คนหนุ่มที่ธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร บนตัวไม่มีอำนาจที่เหนือผู้คน และไม่มีพลังที่สะเทือนฟ้า ด้วยคนหนุ่มที่มีลักษณะเช่นนี้ ถ้าหากเขาบอกว่าเป็นบรรพบุรุษของเจ้า เจ้าต้องไม่เชื่ออย่างแน่นอน หากไม่ลงมือจัดการสั่งสอนอย่างหนัก ก็ต้องคิดว่าเขาผู้นี้เป็นผู้ที่มีสติฟั่นเฟือน!
หากไม่เป็นเพราะหลี่ชิเย่นั้นมาจากโลงโบราณที่ลอยขึ้นมาจากหุบเหวบรรพชนล่ะก็ เช่นนั้นแล้วหยางเซิ่นผิงก็จะไม่ยอมเชื่อว่าคนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าก็คือบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขา ต้องคิดว่าเขาเป็นผู้สวมรอยอย่างแน่นอน!
“ไม่ ไม่ ไม่รู้ว่าควรจะเรียกท่านบรรพบุรุษว่าอย่างไร” หยางเซิ่นผิงทำท่าลังเลนิดหนึ่ง สุดท้ายเขาทำใจดีสู้เสือ ตัดสินในใจขั้นเด็ดขาด กัดฟันพูดออกมา
หลี่ชิเย่จ้องมองดูหยางเซิ่นผิง เฉกเช่นท่าทีของหยางเซิ่นผิงเช่นนี้ไหนเลยจะหลอกตาทั้งสองของเขาได้ เขาเพียงยิ้มเฉยเมยและกล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ทำไม่ คิดว่าข้าเป็นผู้ที่แอบอ้างมาใช่หรือไม่? คิดว่าข้าหนุ่มแน่นขนานดนี้ไม่มีคุณสมบัติเป็นบรรพบุรุษลานกำแหงของพวกเจ้าได้”
พลันคำพูดที่เรียบเฉยเช่นนี้ถูกหลี่ชิเย่พูดออกมา ทำให้หยางเซิ่นผิงตกใจจนวิญญาณออกจากร่างสามวิญญาณหนีไปแล้วสอง หกจิตบินหายไปห้า เข่าทั้งสองอ่อนแรงคุกเข่าลงและกล่าวว่า “ไม่ ไม่ ไม่กล้า ท่านบรรพบุรุษ ข้าน้อยไหนเลยกล้ามีความคิดเช่นนี้ ไม่กล้ามีความคิดเช่นนี้…” ตกใจจนคุกเข้าก้มกราบกับพื้น
“ช่างเถอะ…” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “จะเรียกว่าอะไรก็ไม่มีปัญหา ถ้าหากเจ้าไม่คิดจะนับถือบรรพบุรุษเช่นข้า เช่นนั้นแล้วเรียกข้าว่าหลี่ชิเย่ แค่นี้ก็พอแล้ว!”
ไม่ง่ายนักกว่าหยางเซิ่นผิงจะลุกขึ้นมาได้ เรียกได้ว่าเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย ได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ ในใจ ต่อให้เขาใจกล้าแค่ไหนก็ไม่กล้าเอ่ยชื่อหลี่ชิเย่ตรงๆ เพียงแต่เขานึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่ามีบรรพบุรุษที่ชื่อหลี่ชิเย่ แน่นอน เขาในฐานะชนรุ่นหลัง หลังจากที่ผ่านมาล้านล้านปีแล้ว ไหนเลยสามารถรู้ว่าบรรพบุรุษรุ่นที่หนึ่ง รุ่นที่สองของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีชื่อว่าอะไรเล่า?
เกรงว่าชนรุ่นหลังแต่ละรุ่นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่ผ่านมา สามารถจำชื่อบรรพบุรุษของพวกเขาได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ซึ่งก็คือปฐมบรรพบุรุษพวกเขานามว่าผู้เฒ่ากำแหงเท่านั้น!
