การได้รับการชี้ตัวจากหลี่ชิเย่อย่างกะทันหัน ไม่เพียงทำให้พวกของจูฉีตะลึงงัน แม้แต่จูซือจิ้งเองก็ตะลึงงันเช่นกัน เรื่องน่ายินดีนี้มาได้กะทันหันเหลือเกิน นางเองไม่รู้ว่าจะรับมันมาได้อย่างไร
“ข้า ข้า ข้า…” จูซือจิ้งพูดจาติดอ่างไปครึ่งค่อนวัน โดยไม่สามารถพูดออกมาเต็มประโยคได้
“ซือจิ้ง เจ้ารีบไปเก็บข้าวของสักหน่อย แล้วติดตามท่านบรรพบุรุษไป” เมื่อจูฉีในฐานะเจ้าสำนักกระบี่ยักษ์ได้สติกลับมา เห็นจูซือจิ้งพูดจาได้ไม่คล่องแคล่ว จึงสั่งการต่อจูซือจิ้งออกไป
จูซือจิ้งได้สติกลับมา จึงไปเก็บข้าวของทันที จากนั้นเดินตามอยู่ด้านหลังหลี่ชิเย่ไปแต่โดยดี
ก่อนออกเดินทาง จูฉีได้เน้นย้ำกับจูซือจิ้งว่า “เจ้าจะต้องคอยปรนนิบัติท่านบรรพบุรุษให้ดี นี่คือภารกิจสำคัญที่ทางสำนักมอบหมายให้เจ้า”
หลังจากที่จูฉีพูดจบแล้ว ยังได้นำเอาของวิเศษที่มีค่าหลายชิ้นยัดใส่มือของจูซือจิ้ง พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ขณะอยู่ในพระราชวัง หากขาดแคลนเงินทองที่จะใช้จ่ายก็ให้นำสิ่งเหล่านี้ไปจำนำเสีย เพื่อให้ดูดี”
จูฉีได้ฝากความหวังส่วนหนึ่งไว้บนตัวของจูซือจิ้ง จะอย่างไรเสีย หากว่าหลี่ชิเย่ คือบรรพบุรุษของลานกำแหงล่ะก็ เช่นนั้นแล้ว เขาจะต้องเป็นผู้กุมอำนาจของลานกำแหงในอนาคตอย่างแน่นอน ขณะที่จูซือจิ้งถูกหลี่ชิเย่ชี้เจาะจงให้รั้งอยู่ข้างกาย ถ้าหากสามารถได้รับการให้ความสำคัญจริง เช่นนั้นแล้วการสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขาในอนาคตก็จะยิ่งมีความหวังมากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้เอง จูฉีจึงยอมทุ่มทุนมหาศาลด้วยการนำเอาของที่ล้ำค่าที่สุดของตนยัดใส่มือของจูซือจิ้ง ที่เขาทำไปใช่ว่าเป็นเพียงให้ความสำคัญต่อจูซือจิ้งอย่างเดียว
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ การที่จูซือจิ้งติดตามอยู่ข้างกายของหลี่ชิเย่ ชั่วดีอย่างไรก็เป็นตัวแทนเป็นหน้าตาของสำนักกระบี่ยักษ์ ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จูซือจิ้งก็จำเป็นต้องแต่งองค์ทรงเครื่องนิดหนึ่ง ถ้าหากถึงพระราชวังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิแล้วขาดแคลนเรื่องเงินทองจริงๆ ก็สามารถนำของวิเศษเหล่านี้ไปจำนำเสีย
ในเวลานี้ พวกของหลี่ชิเย่ได้ไปยืนอยู่ที่ด้านนอกของสำนักกระบี่ยักษ์แล้ว
“ท่านบรรพบุรุษ สำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเราอยู่ในที่ที่ห่างไกลความเจริญ ไม่ได้มีประตูมิติ ดังนั้นข้าน้อยจึงได้เรียกรถม้าจากผยองขนส่งมาเป็นการเฉพาะ” หยางเซิ่นผิงรีบกล่าวกับหลี่ชิเย่ขณะยืนอยู่ด้านนอกสำนัก
สำนักกระบี่ยักษ์ที่เป็นสำนักขนาดเล็กเช่นนี้จะไปมีประตูมิติไว้ในครอบครองได้อย่างไรกัน ต่อให้มีการสร้างเป็นสร้างเป็นฐานขึ้นมาที่สำนักกระบี่ยักษ์ พวกเขาก็ไม่มีปัญญาที่จะใช้ประตูมิติได้
