“มีผู้จะสืบทอดชะตาฟ้าแล้ว!” เมื่อกลิ่นอายขมุกขมัว และพลังสัจธรรมรวมตัวกันนั้น ระดับจอมราชันเซียนหวัง และจอมเทพรู้ได้ทันทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น
แน่นอน การที่จะมีผู้สามารถสืบทอดชะตาฟ้ากลายเป็นจอมราชันเซียนหวังนั้น ทุกคนไม่รู้สึกเหนือความคาดคิด
ในยุคสมัยนี้มีผู้ที่ได้สืบทอดชะตาฟ้าไปแล้วรวมสี่คนเท่านั้น ได้แก่ ราชันสวรรค์เต้าหลง จินเก๋อ เหรินเซิ่น และราชันทักษิณ อีกทั้งในจำนวนสี่คนนี้นอกเหนือจากราชันสวรรค์เต้าหลงแล้ว ที่เหลืออีกสามคนยังไม่ได้ทำการสืบทอดชะตาฟ้าเป็นครั้งที่สอง ไม่สิ ควรจะบอกว่าสองคน เพราะเหรินเซิ่นได้เสียชีวิตไปแล้ว
ดังนั้น ยุคนี้จึงยังคงมีชะตาฟ้าให้สืบทอดได้อย่างเหลือเฟือ ทุกคนต่างก็เข้าใจ ในยุคนี้อาจจะสามารถให้กำเนิดจอมราชันเซียนหวัง ได้อีกหลายคน กระทั่งอัจฉริยะบุคคลของร้อยชาติพันธุ์จะมีโอกาสที่จะได้สืบทอดชะตาฟ้ากลายเป็นเซียนหวังได้มากกว่า
สำหรับสาเหตุเบื้องหลังของเรื่องนี้ ทุกคนไม่ต้องกล่าวให้มากความก็รู้อยู่แล้ว
เมื่อกลิ่นอายขมุกขมัว และพลังสัจธรรมรวมตัวกัน พลังของชะตาฟ้าค่อยๆ ปรากฏ ทุกคนต่างก็รู้ว่าชะตาฟ้าได้ปรากฎขึ้นมาแล้ว กำลังจะรอผู้ที่มีศักยภาพมาสืบทอด
“รู้สึกไม่ค่อยเหมือน” มีจอมราชันเซียนหวังที่พบความแตกต่างการรวมตัวของชะตาฟ้าในครั้งนี้ได้ทันที กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ความเร็วในการเคลื่อนที่ดูจะสูงเกินไป เหมือนมีใครเร่งขับเคลื่อนชะตาฟ้าอยู่! นี่ นี่ต้องการทำอะไร? ขับไล่ชะตาฟ้าอยู่รึ? และหรือมีสาเหตุอื่นๆ?”
“นี่มันวิธีการอะไรกัน! สัจธรรมแบบนี้ไม่เห็นบ่อยนัก” มีจอมราชันเซียนหวังระดับสูงที่สามารถตรวจพบได้ลึกกว่านี้ รู้สึกว่าเบื้องหลังมีสัจธรรมที่น่าเกรงขามปราศจากผู้เทียบเทียม โดยสัจธรรมเช่นนี้แตกต่างกับทั่วๆ ไป เหมือนว่าสัจธรรมที่อยู่เบื้องหลังนี้สามารถเป็นแหล่งต้นกำเนิดของสัจธรรมในฟ้าดินอย่างนั้น มีความแปลกพิเศษอย่างยิ่ง
“เป็นใครกันแน่นะ ในสิบสามทวีปมีคนที่แปลกเช่นนี้ด้วยรึ?” มีระดับจอมราชันเซียนหวังเริ่มทำการคำนวณในขณะที่ชะตาฟ้าเริ่มรวมตัวกัน แต่ว่าสัจธรรมดังกล่าวซับซ้อน และยิ่งใหญ่มหาศาล แม้จะเป็นจอมราชันเซียนหวังก็คำนวณกันไม่หวั่นไม่ไหว
“บางที อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับสมบัติสวรรค์” จอมราชันเซียนหวังกล่าวด้วยความไม่มั่นใจนัก เนื่องด้วยจากการคำนวณของพวกเขาแล้ว สัจธรรมที่กำลังจะบรรลุนั้นมันน่าเกรงขามมากเหลือเกิน อีกทั้งยังมีการวิวัฒนาการต่อไปอย่างบ้าคลั่ง เหมือนว่านี่คือสัจธรรมที่ไม่มีสิ้นสุดอย่างนั้น
เนื่องเพราะมีการคำนวณออกมาลักษณะเช่นนี้ ทำให้ภายในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องหวั่นไหว ก่อนหน้านั้น ผู้ยิ่งใหญ่แห่งความมืดหอบเอาโลงมรณะมานั้น บนโลกนี้ก็ได้มีสมบัติสวรรค์ชิ้นหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาแล้ว หากจะมีการปรากฏของสมบัติสวรรค์ขึ้นอีกเป็นชิ้นที่สองล่ะก็สุดจะประมาณแล้ว มันสามารถสร้างความฮือฮาให้สิบสามทวีปได้อย่างแน่นอน