“เป็นข้าน้อยที่โง่เขลา ล่วงเกินต่อท่านบรรพบุรุษให้แล้ว” เวลานี้ หยางเซิ่นผิงกราบคารวะอีกทีแล้วไม่กล้าถามมากความอีก เกิดทำให้ฝ่ายตรงข้ามโกรธขึ้นมาจริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าคงรักษาหัวของตนเอาไว้ไม่ได้ กระทั่งแม้แต่สำนักกระบี่ยักษ์ก็อาจไม่รอด
“ช่างเถอะ” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “เจ้ามาที่นี้ มีเรื่องอะไรรึ?” หยางเซิ่นผิงทำท่าลังเลอยู่นิดหนึ่ง สุดท้ายยังคงกล่าวตรงๆ ว่า “ไม่กล้าปิดบังท่านบรรพบุรุษ ที่ข้าน้อยมาครั้งนี้ก็ต้องการเชิญท่านบรรพบุรุษกลับลานกำแหง อนาคตยังต้องขอให้ท่านบรรพบุรุษควบคุมดูแลสถานการณ์โดยรวมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง”
กล่าวสำหรับหยางเซิ่นผิงแล้ว ถ้าหากหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าหากสามารถปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในภาพรวมล่ะก็ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีที่สุด กระทั่งกล่าวได้ว่าสิ่งนี้สำหรับตัวเขากับสำนักกระบี่ยักษ์แล้ว ก็จะเป็นข่าวที่ดีที่สุดในโลกทีเดียว!
หลี่ชิเย่มองดูหยางเซิ่นผิง แล้วกล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “ลานกำแหงในวันนี้ผู้ใดเป็นเจ้าครอง สายเลือดอะไร”
“เรียนท่านบรรพบุรุษ กษัตริย์องค์ก่อนเพิ่งสวรรคตได้ไม่นาน ตำแหน่งยังคงว่างอยู่ มีราชินีเป็นผู้อำนวยการในกิจการงานเป็นการชั่วคราว” หยางเซิ่นผิงรีบกล่าว
ความจริงแล้วภายในใจของหยางเซิ่นผิงก็ไม่ค่อยจะสบายใจนัก เนื่องจากกษัตริย์ราชสำนักระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเพิ่งจะสวรรคตได้ไม่นาน เวลานี้ทุกคนที่อยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจิตใจหวั่นไหว คลื่นใต้น้ำเคลื่อนไหว แต่ละฝ่ายต่างจ้องมองเรื่องอำนาจตาเป็นมัน เวลานี้กลับโผล่บรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพมากะทันหัน นับเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยจะเหมาะสมยิ่งนัก เรื่องลักษณะเช่นนี้ดูเหมือนจะบังเอิญไปสักนิด
จะโทษหยางเซิ่นผิงที่บังเกิดความสงสัยขึ้นในใจก็ไม่ถูก เนื่องจากปรากฏบรรพบุรุษผู้หนึ่งฟื้นคืนชีพขึ้นมาใจช่วงจังหวะเช่นนี้ จึงมีความเป็นไปได้ที่อาจจะเป็นการแอบอ้าง แต่ในใจของหยางเซิ่นผิงไม่กล้ายืนยันเท่านั้นเอง แม้ว่าสติสัมปชัญญะจะบอกเขาว่ามีโอกาสที่จะเป็นไปได้
แต่หากกล่าวถึงด้านความรู้สึกแล้ว หยางเซิ่นผิงยินดีที่จะได้เห็นเรื่องเช่นนี้เกิดกขึ้น จะอย่างไรเสียเรื่องนี้กล่าวสำหรับสำนักกระบี่ยักษ์แล้วเรียกว่าเป็นฟ้าประทานโอกาสที่ดีให้ กระทั่งกล่าวได้ว่านี่เป็นโอกาสเดียวที่สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาจะได้พลิกกลับมา