“ฮี้…” ขณะที่หยางเซิ่นผิงเพิ่งจะพูดขาดคำ เสียงร้องของม้ามังกรดังขึ้นเป็นระลอก รถม้าคันหนึ่งเหินฟ้ามาถึง จอดอยู่ตรงหน้าของพวกหลี่ชิเย่
“นายท่าน ท่านเป็นผู้เรียกรถม้ารึ?” เวลานี้มีผู้เฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่บนรถม้า ดวงตาทั้งสองส่งประกายวูบวาบ พลันที่มองเห็นก็รู้ว่าเป็นมือดีคนหนึ่ง
มันเป็นรถม้าที่ลากโดยม้ามังกรแปดตัว ตัวรถม้าเองดูโบราณเรียบง่ายแต่ก็ไม่ขาดซึ่งความโอ่อ่า เรียกได้ว่าปรกติแล้วหยางเซิ่นผิงเองก็ไม่อยากเรียกรถม้าประเภทนี้ แต่ว่า เพื่อต้อนรับหลี่ชิเย่แล้ว เขาทุ่มเงินก้อนโตเรียกรถม้าลักษณะเช่นนี้มาจากผยองขนส่ง
“ท่านบรรพบุรุษ เชิญ” เวลานี้หยางเซิ่นผิงรีบกล่าวเชื้อเชิญต่อหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่ไม่ได้ก้าวขึ้นรถม้าในทันที สายตาของเขาตกไปอยู่ที่สัญลักษณ์ที่อยู่บนตัวรถม้านั่น มันเป็นสัญลักษณ์ที่มีขนาดไม่ใหญ่ ดูไปแล้วคล้ายเป็นขวานเล็กๆ เล่มหนึ่ง แต่ก็คล้ายเป็นจี้ที่อยู่กับสร้อยคอ แลดูงดงามและฝีมือละเอียดอ่อนยิ่งนัก ด้านล่างของสัญลักษณ์สลักคำว่า ‘ผยอง’ เอาไว้
หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมาขณะมองดูสัญลักษณ์เช่นนี้ เขาคุ้นเคยกับตราสัญลักษณ์นี้มากเหลือเกิน
ภายในใจของหยางเซิ่นผิงรู้สึกเป็นกังวล เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่จ้องมองไปที่ตราสัญลักษณ์นั่น เขากังวลว่าหลี่ชิเย่จะติว่ารถคันนี้ไม่หรูหราพอ ขบวนต้อนรับไม่ยิ่งใหญ่พอ
แต่ว่า หยางเซิ่นผิงไหนเลยสามารถทำเรื่องให้อึกทึกคึกโครมได้เล่า จะอย่างไรเสียฐานะของหลี่ชิเย่ก็ยังไม่ได้รับการยืนยัน ขณะที่คลื่นใต้น้ำภายในลานกำแหงกำลังเคลื่อนไหว หากเขาก้าวเดินพลาดก้าวเดียวก็คือไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย
ครั้นหลี่ชิเย่ก้าวเท้าเข้าไปในรถม้าแล้ว หยางเซิ่นผิงจึงได้หายใจด้วยความโล่งอกทีหนึ่ง
“ทุกท่าน ไปล่ะ จะถึงพระราชวังภายในสามวันอย่างแน่นอน” สารถีผู้นี้ร้องเสียงดังออกมา แล้วขับเคลื่อนรถม้าวิ่งฮ่อไปอย่างรวดเร็ว
ฉับพลันนั้นเอง รถม้าดั่งสายฟ้าแลบวิ่งฮ้อไปถึงเส้นขอบฟ้า ด้วยความเร็วของรถม้าเช่นนี้ เร็วกว่าการเหินฟ้าของหยางเซิ่นผิงผู้อยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริงเสียอีก มิฉะนั้นล่ะก็หยางเซิ่นผิงคงไม่ทุ่มเงินก้อนโตเพื่อเรียกรถม้าจากผยองขนส่งแล้ว
หลี่ชิเย่นั่งริมหน้าต่าง มองดูม้ามังกรที่วิ่งฮ้อ ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ผยองขนส่ง น่าสนใจ” ไอรีนโนเวล
“ท่านบรรพบุรุษบางทีอาจไม่ทราบ ผยองขนส่งเป็นรถขนส่งที่ดีที่สุดของแดนสามเซียนแล้ว ขอเพียงจ่ายค่ารถได้ก็จะสามารถไปได้ทุกที่ในแดนสามเซียนผ่านผยองขนส่ง ไม่เพียงแค่แดนลัทธิพรรษเท่านั้น แม้แต่แดนลัทธิเซียน แดนลัทธิราชันก็ไปได้ เรียกได้ว่า ผยองขนส่งเป็นห้างร้านเพียงหนึ่งเดียวที่มีศักยภาพสามารถไปได้ทั่วทั้งแดนสามเซียน”