จังหวะที่ทุกคนกำลังตกใจระคนกับแปลกใจอยู่นั้น ชะตาฟ้าได้รวมตัวกันสำเร็จ ณ มุมหนึ่งของทวีปเจียวเหิงโจว มองเห็นที่ตรงนั้นตลบอบอวลไปด้วยขมุกขมัว บริเวณนั้นเหมือนหนึ่งได้กลายเป็นทะเลขมุกขมัวไปแล้ว กลิ่นอายขมุกขมัวมีอยู่ทุกที่ อีกทั้งเหมือนหนึ่งได้ท่วมทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกจนจมมิดไปด้วยกลิ่นอายขมุกขมัว
เสียงตูมตามดังขึ้นมาจากที่ตรงนี้ ท่ามกลางความขมุกขมัวเหมือนมีบางสิ่งกำลังกระโดดโลดเต้นและโบยบิน เหมือนเป็นมังกรแท้จริง คล้ายหงส์เซียน นั่นแหละคือชะตาฟ้า พวกมันเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา เหมือนว่าพวกมันได้กลับกลายเป็นคึกคักเป็นพิเศษ พวกเขาคือภูติบนโลกอย่างนั้น เปี่ยมด้วยความคล้องจองของสัจธรรม
ยามที่ชะตาฟ้าทั้งหมดมารวมตัวกันในลักษณะเช่นนี้นั้น จอมราชันเซียนหวังจำนวนไม่น้อยได้จ้องมองดูจากระยะห่างไกล เมื่อได้เห็นภาพนี้แล้วต่างก็ให้รู้สึกแปลกใจ เนื่องจากเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากที่ชะตาฟ้าจะคึกคักถึงเพียงนี้ แม้แต่ราชันซื่อตี้ ราชันเสวียนตี้พวกเขาก็ยังไม่ถึงกับมีความมหัศจรรย์เช่นนี้ และไม่มีสัญญาณเช่นนี้ น่าแปลกมาก
“เกี่ยวข้องกับสัจธรรมที่เขาฝึก” สุดท้ายจอมราชันเซียนหวังระดับสูงผู้หนึ่งลงความเห็นว่า “สัจธรรมที่คนผู้นี้ฝึก หาใช่กำเนิดจากระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิเช่นเดียวกับพวกเรา มีเพียงหนึ่งเดียวในหล้า และหรือเกี่ยวข้องกับเมืองเซียนเต้า!”
ในเวลานี้ สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนมองไปที่ตรงนั้น ซึ่งเป็นที่ที่ชะตาฟ้ารวมตัวกันอยู่ที่นั่น ทุกคนล้วนแล้วแต่เข้าใจได้ว่า หากไม่มีใครลอบโจมตี เกรงว่าจะต้องมีผู้ที่ได้กลายเป็นจอมราชันเซียนหวังในไม่ช้าแล้ว
ในเวลานี้เอง ร่างเงาที่ลอยล่องปรากฏอยู่ท่ามกลางความขมุกขมัว สวมชุดสีขาว ล่องลอยดั่งเซียน สุดล้ำเพียงหนึ่งเดียวในหล้า รูปโฉมของนางไม่สามารถอาศัยหมึกและพู่กันมาบรรยายได้
ผู้คนจำนวนมากต้องมองหน้ากันและกัน เมื่อมองเห็นผู้หญิงที่เสมือนดั่งนางฟ้าผู้นี้ เนื่องจากไม่มีผู้ใดจดจำประวัติความเป็นมาของนางได้ แม้แต่จอมราชันเซียนหวังก็ไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ บรรดาอัจฉริยะบุคคลของทวีปเจียวเหิงโจวก็ไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้
“แปลกมาก” มองเห็นผู้หญิงที่ปรากฏตัวท่ามกลางความขมุกขมัวนี้แล้ว เกรงว่าเจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิที่มีความรู้กว้างขวางก็รู้สึกแปลกใจเป็นพิเศษ และกล่าวด้วยความรู้สึกแปลกใจว่า “นี่เป็นใครกันแน่ ผู้ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามถึงกับกำลังจะได้เป็นจอมราชันเซียนหวัง!”