“ร่วงหล่นจากลัทธิเซียนกระทั่งถึงลัทธิพรรษ นับว่าใช้ได้เลยทีเดียวนะเนี่ย” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเฉยเมย
เป็นความจริงที่ตาเฒ่าของหอศิลาโรยได้ทุ่มเทกำลังกายใจไปนับไม่ถ้วนก่อตั้งงานกำแหงขึ้นในครั้งนั้น ที่เขามายังแดนสามเซียนในครั้งนั้นมีจุดประสงค์อยู่หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือก่อตั้งลานกำแหง ซึ่งนับว่าเป็นการทิ้งร่องรอยของตนเอาไว้ ต่อให้ยุคสมัยของเขาถูกทำลายไป แต่หลังจากผ่านไปล้านล้านปีแล้วยังคงมีร่องรอยของเขาเหลืออยู่
ด้วยเหตุนี้เอง ผู้เฒ่ากำแหงจึงไม่เสียดายที่จะอาศัยทุกวิถีทาง วางรากฐานที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งให้กับลานกำแหง ทำให้ลานกำแหงกลายเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่อยู่ในแดนลัทธิเซียน
เสียดาย เวลาผ่านมาเนิ่นนานมากเกินไป แม้ว่าลานกำแหงในภายหลังก็เคยกำเนิดประเภทผู้ปราดเปรื่องน่าทึ่งยิ่งจำนวนไม่น้อย และเคยกำเนิดราชันแท้จริงต่อมาภายหลัง แต่ว่า พวกเขาไม่สามารถแซงล้ำหน้าปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาได้ นั่นก็คือผู้เฒ่ากำแหงนั่นเอง
เนื่องเพราะเหตุนี้เอง จากกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านไป ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงตกต่ำแล้วตกต่ำอีก จากแรกเริ่มเดิมทีอยู่ในลัทธิเซียนร่วงลงสู่ลัทธิราชัน สุดท้ายร่วงลงสู่ลัทธิพรรษ ธาตุแท้ภายในของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในภาพรวมลดลงฮวบฮาบ กระทั่งเวลานี้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ไม่นับว่ามีความแข็งแกร่งสักเท่าไร
แน่นอนที่สุด ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอ่อนด้อยมากกว่านี้ สำหรับสำนักกระบี่ยักษ์ที่เป็นสำนักเฉกเช่นมดปลวกแล้วก็ยังคงเป็นยักษ์ใหญ่อยู่ดี สำนักกระบี่ยักษ์ที่เป็นสำนักขนาดเล็กเช่นนี้ เป็นได้เพียงกิ่งไม้ง่ามเล็กๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่เป็นต้นไม้สูงเสียดฟ้าเท่านั้นเอง
“เอาเถอะ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบๆ ว่า “ได้เวลาที่ข้ากลับมาแล้ว ไว้ให้ข้าเป็นผู้ควบคุมสถานการณ์ รับรองว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะต้องเจริญรุ่งเรืองแน่นอน!”
แม้ว่าจะเป็นการตัดสินใจฉุกละหุกของหลี่ชิเย่ แต่ก็นับว่าเคยรู้จักกับตาเฒ่ามาก่อน แม้ว่าพวกเขาเคยเป็นศัตรูคู่อาฆาต มาวันนี้ได้มาถึงระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่เขาตั้งขึ้นมา ทั้งยังได้กลายเป็นบรรพบุรุษของพวกเขา ก็เลยถือโอกาสทำไปก็เท่านั้น เป็นการแสดงฝีมือสักหน่อย
อีกอย่าง กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว สัจธรรมของเขายังต้องอาศัยเวลาที่ยาวนานมาก หาเรื่องทำอะไรที่แดนสามเซียนสักหน่อยก็ดี นับว่ามาไม่เสียเที่ยว!