“ดูท่าศักยภาพไม่ธรรมดาเลย” หลี่ชิเย่หัวเราะ ในแดนสามเซียนนี้ ระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิด้วยกัน ถ้าหากทั้งสองฝ่ายไม่มีการเชื่อมต่อกันล่ะก็ เว้นแต่จะมีความแข็งแกร่งถึงขั้นสามารถฝ่าไปได้โดยอาศัยกำลัง มิฉะนั้นจะไม่สามารถก้าวข้ามระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของกันและกันไปได้ การที่ผยองขนส่งสามารถก้าวข้ามทุกพื้นที่ในแดนสามเซียนได้ ย่อมประเมินถึงกำลังของพวกเขาได้ว่ายิ่งใหญ่แค่ไหนแล้ว
“ห้างเจียวเหิงคือหนึ่งในสำนักที่มีกำลังทรัพย์มากที่สุดของแดนสามเซียน มันไม่ถือเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ทำการค้าเพียงอย่างเดียว ด้านขนส่งเป็นเพียงส่วนน้อยนิดส่วนหนึ่งของห้างเจียวเหิงเท่านั้น” หยางเซิ่นผิงรีบเอ่ยขึ้นมา
“ห้างเจียวเหิงเปิดได้ไม่นานนี่” หลี่ชิเย่หัวเราะ และเข้าใจถึงสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใน
“ถูกต้อง หากจะกล่าวถึงปีที่ก่อตั้ง ห้างเจียวเหิงมีอายุน้อยกว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากในแดนสามเซียน” หยางเซิ่นผิงกล่าวว่า “ราวพันล้านปีก่อน ได้มีผู้เยาว์ที่อายุราวสิบสองสิบสามปี ได้กล่าววาจาที่ฮึกเหิมเอาไว้ขึ้นกะทันหัน ต้องการเป็นผู้ที่มีทรัพย์สินเงินทองมากที่สุดในโลก แรกทีเดียวทุกคนต่างเข้าใจว่าเป็นการพูดเล่นไปอย่างนั้นเอง เด็กเพิ่งเกิด…”
“…แต่ว่า สิ่งที่ทำให้ผู้อื่นนึกไม่ถึงก็คือ เขาถึงกับทำได้สำเร็จ หลังจากนั้นหลายปี เขาได้ทำให้คำพูดที่ฮึกเหิมของเขาเป็นจริง ก่อตั้งห้างร้านที่ใหญ่โตมากที่สุดขึ้นที่แดนสามเซียน เชื่อมต่อไปยังทุกๆ ที่ในแดนสามเซียน กลายเป็นห้างร้านที่สามารถสร้างสาขาขึ้นไม่ว่าจะเป็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดก็ตามในแดนสามเซียน”
หยางเซิ่นผิงเองรู้สึกตื่นเต้นอยู่บ้างเมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เนื่องจากมีตำนานเกี่ยวกับเรื่องของห้างเจียวเหิงมากเหลือเกิน กล่าวได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดของห้างเจียวเหิงสามารถนำมาร้อยเรียงเป็นนิทานที่มหัศจรรย์ได้เล่มหนึ่ง
“มีคำพูดประโยคหนึ่งในแดนสามเซียนของพวกเรา มีเพียงท่านที่เงินไม่เพียงพอ แต่ไม่มีสินค้าใดที่ไม่มีในห้างเจียวเหิง ในห้างเจียวเหิงขอเพียงท่านสามารถให้ราคาได้ พวกเราก็สามารถทำให้พึงพอใจในสินค้าทุกอย่างที่ท่านต้องการ” เมื่อหยางเซิ่นผิงพูดถึงห้างเจียวเหิงแล้วดูเปี่ยมด้วยความกระฉับกระเฉง พูดเจื้อยแจ้วออกมาว่า “กระทั่งของวิเศษบางอย่างของแดนลัทธิเซียนก็มาจากแดนสามเซียน”
หลี่ชิเย่เพียงยิ้มเฉยเมยเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหยางเซิ่นผิง จึงพูดกับสารถีว่า “สามารถซื้อหาทุกสิ่งทุกอย่างจากห้างเจียวเหิงของพวกเจ้าได้หรือ?”