ความจริงแล้ว ไม่เพียงเจ้าสำนักของสำนักเจ้าลัทธิคนหนึ่งที่รู้สึกแปลกใจเท่านั้น ผู้คนจำนวนมากต่างก็รู้สึกแปลกใจ ตามหลักแล้ว ผู้ที่สามารถสืบทอดชะตาฟ้าและกำลังจะกลางเป็นจอมราชันเซียนหวังนั้น ควรจะเป็นอัจฉริยะบุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง หรือไม่ก็ยอดฝีมือที่ชื่อเสียงโด่งดัง
แต่ว่า ผู้หญิงที่มีรูปโฉมดั่งเทพธิดาผู้นี้กลับเป็นผู้ที่ทุกคนไม่เคยพบเห็นมาก่อน ไม่เคยได้ยิน เหมือนว่าผู้หญิงคนนี้เป็นประเภทโผล่ขึ้นมากะทันหันอย่างนั้น เหมือนว่าภายในชั่วข้ามคืนก็มีผู้หญิงคนนี้โผล่ขึ้นมา และกำลังจะกลายเป็นจอมราชันเซียนหวังอย่างนั้น
‘เทพธิดาเก็บจันทรา!’ คนอื่นอาจไม่รู้จักผู้หญิงที่มีรูปโฉมดั่งเทพธิดาผู้นี้ แต่ราชันทักษิณที่ได้เป็นเซียนหวังแล้วกลับจำผู้หญิงคนนี้ได้ และรู้ถึงประวัติความเป็นมาของผู้หญิงคนนี้
“ก่อนหน้านั้นมีราชันเซียนหญิงหงเทียน เวลานี้มีเทพธิดาเก็บจันทราอีก โลกนี้ไม่ต้องการให้มีชีวิตอยู่กันแล้ว” ราชันทักษิณถึงกับหัวเราะเจื่อนๆ เมื่อมองเห็นเทพธิดาเก็บจันทราที่มีรูปโฉมดั่งเทพธิดา และกล่าวด้วยท่าทีจนด้วยเกล้าอยู่บ้างออกมา
หากไม่ได้อยู่ร่วมยุคสมัยเดียวกันกับเทพธิดาเก็บจันทรา ราชันเซียนหญิงหงเทียนก็จะไม่สามารถเข้าใจถึงความน่ากลัวและปราศจากผู้ต่อกรของพวกนาง
เจี่ยนเหวินซินที่มีสติปัญญาดั่งทะเล เทพธิดาเก็บจันทราที่มีรูปโฉมดั่งเทพธิดา ราชันเซียนหญิงหงเทียนที่อาภัพและเกร่งดั่งเหล็ก คือผู้หญิงที่มีความเจิดจ้าที่สุดในยุคสมัยนั้น ไม่ว่าบุรุษใดๆ เมื่อเทียบกับนางแล้วก็ต้องสลดและอับแสง
ในบรรดาพวกนางที่เป็นผู้หญิงสามคน หากพูดถึงเรื่องพรสวรรค์ ราชันเซียนหญิงหงเทียนด้อยที่สุด แต่ราชันเซียนหญิงหงเทียนกลับจะเป็นผู้ที่น่ากลัวที่สุดในบรรดาพวกนาง ยิ่งสู้ยิ่งทรหด เรียกได้ว่าการสู้รบแต่ละครั้งของราชันเซียนหญิงหงเทียนจะต้องเลือดท่วมฟ้าดิน ต่อให้ผู้ที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าก็สยบนางเอาไว้ไม่ได้ เมื่อนางสู้ถวายชีวิตล่ะก็ ไม่ว่าใครก็ต้องสั่นเทา!
หากพูดถึงเรื่องของสติปัญญาจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจากเจี่ยนเหวินซิน เรื่องการวางแผนการณ์ต่อสู้ชี้ขาดห่างไกลออกไปถึงพันลี้ นางมักจะไม่จำเป็นต้องลงมือก็สามารถทำให้ผู้อื่นถึงตายได้
ในบรรดาพวกนางแล้ว ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงสุด และดุเดือดและรุนแรงที่สุดก็ต้องเป็นเทพธิดาเก็บจันทราแน่นอน!
