ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร หวังหานถึงกับร่างสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินคำพูดคำว่า “ฆ่าไม่มีละเว้น” นางรู้สึกได้ถึงปณิธานการฆ่าที่สยองขวัญยิ่งตลบอบอวลอยู่ภายในใจของนาง นางไม่กล้ากระทั่งกล่าวให้มากความ รีบเร่งเดินจากไปอย่างรวดเร็ว
วังคนึงหานั้นเก่าแก่เสียหายมากแล้ว แม้ว่าหวังหานจะได้สั่งการลงไปให้เก็บกวาดให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็วที่สุด แต่ก็ยังคงเก่าแก่และเสียหายอยู่ นางยังเป็นกังวลว่าหลี่ชิเย่จะไม่ถูกใจ แต่ว่า หลี่ชิเย่ไม่ให้ความสนใจแม้แต่น้อยและเข้าพักในทันที
หลังจากหลี่ชิเย่เข้าพักในวังคนึงหาแล้ว ได้สั่งคนอื่นๆ ออกไปทั้งหมด นั่งขัดสมาธิในห้องเงียบๆ คนเดียว หลับตาพักผ่อนกายา
ในครั้งนั้นผู้เฒ่ากำแหงได้ตั้งชื่อที่นี่ว่าวังคนึงหา นอกเหนือจากปรกติแล้วเขาจะมานั่งครุ่นคิดเงียบๆ บรรลุสัจธรรมแล้ว ที่เขาตั้งชื่อนี้ยังมีอีกเหตุผลหนึ่ง นั่นก็คือคะนึงหาญาติคนใกล้ชิด สหายเก่าต่างๆ เป็นต้นในยุคสมัยของเขา จะอย่างไรเสียผู้เฒ่ากำแหงก็ไม่ใช่คนของโลกนี้ เขามียุคสมัยของตนเอง
การที่หลี่ชิเย่เข้าพักอาศัยในวังคะนึงหานั้น แน่นอนหาใช่เพราะต้องการทำเหมือนผู้เฒ่ากำแหงไปคะนึงถึงสหายเก่า การเข้าพักในวังคะนึงหาของเขามีเหตุผลที่คนอื่นไม่ทราบ
หลี่ชิเย่นั่งขัดสมาธิอยู่ภายในห้องเงียบๆ เหมือนหนึ่งเข้าฌานไปแล้ว และก็เหมือนหลับสนิทไปแล้วอย่างนั้น ปราศจากซุ่มเสียง ไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงหายใจ
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ แรกทีเดียวไม่ได้มีปรากฎการณ์ประหลาดแต่อย่างไร แต่ว่า จากเวลาที่เคลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ หลี่ชิเย่ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ร่างกายของเขาเหมือนค่อยๆ เลือนรางขึ้นอย่างช้าๆ คล้ายดั่งหลอมละลายไปช้าๆ อย่างนั้น แต่เมื่อมองดูให้ละเอียดอีกที ที่จะหลอมละลายไม่ใช่ตัวของหลี่ชิเย่ แต่เป็นช่องว่างที่หลี่ชิเย่อยู่ต่างหาก
ในเวลานี้เอง ถ้าหากเจ้ายังคงยืนอยู่ในห้องล่ะก็ จะบังเกิดเป็นมโนภาพขึ้นมา จะได้ยินเสียงดังคร๊ากก คร๊ากก คร๊ากกเป็นเสียงของก้อนอิฐที่ดังขึ้นเป็นระยะ ในเวลานี้จะได้เห็นก้อนอิฐก้อนหินทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้มีการเคลื่อนย้ายประกอบตัวขึ้นมาใหม่ อิฐและหินแต่ละก้อนที่ก่อตัวขึ้นใหม่เหมือนวังหลังหนึ่งที่ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างเป็นอีกรูปหนึ่งอย่างนั้น มโนภาพลักษณะเช่นนี้เหมือนว่าทำให้เจ้าก้าวข้ามโลกแล้วโลกเล่า ก้าวข้ามกาลเวลาแล้วกาลเวลาเล่าไปอย่างนั้น อีกทั้งสิ่งปลูกสร้างเช่นนี้มีการเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุดนิ่ง ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนว่ามีการสร้างขึ้นใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรกับมโนภาพในลักษณะเช่นนี้ ในที่สุด ก้อนอิฐก้อนหินทุกก้อนก็ได้มีการประกอบขึ้นใหม่เรียบร้อยแล้ว ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ไม่ได้อยู่ภายในวังคนึงหาอีกต่อไปแล้ว แต่ไปอยู่ในวังอีกแห่ง เป็นวังที่ไม่มีผู้ใดสามารถเข้ามาได้ เกรงว่าวังหลังนี้ไม่ว่าใครก็ตามในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็เข้ามาไม่ได้
