราชันเซียนก็ยินดีรับนักศึกษาลักษณะเช่นนี้
แต่ว่า เถาถิงนั้นกลับไม่ได้มีความทะเยอทะยานมากนัก ไม่ค่อยได้นึกถึงว่าหลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วจะเข้าไปยังแคว้นเจ้าลัทธิแห่งไหนบ้าง เพื่อโบยบินไปยังฟ้าดินที่มันไกลกว่านี้
ดังนั้น เถาถิงคิดทบทวนไปมาแล้ว จึงยังคงกลับไปที่หมู่บ้านเถา เนื่องจากที่นั่นจึงจะเป็นบ้านของนาง แม้ว่าจะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ เท่านั้นเทียบไม่ได้กับสำนักใดๆ แต่ว่า หมู่บ้านเถาก็ยังคงเป็นบ้านของนาง เมื่อกลับไปยังหมู่บ้านเถาแล้วทำให้นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น รู้สึกได้ว่าได้กลับไปยังบ้าน
“กลับบ้านก็ดี โลกนี้ยังจะมีที่ใดที่ดีไปกว่าบ้านอีกหละ” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “กลับบ้านย่อมดีกว่าทุกอย่าง คุ้มค่าต่อการอาลัยอาวรณ์”
เถาถิงอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่ว่า ก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
หลี่ชิเย่ได้หยิบเอาสิ่งของสิ่งหนึ่งออกมาและวางอยู่ตรงหน้าของเถาถิง และกล่าวว่า “เจ้ากับข้ามีวาสนาต่อกัน ก่อนจากข้าเองไม่ได้มีสิ่งใดที่จะมอบให้กับเจ้า ชุดตัวอ่อนชุดนี้ถือว่าเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งที่ข้ามอบให้เจ้าก่อนจากก็แล้วกัน”
ชุดตัวอ่อนชุดนี้ที่หลี่ชิเย่มอบให้กับเถาถิงนั้นไม่ใช่อื่นไกล มันคือชุดที่มีตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่มีตัวอ่อนแปดหมื่นแปดพันแปดร้อยแปดสิบแปดชิ้นชุดนั้น ซึ่งได้มาจากแดนอาถรรพ์เทพกำแหง
“นี่มันคือ…” เถาถิงถึงกับใจหายใจคว่ำ เมื่อมองเห็นตัวอ่อนที่มีจำนวนมากมายยุบยับไปหมด ชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ที่มีตัวอ่อนหลายหมื่นชิ้น ชั่วชีวิตนี้นางก็ไม่เคยได้เห็น ต่อให้นางไม่เคยเห็นมาก่อนก็ตู้ว่านี่คือของวิเศษที่ยอดเยี่ยมประเมินค่าไม่ได้
“ข้า ข้า ข้า…” เถาถิงถึงกับตะลึงงันเมื่อเผชิญกับชุดที่สุดล้ำค่าถึงเพียงนี้ เวลานี้นางไม่กล้ารับเอาไว้ กล่าวสำหรับนางแล้ว ชุดตัวอ่อนลักษณะเช่นนี้มันล้ำค่ามากเกินไป ต่อให้ทุ่มเทชั่วชีวิตก็เป็นไปไม่ได้ที่จะได้ของล้ำค่าเช่นนี้มาได้
“รับเอาไว้เถอะ” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “นี่นับเป็นวาสนาอย่างหนึ่ง และเป็นโชคอย่างหนึ่ง” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ในใจของเขาอดที่จะทอดถอนใจเบาๆ
เถาถิงไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้อีกแล้ว เฉกเช่นหลี่ชิเย่ที่ดำรงอยู่ในฐานะสูงสุดเช่นนี้ ในเมื่อได้มอบของวิเศษเช่นนี้มาแล้วก็จะไม่เอาคืนอีกแล้ว
หลังจากที่เถาถิงได้รับชุดตัวอ่อนขาวบริสุทธิ์ชุดนี้เอาไว้แล้ว สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง แสดงคารวะต่อหลี่ชิเย่ อีกครั้ง
“ไปเถอะ พยายามเข้าไว้ อนาคตยังจะมีสิ่งให้เรียนรู้อีกมาก” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ
เถาถิงอ้าปากเหมือนต้องการพูดอะไร นางมีพันคำหมื่นวจีแต่กลับไม่รู้ว่าควรจะเริ่มต้นอย่างไร และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร จะอย่างไรเสียฐานะระหว่างพวกเขาแตกต่างกันมากเหลือเกิน หลี่ชิเย่ในเวลานี้คือผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่สูงสุด ขณะที่นางเป็นเพียงบุคคลตัวน้อยๆ ที่ไร้ชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น
ในขณะที่เถาถิงกำลังกลับออกไป หลี่ชิเย่ที่นิ่งเงียบไปพักหนึ่งได้เรียกเถาถิงเอาไว้ และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “อนาคตไม่สงบนัก สภาพความเป็นอยู่ยากเข็ญยิ่ง อนาคตหากภัยพิบัติมาถึง บางทีศาลเจ้าเล็กๆ ภายในหมู่บ้านพวกเจ้าอาจช่วยเจ้าได้อีกแรงหนึ่ง อนาคตจะต้องทำอะไรอย่างไร ถามจิตใจของตนให้มากเข้าไว้”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ภายในใจของเถาถิงหวั่นไหวทีหนึ่ง สุดท้าย นางแสดงคารวะอีกครั้ง และเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า “ขอบคุณอาจารย์” จากนั้นจึงค่อยๆ เดินจากไป