แม้จะกล่าวว่า พรสวรรค์ของราชันทักษิณได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในใต้หล้า แต่ว่า พรสวรรค์ของเทพธิดาเก็บจันทราไม่เห็นจะด้อยกว่ากันตรงไหน
ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ สัจธรรมสังหารที่เด็ดขาดของเทพธิดาเก็บจันทรามักจะทำให้ผู้คนต้องตัวสั่นดั่งลูกนกอยู่เสมอๆ ถึงชีวิตในหนึ่งกระบวนท่า ไม่จำเป็นต้องกล่าวมากความ ขอเพียงนางลงมือ ศัตรูก็ล้มลงทันที!
ดังนั้น ในยุคสมัยนั้นเมื่อมีการเอ่ยถึงเทพธิดาเก็บจันทรา ก็จะทำให้ผู้คนรู้สึกถึงสันหลังที่เย็นวาบ เนื่องจากสิ่งที่นางเก็บเกี่ยวหาใช่ดวงจันทราบนฟากฟ้า แต่เป็นชีวิตคน คำว่าเก็บจันทราเป็นเพียงทำให้ฟังดูแล้วออกไปในแนวของโคลงกลอนเท่านั้น ที่ถูกต้องยิ่งกว่าต้องเรียกว่าเทพธิดาเก็บชีวิต! ไอลีนโนเวล
ราชันทักษิณถึงกับส่ายหน้าเมื่อมองเห็นเทพธิดาเก็บจันทรา ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เทพธิดาเก็บจันทราก็มาด้วยแล้ว และกำลังจะได้เป็นเซียนหวัง ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดคิดของผู้คนจริงๆ
“เฮ่อ โลกนี้อยู่ยากนะเนี่ย” ราชันทักษิณถึงกับทอดถอนใจออกมา
“เจ้าสมควรรู้สึกภูมิใจจึงจะถูก” เวลานี้หลี่ชิเย่ที่ยืนอยู่ข้างกายราชันทักษิณยิ้มกล่าวเฉยเมยว่า “ยุคนี้ของพวกเจ้าเรียกได้ว่าเป็นความภาคภูมิใจของแดนเก้าพวกเตา เรียกได้ว่ายุคนี้ของพวกเจ้ามีความเจิดจ้าเพียงใด มีความยิ่งใหญ่เช่นใด การช่วงชิงชะตาฟ้าที่ต้องผ่านอะไรต่อมิอะไรมากมายเหลือเกิน ไม่มียุคสมัยใดสามารถเทียบเคียงได้อีกแล้ว”
คำพูดเช่นนี้ทำให้ราชันทักษิณต้องยิ้มเจื่อนๆ ทีหนึ่ง เป็นความจริงที่ในยุคสมัยของพวกเขานับว่ามีอัจฉริยบุคคลกำเนิดขึ้นมากมาย หมู่ดาวต่างเปล่งประกายเจิดเจ้า อัจฉริยะบุคคลในสมัยของพวกเขานับว่ามีมากมายเหลือเกิน แต่ว่า ภายใต้ประกายวงแหวนของราชันเซียนหญิงหงเทียน เทพธิดาเก็บจันทราแล้ว บรรดาสุดยอดอัจฉริยะบุคคลในหล้ากลับกลายเป็นสลดและอับแสง
เวลานี้ ราชันทักษิณรู้สึกสงสารบรรดาอัจฉริยะบุคคลในยุคสมัยนั้นของพวกเขาเหลือเกิน ปรากฎราชันทักษิณคนหนึ่งก็พอทน ยังปรากฎผู้หญิงที่เป็นหนึ่งในหล้าอีกสามคน เท่ากับเป็นการสยบพวกผู้ชายอย่างพวกเขาจนหายใจไม่ออก
“เกิดในยุคสมัยเช่นนั้นนับว่าโชคร้ายแล้ว” สุดท้าย ราชันทักษิณได้แต่ทอดถอนใจด้วยความสะท้อนใจ
ศึกการแย่งชิงชะตาฟ้าในครั้งนั้นนับว่าช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน โดยเฉพาะขณะราชันเซียนหญิงหงเทียนต่อสู้กับเหล่าผู้กล้าโดยลำพังนั้น ความพาลปราศจากผู้เทียบเทียม เคล็ดวิชาที่ปราศจากต่อกร บุกตะลุยข้าศึกทุกครั้ง ตีข้าศึกพ่ายทุกครั้ง ไม่มีผู้ใดสามารถต้านเคล็ดสยบราชันของนางได้ นางได้กรุยทางสู่ความเป็นราชันเซียนด้วยการฟันฝ่าเป็นเส้นทางเลือดที่ไหลรินเป็นทางขึ้นมาดื้อๆ ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องถูกสังหารบนเส้นทางสายนี้ อัจฉริยะบุคคลจำนวนเท่าไรที่ต้องกลายเป็นกองกระดูกไป
เวลานี้ เทพธิดาเก็บจันทรามาแล้ว นางไม่ได้เป็นราชันเซียนของแดนเก้า เช่นนั้นก็จะมาเป็นเซียนหวังของแดนสิบก็แล้วกัน ซึ่งก็จะกลายเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง
ในขณะนี้ เทพธิดาเก็บจันทรายืนอยู่ท่ามกลางความขมุกขมัว มองดูชะตาฟ้าที่คึกคักอยู่ท่ามกลางความขมุกขมัวนั่น นางยังคงทีท่าทีทีเย็นชาไม่ยินดียินร้าย แม้ว่ากำลังจะได้สืบทอดชะตาฟ้ากลายเป็นเซียนหวังแล้ว นางยังคงสงบนิ่ง เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถทำให้นางต้องยินดีหรือเสียใจอย่างนั้น
แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ปรากฎประตูมิติประตูหนึ่งอยู่ห่างไม่ไกลจากเทพธิดาเก็บจันทราถูกเปิดออก ผู้เฒ่าที่มีรูปร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก้าวเดินออกมา ด้านหลังของผู้เฒ่าผู้นี้ยังมีผู้ติดตามมาอีกสี่คน
ทั่วทั้งตัวของผู้เฒ่าเปล่งอานุภาพออกมาวูบวาบ มองเห็นวงแหวนแต่ละวงที่กางออก การยืนอยู่ตรงนั้นของเขาเสมือนหนึ่งสามารถเป็นจ้าวในเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินอย่างนั้น มีพลังที่จะสยบเหล่าเทพอย่างนั้น
อีกสี่คนที่ติดตามมาทางด้านหลังของผู้เฒ่าผู้นี้ก็เปล่งอานุภาพที่วูบวาบเช่นกัน ทุกๆ การเคลื่อนไหวล้วนสามารถทำลายดวงดาวได้
“หนิวยุ่ยชาง…” มีเซียนหวังที่สามารถจดจำเขาได้ทันทีที่ได้เห็นผู้เฒ่าผู้นี้ รู้สึกเหนือความคาดคิดอยู่บ้าง
สำหรับบรรดาจอมเทพเมื่อมองเห็นผู้เฒ่าผู้นี้แล้ว ต่างรู้สึกตกใจและกล่าวว่า “จอมเทพหน้าวัว ผู้เฒ่าแห่งเขาหนิวซาน จอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง เขาพาจอมเทพมาด้วยอีกสี่คน ต้องการโจมตีการเป็นเซียนหวังของผู้หญิงคนนี้อย่างนั้นรึ?”
การปรากฏตัวของจอมเทพทั้งห้าอย่างกะทันหัน อีกทั้งผู้ที่ผู้นำยังเป็นจอมเทพระดับดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวง ทำเอาผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับตกใจยิ่งนัก
มีเพียงเทพธิดาเก็บจันทราที่หันหลังไปมองด้วยท่าทีเย็นชา และจ้องมองพวกจอมเทพหนิวทั้งห้าคนอย่างเหงาเศร้า
“ท่าน พวกเราไม่ได้มาร้ายอะไรนัก” เวลานี้จอมเทพหน้าวัว หนิวยุ่ยชางที่เป็นผู้นำได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “ขอเพียงท่านบอกระบบถ่ายทอดทางลัทธิที่เป็นต้นกำเนิดของเจ้าออกมา อธิบายให้ชัดเจนว่าสัจธรรมดังกล่าวมีต้นกำเนิดจากที่ใด พวกเราก็สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติ”
“ถ้าหากข้าไม่ล่ะ?” เทพธิดาเก็บจันทราเพียงมีท่าทีที่เหงาเศร้า พูดด้วยท่าทีแข็งกระด้างยิ่งออกมาคำเดียวเท่านั้น
“หากเป็นเช่นนี้ พวกเราคงต้องล่วงเกินแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นอย่าหาว่าพวกเราบังคับให้ท่านมอบต้นกำเนิดสัจธรรมออกมา” จอมเทพหน้าวัวสีหน้าบึ้งตึงและกล่าวน่าเกรงขามออกมา
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของจอมเทพหน้าวัวทำให้ผู้คนบางส่วนต้องจ้องมองตากันและกัน ผู้ที่ไม่รู้ความต่างไม่เข้าใจว่าเพราะอะไรตัวเขาในฐานะจอมเทพที่มีดวงตราสัญลักษณ์สิบเอ็ดดวงจึงสนใจอะไรหนักหนากับระบบถ่ายทอดทางลัทธิของผู้ที่ไร้ซึ่งชื่อเสียงเรียงนาม