ความจริงแล้ว นี่หาใช่เป็นวังแต่เป็นคลังขุมทรัพย์ เมื่อหลี่ชิเย่ลุกขึ้นและลืมตามอง เห็นเพียงรอบๆ ถูกจัดวางด้วยของวิเศษเรียงเต็มไปหมด
ภายในคลังสมบัติแห่งนี้ มีลังวิเศษที่วางตั้งเป็นใบๆ วางเป็นแถวเป็นแนว เมื่อหลี่ชิเย่เปิดลังแต่ละใบออกมา ปรากฏแสงที่สวยงามพุ่งขึ้นมาเป็นระลอก เวลานี้ ประกายวิเศษได้ตลบอบอวลไปทั่วทั้งคลังสมบัติแห่งนี้
ของวิเศษที่เก็บซ่อนอยู่ภายในคลังสมบัติแห่งนี้มีมากดั่งดอกเห็ดนับไม่ถ้วน มีกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีเปลวเพลิงแลบออกมาวูบวาบ มีค้อนสายฟ้าที่มีไฟฟ้าแลบออกมา และมีระฆังโบราณที่มีสุริยันจันทราและดวงดาวพาดอยู่…
นอกเหนือจากอาวุธวิเศษแห่งยุคแต่ละชิ้นแล้ว ยังมีของล้ำค่าเซียน และสมุนไพรศักดิ์สิทธิ์ มีหินผลึกที่มีหัวใจเซียนบ่มเพาะอยู่ภายใน มีไขหยกวสันต์ และมีบ่อน้ำขนาดเล็กที่มีน้ำพุทองไหลริน…
สำหรับพวกทองเหลืองวิเศษโลหะเซียนอะไรนั่น เรียกได้ว่ากองสุมเป็นกองๆ เหมือนเป็นภูเขาขนาดย่อมๆ แต่ละลูกอย่างนั้น
ด้วยของวิเศษจำนวนมากมาย และคลังสมบัติขนาดใหญ่โตมโหฬารเช่นนี้ อย่าว่าแต่ศิษย์ทั่วไปของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงเลย แม้แต่บรรดาบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงหากได้เห็นของวิเศษที่อยู่ตรงหน้าก็ต้องคลุ้มคลั่ง เกรงว่าของวิเศษและทรัพยากรที่อยู่ในคลังของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงในเวลานี้ก็น้อยกว่าของวิเศษที่อยู่ในคลังสมบัติที่อยู่ตรงหน้าอยู่มากทีเดียว
หลี่ชิเย่ไม่ได้รู้สึกใจเต้นตูมตามกับของวิเศษที่กองสุมดั่งภูเขาตรงหน้า คลังสมบัติในโลกเขาเห็นมามากแล้ว ครั้งนั้นขณะอยู่ที่ทวีปชิงโจว คลังสมบัติของบรรพบุรุษหลุนหุยนั้นยิ่งน่าตกใจกว่านี้อีก
“ตาเฒ่าเป็นผู้มีนิสัยขี้สงสัย ไม่ว่าใครก็ไม่ไว้ใจ จึงได้แอบซุกของดีบางส่วนให้กับตนเอง บางทีเขาอาจเก็บเอาไว้สำหรับเป็นทางหนีทีไล่ของตนเอง” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมากับคลังสมบัติที่อยู่ตรงหน้า
แน่นอน คลังสมบัติที่เห็นอยู่ตรงหน้าคือคลังสมบัติส่วนตัวของผู้เฒ่ากำแหงที่ได้ทิ้งเอาไว้ เขาไม่ได้โอนสมบัติที่อยู่ในคลังสมบัติแห่งนี้ให้กับรุ่นหลัง เพราะความลับเกี่ยวกับคลังสมบัตินี้มีเพียงตัวเขาที่รู้อยู่คนเดียว ไอลีนโนเวล
แต่ว่าหลี่ชิเย่ก็รับรู้ด้วย เนื่องจากพวกเขาต่างเข้าถึงความทรงจำด้วยกัน ดังนั้น หลี่ชิเย่ก็สามารถเข้าถึงคลังสมบัตินี้ได้อย่างสะดวก และนี่ก็คือเหตุผลที่หลี่ชิเย่ต้องการเข้าพักในวังคนึงหาแห่งนี้
นอกเหนือจากบรรดาของวิเศษจำนวนมากมายภายในคลังสมบัตินี้แล้ว บนชั้นวางตำรายังได้เคล็ดลับที่วางเรียงกันเป็นตับ เคล็ดลับเหล่านี้เรียกได้ว่ามีอยู่มากมายหลายหลากประเภท นอกเหนือจากเคล็ดลับที่ผู้เฒ่ากำแหงได้คิดค้นขึ้นเอง และหรือเคล็ดวิชาที่ฝึกอยู่ในเวลานั้นแล้ว ยังมีเคล็ดวิชาส่วนหนึ่งที่เป็นของจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่นๆ ที่ผู้เฒ่ากำแหงได้รวบรวมมาได้