หลี่ชิเย่มองตามจนเถาถิงลับสายตาแล้วทอดถอนใจออกมาเบาๆ และเก็บเอาอารมณ์เปราะบางขึ้นมา
หลังจากที่เถาถิงจากไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้ตามนักศึกษาของเรือนตำราทั้งสามมาพบ ซึ่งก็ได้แก่เย่ซินเสวี่ย แขนเหล็กห่วงทองคำ และก็จอมทระนงอเวจีหลิวจินเซิ่น
หลังจากพบกับหลี่ชิเย่แล้ว ทั้งสามคนแสดงคารวะพร้อมกันทีหนึ่งและเรียก “อาจารย์” ออกมาคำหนึ่ง
ในบรรดาทั้งสามคนเย่ซินเสวี่ยกับแขนเหล็กห่วงทองคำดูจะเก้ๆ กังๆ เขินอยู่ และไม่รุ้ว่าควรจะพูดอะไรออกมาดี ขณะที่หลิวจินเซิ่นนั้นดูเย็นชาและมีความเป็นธรรมชาติกว่า จะอย่างไรเสียหลิวจินเซิ่นนั้นรู้มานานแล้วว่าหลี่ชิเย่นั้นมีความน่ากลัว เขามีความเข้าใจมาแต่แรกอยู่แล้ว
“อาจารย์อย่างข้าคงต้องเลิกล้มกลางคันแล้วหละ จากนี้ไปทางสถาบันย่อมจะมีอาจารย์ท่านอื่นๆ มาสอนพวกเจ้า” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวกับพวกของเย่ซินเสวี่ย
แม้จะกล่าวว่าอาจารย์อย่างเขามีความบังเอิญอยู่บ้าง แต่ว่า พวกของเย่ซินเสวี่ยกับเขาก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน
“จินเซิ่น เจ้าคิดจะทำอะไรต่อไป?” หลี่ชิเย่ยิ้ม มองดูหลิวจินเซิ่นและเอ่ยขึ้น
จอมทระนงอเวจีหลิวจินเซิ่นในฐานะจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง สามารถสังหารจอมเทพแข็งแกร่งอย่างจอมเทพเก้ากระบี่ได้ เขาไม่มีความจำเป็นต้องอยู่เป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าอีกต่อไปแล้ว การมาเป็นนักศึกษาของสถาบันศึกษาเทพเจ้าในครั้งนั้น ทำไปเพื่อปิดบังฐานะของตนเท่านั้น เขาต้องการกลับมารักษาอาการบาดเจ็บเท่านั้นเอง
“ข้าตั้งใจอยู่ที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าสอนหนังสือบ้างปลูกดอกไม้บ้างอะไรทำนองนั้น” ยากนักที่หลิวจินเซิ่นจะเผยรอยยิ้มออกมา และดูจะสงบนิ่ง
ย่อมไม่ต้องสงสัย การที่หลิวจินเซิ่นตัดสินใจเช่นนี้ไม่ได้เกิดจากปัจจุบันทันด่วน เขาได้มีการตัดสินใจมานานแล้ว
“สอนหนังสือที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าก็นับเป็นทางเลือกที่ไม่เลวนัก” หลี่ชิเย่พยักหน้า และเห็นด้วยกับการเลือกของหลิวจินเซิ่น
หลิวจินเซิ่นทอพถอนใจ และกล่าวว่า “ข้าได้รับผลประโยชน์จากสถาบันศึกษาเทพเจ้ามากมาย หากไม่มีสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ไม่มีจอมทระนงอเวจี มีเพียงหลิวจินเซิ่นคนหนึ่งเท่านั้นเอง เพียงแต่ครั้งนั้นคนหนุ่มอารมณ์ร้อน และไม่ยอมรับมันเท่านั้น คิดว่าตัวเองนั้นมีพรสวรรค์ที่หนึ่งไม่มีสอง ไม่ว่าจะก้าวเดินไปไหนก็เปล่งกระกายที่เจิดจ้า…”
“…ข้าเคยร่ำเรียนที่สถาบันศึกษาเทพเจ้ามา และสถาบันศึกษาเทพเจ้าก็ได้ช่วยชีวิตของข้า ถึงเวลาที่ข้าสมควรคืนกลับไปให้กับสถาบันศึกษาเทพเจ้าได้แล้ว ถือว่าเป็นการทิ้งมรดกให้กับชนรุ่นหลังเอาไว้บ้าง” เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้แล้วถึงกับหัวเราะขึ้นมา ดูจะเบิกบานมากเป็นเพิเศษ
คราวนี้สถาบันศึกษาเทพเจ้าเจอะเจอกับภัยพิบัติใหญ่ สร้างความรู้สึกที่สะเทือนอารมณ์ให้กับหลิวจินเซิ่นเป็นอันมาก ระหว่างที่เกิดภัยพิบัติในสถาบันศึกษาเทพเจ้านั้น จอมเทพและเซียนหวังจำนวนเท่าไรที่ยินดีพลีชีพหลั่งเลือดเพื่อตอบแทนสถาบันศึกษาเทพเจ้า
เขาเคยศึกษาที่สถาบันศึกษาเทพเจ้า ขณะที่สถาบันศึกษาเทพเจ้าไม่เคยร้องขอให้เขาต้องตอบแทน วันนี้เขาได้ก้าวสู่จุดสูงสุด เป็นความจริงที่สมควรตอบแทนสถาบันศึกษาเทพเจ้าคืนกลับไปบ้างแล้ว
………………………………………..