“ท่านบรรพบุรุษกลับมา จะต้องเหมือนดั่งพระอาทิตย์กลางหาวแน่นอน” หยางเซิ่นผิงรีบกล่าวสนับสนุนทันที แต่ชั่วเดี๋ยวเดียวเขารู้สึกลังเลขึ้นมา ถึงกับไปต่อไม่ถูก
“ท่านบรรพบุรุษ เรื่องนี้ เรื่องนี้…” หยางเซิ่นผิงไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มต้นพูดอย่างไร จะอย่างไรเสียเขาเป็นเพียงบุคคลตัวน้อยๆ เท่านั้นเอง ตัวเขาที่อยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริง ถือเป็นยอดฝีมือที่ยอดเยี่ยมมากในสำนักกระบี่ยักษ์ แต่ว่า กล่าวสำหรับ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว เขาเป็นได้เพียงยอดฝีมือคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้น เรื่องหลายๆ เรื่องจึงเป็นสิ่งที่เขาไม่สามารถตัดสินใจได้เมื่ออยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไอรีนโนเวล
เฉกเช่นสำนักที่เป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนั้น ต่อให้เขามีคุณสมบัติเข้าไปในราชสำนักได้ เขาก็เป็นได้เพียงขุนนางที่ธรรมดามากคนหนึ่งเท่านั้น เสมือนดั่งเป็นหัวหน้าสาขาซึ่งเป็นตำแหน่งเล็กๆ ในสำนักๆ หนึ่งเท่านั้น
ลองนึกภาพดู ตัวเขาที่เป็นเพียงหัวหน้าสาขาตัวน้อยๆ คนหนึ่บงสามารถส่งตัวบรรพบุรุษคนหนึ่งเข้าไปได้โดยตรงหรือ? เขาไม่สามารถเรียกให้ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง หรือบรรดาบรรพบุรุษของลานกำแหงมาพบกับบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพคนนี้ได้
“ไม่เป็นไร มีอะไรก็พูดออกมา” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับมองไปที่หยางเซิ่นผิง
หยางเซิ่นผิงหัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ท่านบรรพบุรุษ เวลานี้กษัตริย์องค์ก่อนเพิ่งจะเสด็จสวรรคต ผู้คนภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างจิตใจว้าวุ่น บรรดาเมืองต่างๆ ก็จ้องตาเป็นมัน ข้าน้อยเป็นเพียงดั่งจอกแหนเล็กๆ ที่ล่องลอย ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องใหญ่ได้ ได้แต่เชิญท่านบรรพบุรุษเข้าไปยังราชสำนักเพื่อร่วมหารือกับราชินี และเหล่าบรรพบุรุษ เพื่อตัดสินใจถึงสถานการณ์ในอนาคต”
คำพูดนี้ของหยางเซิ่นผิงพูดได้อ้อมค้อมมากแล้ว เขาไม่กล้าพูดออกมาตรงๆ ขนาดนั้น
“ข้าเข้าใจในความหมายของเจ้า” หลี่ชิเย่หัวเราะและกล่าวว่า “เนื่องจากพวกเจ้ายังคงไม่เชื่อ คิดว่าข้าเป็นผู้ที่สวมรอยแอบอ้าง ดังนั้น พวกเจ้าจึงต้องการยืนยันฐานะของข้าสักหน่อย”
“ไม่ ไม่ ไม่” หยางเซิ่นผิงรีบกล่าวว่า “ข้าน้อยเชื่อท่านบรรพบุรุษเต็มที่ แต่ว่า ข้าน้อยมีตำแหน่งที่เล็กคำพูดไม่มีน้ำหนักในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่สามารถพบกับเหล่าบรรพบุรุษ ที่ข้าน้อยพอจะคุยได้ก็มีเพียงราชินีเท่านั้น หากท่านบรรพบุรุษต้องการเรียกหาบรรดาเหล่าบรรพบุรุษที่กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ยังคงต้องหารือกับราชินีก่อน”
ความจริงแล้วเพื่อเชื่อมเข้าถึงราชินีแล้ว หยางเซิ่นผิงได้ทุ่มเททรัพยากรไปสูงมาก ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เสนอเรื่องเช่นนี้ ไม่แน่นักอาจถูกราชินีขับออกจากราชสำนัก ต่อให้ไม่ถูกลงโทษก็ต้องถูกตำหนิ