“นายท่าน ขอเพียงท่านสู้ราคาได้ ห้างเจียวเหิงของพวกเราก็สามารถซื้อหาทุกสิ่งทุกอย่างให้กับท่านได้” สารถีเองก็กล่าวด้วยความภาคภูมิใจตนเองยิ่งนักว่า “ไม่มีสินค้าใดที่ไม่มีในห้างเจียวเหิงของพวกเรา มีแต่ราคาที่ลูกค้าสู้ไม่ได้”
“เช่นนั้นก็ดี” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ถ้าหากทำได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็บอกกล่าวกับทางห้างของเจ้าว่า ข้าจะซื้อเซียนแท้จริงสักหนึ่ง เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา ขอเพียงพวกเจ้าเสนอราคามา ข้าไม่ขาดแคลนเรื่องเงิน! ขาดแต่เพียงเซียนแท้จริงนี่แหละ!”
คำพูดของหลี่ชิเย่พลันทำให้สารถีถึงกับพูดไม่ออก แม้ว่าเขาจะได้เคยพบกับผู้ยิ่งใหญ่จำนวนมาก ในเวลานี้เขาก็ต่อคำหลี่ชิเย่ไม่ติด
หยางเซิ่นผิงเองก็รู้สึกงงงัน เซียนแท้จริง โลกนี้มีเซียนแท้จริงขายที่ไหนกัน? ตามตำนานเล่าว่า ผู้ที่อยู่เหนือสุดยอดก็คือเซียนแท้จริง แต่ นั่นเป็นเพียงตำนานเท่านั้นเอง ผู้คนบนโลกไม่เคยได้เห็นเซียนแท้จริงมาก่อน!
“นายท่าน ท่านล้อเล่นเลยล่ะ” หลังจากผ่านไปชั่วครู่ สารถีผู้นี้จึงได้ตอบคำถามของหลี่ชิเย่ และหัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง
ถ้าหากหลี่ชิเย่ต้องการซื้อเซียนแท้จริงองค์หนึ่งจริงๆ ล่ะก็ พวกเขายังไม่รู้เลยว่าจะไปตามหาเซียนแท้จริงได้ที่ไหนกัน ต่อให้หลี่ชิเย่สามารถสู้ราคาได้ก็ตามที
“ข้าไม่ได้ล้อเล่นแม้แต่น้อย” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “เมื่อพบกับผู้ที่สามารถตัดสินใจในห้างของพวกเจ้าแล้ว ก็ช่วยบอกเขาสักคำ ที่ข้าต้องการซื้อก็คือเซียนแท้จริงองค์หนึ่ง เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา! ข้าอาศัยอยู่ในราชวังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนี่แหละ!”