แต่ว่า เวลานี้กษัตริย์ปกครองราชสำนักสวรรคต ทำให้กองกำลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมดต่างต้องการได้กุมอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ทำให้จิตใจผู้คนหวั่นไหว คลื่นใต้น้ำกระเพื่อม เมื่อสายของราชินีต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่คับขัน พวกเขาก็ต้องการทะลวงหาทางออก
เนื่องเพราะสาเหตุนี้เอง เมื่อหยางเซิ่นผิงสามารถเชื่อมเข้าถึงตัวของราชินีแล้ว เมื่อทราบเรื่องนี้ ทางราชินีจึงได้ตัดสินใจให้หยางเซิ่นผิงเชิญตัวบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพเข้าวังก่อนแล้วค่อยว่ากันทีหลัง
แน่นอน เรื่องเช่นนี้ก็ไม่สามารถให้ผู้อื่นล่วงรู้ได้ เนื่องจากหากเป็นเรื่องเท็จก็จะไม่เป็นผลดีต่อสายของราชินีอย่างยิ่งทีเดียว แต่หากเป็นเรื่องจริง มันจำทำให้สายของราชินีมีฐานะมั่นคงขึ้นในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
“กระทำการทุกวิถีทาง แย่งชิงอำนาจ แม้แต่สภาพสังคมเวียนว่ายตายเกิดก็หนีไม่พ้นผลกรรมเช่นนี้” หลี่ชิเย่ผ่านประสบการณ์มาเป็นพันล้านปี มีเรื่องใดบ้างที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อน คำพูดที่อ้อมค้อมของหยางเซิ่นผิง เขาก็เข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงสถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้แล้ว เพียงเอ่ยเรียบเฉยขึ้นมาเช่นนี้
หยางเซิ่นผิงไม่กล้าพูดมากความกับคำวิจารณ์ของบรรพบุรุษ ได้แต่หัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่ง
“เอาเถอะ ข้ากลับอยากจะดูว่าพวกเจ้าจะทำเช่นใดกัน” ท่าทีหลี่ชิเย่ตามอารมณ์ยิ่ง กล่าวสำหรับเขาแล้ว หากจะกวาดล้างสิ่งกีดขวางที่ขวางทางเดินอยู่ตรงหน้าของเขาเป็นเรื่องที่ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ
แต่ว่า จิตใจของเขาในเวลานี้มุ่งไปที่การฝึกด้านสัจธรรม สำหรับเรื่องอื่นๆ นั้น แค่ถือโอกาสทำไปอย่างนั้น ใครกล้าขวางทางของเขา ฆ่าไม่มีละเว้น
“ข้าน้อยได้เตรียมรถม้าเอาไว้แล้ว ไม่ทราบว่าท่านบรรพบุรุษจะเดินทางเมื่อไร?” ครั้นหยางเซิ่นผิงได้ยินหลี่ชิเย่ไม่ได้ทำให้ตนต้องลำบากใจ ถึงกับยินดีและกล่าวขึ้น
“เช่นนั้นก็ไปเดี๋ยวนี้เลย” หลี่ชิเย่พูดไปตามอารมณ์
“ข้าน้อยจะไปเตรียมการเดี๋ยวนี้” เมื่อหยางเซิ่นผิงได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้วรู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมา แน่นอนที่สุด เรื่องเช่นนี้จบลงยิ่งเร็วยิ่งดี ยิ่งมีคนรู้เรื่องนี้น้อยเท่าไรย่อมดีกว่า
ก่อนหลี่ชิเย่จะจากไป ได้ชี้ไปตามอารมณ์ เจาะจงที่ตัวของจูซือจิ้ง เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “นังหนูผู้นี้ตามข้าไป คนของเผ่าสาปแช่งข้าจะให้อยู่ข้างกาย”
แม้แต่พวกของหยางเซิ่นผิงก็รู้สึกตะลึงกับการตัดสินใจของหลี่ชิเย่ ผู้คนจำนวนมากต่างมองว่าเผ่าสาปแช่งนั้นอัปมงคล ใครบ้างที่ต้องการอยู่ด้วยกันกับเผ่าสาปแข่ง? เวลานี้หลี่ชิเย่กลับต้องการพาจูซือจิ่งไปอยู่ข้างกาย เป็นการอยู่เหนือความคาดคิดของทุกคน
แม้แต่จูซือจิ้งเองก็ดูจะยืนเซ่อไปอยู่ตรงนั้น เนื่องจากผู้คนจำนวนมากต่างเกรงกลัวและออกห่างจากนาง มองว่านางเป็นตัวอัปมงคล กล่าวสำหรับตัวของนางเองแล้ว สามารถอยู่กับสำนักกระบี่ยักษ์ได้ก็พึงพอใจถึงที่สุดแล้ว ชาตินี้ไม่มีสิ่งใดที่นางต้องการเสาะแสวงหามากไปกว่านี้อีกแล้ว
อย่างน้อยที่สุดได้อาศัยอยู่ในสำนักกระบี่ยักษ์ ไม่ต้องถูกใครเขาขับไล่ ไม่จำเป็นต้องหลบๆ ซ่อนๆ
………………………