คำพูดที่จริงจังเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ ไม่เหมือนเป็นการล้อเล่นแม้แต่น้อยนิด ทำให้สารถีต่อคำไม่ถูกโดยสิ้นเชิง ได้แต่นิ่งเงียบ
ถ้าหากเป็นช่วงปรกติ บางทีสารถีอาจเข้าใจว่าหลี่ชิเย่คือคนเสียสติ ซื้อเซียนแท้จริง นี่มันล้อเล่นอะไรกัน คงมีเพียงคนเสียสติเท่านั้นที่จะพูดจาโอ้อวดเช่นนี้! แต่ปัญหาก็คือ เวลานี้ดูไปแล้วหลี่ชิเย่ไม่เหมือนเป็นคนเสียสติแม้แต่น้อย
สำหรับหยางเซิ่นผิงที่มาเป็นเพื่อนอยู่ข้างกายหลี่ชิเย่ไม่กล้าพูดอะไรสักคำ ในโลกนี้ยังจะมีใครกล้าออกปากว่าต้องการซื้อเซียนแท้จริงสักองค์ ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้อื่น เขาก็ต้องเข้าใจว่าเป็นคนเสียสติเช่นกัน
แต่ว่า ผู้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาคนนี้กลับเป็นบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขา ไม่ได้เหมือนคนเสียสติแม้แต่น้อย เวลานี้เขาออกปากว่าต้องการซื้อเซียนแท้จริง มันช่างบ้าบิ่นเหลือเกิน และสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเหลือเกิน
แต่ว่าหยางเซิ่นผิงไม่คิดว่าจะเป็นการหาเรื่องห้างเจียวเหิงของหลี่ชิเย่ จะอย่างไรเสียเกรงว่าคนที่กล้าหาเรื่องห้างเจียวเหิงในแดนสามเซียนคงมีอยู่ไม่มาก จะอย่างไรเสียห้างเจียวเหิงสามารถทำการค้าไปยังทุกๆ ที่ในแดนสามเซียนได้ ศักยภาพของพวกเขา ธาตุแท้ภายในของพวกเขา ย่อมสามารถประเมินได้แล้ว!
รถม้าวิ่งฮ้อเสมือนดังสายฟ้าที่แลบผ่านไปบนท้องฟ้า ขณะที่หลี่ชิเย่มองดูผืนแผ่นดินที่งดงามด้านล่าง
ถ้าหากมองแต่ภูมิประเทศที่งดงามตรงหน้า จะรู้สึกว่าพื้นที่ที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้แตกต่างอะไรมากนักกับเก้าแดน หรือสิบสามทวีป แต่ถ้าหากเจ้าแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จะสามารถรับรู้ได้ว่า ทุกตารางนิ้วของผืนแผ่นดินนี้ล้วนแล้วแต่เปี่ยมด้วยพลังสัจธรรม พื้นดินทุกตารางนิ้วล้วนแล้วแต่เป็นแผ่นดินสัจธรรมทั้งสิ้น
จะอย่างไรเสีย แผ่นดินทั้งหมดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล้วนแล้วแต่หลอมกลั่นโดยผู้เฒ่ากำแหง ดินทุกๆ ตารางนิ้วล้วนแล้วแต่ถูกหลอมกลั่นเป็นผืนแผ่นดิน อีกทั้งแหล่งกำเนิดสัจธรรมที่ผู้เฒ่ากำแหงได้เปิดขึ้น มันได้ทำการดบ่มฟักผืนแผ่นดินที่กว้างขวางนับพันล้านลี้อยู่ตลอดเวลา ผ่านการบ่มฟักมาล้านล้านปี แม้ว่าผืนแผ่นดินนี้จะตกต่ำลงแล้ว แต่มันยังคงเป็นดินสัจธรรมอยู่ทุกแห่งหน
“หวนนึกถึงย้อนกลับไปในครั้งครานั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนี้ เรียกได้ว่าเสมือนดั่งจักรวาลแลทางช้างเผือก เป็นแผ่นดินที่กว้างใหญ่ขนาดล้านล้านลี้ เรียกได้ว่าเป็นโลกๆ หนึ่งได้เลย” ขณะมองดูแผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้า หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นเฉยเมยว่า “เสียดาย เวลานี้เหลือไว้เพียงผืนแผ่นดินเล็กขนาดนี้เท่านั้นเอง”
สำหรับคำพูดของหลี่ชิเย่นั้น หยางเซิ่นผิงได้แต่นิ่งเงียบ เขาเองไม่เคยได้เห็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงขณะอยู่ในแดนลัทธิเซียน แต่เล่าลือกันว่า ขณะที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง่ยังเป็นลัทธิเซียนอยู่นั้น พื้นที่กว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ธาตุแท้ภายในลึกซึ้งยากจะหยั่งถึง
แต่ว่า จากการที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขาตกต่ำลง ทำให้ผืนแผ่นดินจำนวนไม่น้อยแตกละเอียด และร่วงหล่นจากแดนลัทธิเซียนเรื่อยๆ กระทั่งสุดท้ายตกมาอยู่ที่แดนลัทธิพรรษ!
……………………………