กล่าวได้ว่าเคล็ดลับที่อยู่ในนี้มีอยู่มากมายหลายหลากมาก มีแทบทุกอย่าง กระทั่งมีเคล็ดวิชาและเคล็ดลับที่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงได้สาบสูญไปแล้ว
หลี่ชิเย่เพียงพลิกเปิดไปตามอารมณ์เท่านั้นเอง ในทะเลแห่งความรู้ของเขาก็มีเคล็ดวิชาทั้งหมดของผู้เฒ่ากำแหงอยู่แล้ว เวลานี้เขาแค่เปิดดูไปตามอารมณ์เท่านั้นไม่ได้รู้สึกสนใจมากนัก จะอย่างไรเสียเขาได้ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่เป็นของตัวเอง สำหรับเคล็ดวิชาของโลกนี้ และหรือเคล็ดวิชาที่ผู้เฒ่ากำแหงคิดค้นขึ้นมานั้น มันก็แค่เป็นตัวที่จะนำมาเปรียบเทียบเท่านั้นเอง
“ตาเฒ่า ครั้งนั้นเจ้าเลาะกระดูกของข้า มาวันนี้ข้าก็จะรวบเอาสมบัติของเจ้าจนเกลี้ยงคลัง ไม่รู้ว่าเมื่อเจ้าได้ยินข่าวนี้แล้วจะโมโหจนเป็นลมหรือไม่” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความเจ้าเล่ห์
เวลานี้ หลี่ชิเย่อยากรู้นักว่าหากผู้เฒ่ากำแหงรู้เรื่องนี้เข้าจะมีท่าทางอย่างไร ถ้าหากผู้เฒ่ากำแหงรู้ว่าของดีที่ตัวเองแอบซุกเอาไว้ถูกหลี่ชิเย่กวาดจนเรียบล่ะก็ ไม่แน่นักเขาอาจจะคลุ้มคลั่งจริงๆ ก็เป็นได้
หลี่ชิเย่ไม่ได้เกรงใจ จัดการกวาดเอาของดีที่บรรพบุรุษทิ้งเอาไว้จนเกลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นของวิเศษ อาวุธ เคล็ดลับ สมุนไพรเซียนต่างๆ ยึดเอามาเป็นของตนทั้งหมด
ในขณะนี้ หลี่ชิเย่ฮัมเพลงเบาๆ ทำการเก็บกวาดเอาของวิเศษที่ผู้เฒ่ากำแหงทิ้งเอาไว้ เขาสามารถจินตนาการได้อยู่แล้วว่า ท่าทีของผู้เฒ่ากำแหงหากรับรู้ข่าวเรื่องนี้แล้วจะเป็นอย่างไร
ระหว่างที่หลี่ชิเย่พักอาศัยอยู่ในวังคะนึงหานั้น หวังหานได้เรียกพบผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกหลายคนเป็นกรณีพิเศษด้วยเรื่องของบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพกลับมา แน่นอนผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกเหล่านี้เป็นผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกของจวนหวังของพวกเขาด้วย และเป็นคนสนิทที่หวังหานไว้ใจได้
“เรื่องที่บรรพบุรุษในหุบเหวบรรพชนฟื้นคืนชีพหากแพร่สะพัดออกไป เกรงว่าไม่ว่าใครก็ต้องคิดว่าเป็นเรื่องไร้สาระ บรรดาเจ้าผู้ครองรัฐต่างๆ ต้องเข้าใจว่านี่เป็นยืมชื่อคนอื่นมาแอบอ้างในทันที เป็นเพียงคนหลอกลวงที่มาสวมรอยเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าพระนางจะถูกโจมตี และอำนาจที่อยู่ในมือของพระองค์ก็จะไม่มั่นคงยิ่งขึ้น” ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกกล่าวเมื่อได้ฟังเรื่องนี้แล้ว
ความจริงแล้ว เหตุผลข้อนี้ไหนเลยที่หวังหานจะไม่เข้าใจ แต่ว่าเวลานี้นาทีนี้นางถูกสยบโดยหลี่ชิเย่อย่างสิ้นเชิง มีความเชื่อมั่นในตัวของหลี่ชิเย่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
“ข้ารู้ว่าบรรดาเจ้าผู้ครองรัฐคิดอย่างไร แต่ว่า นี่เป็นท่านบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพมาจริงๆ เรื่องอื่นๆ อาจจะแสแสร้งกันได้ แต่อานุภาพที่ปราศจากผู้ต่อกรไม่สามารถหลอกกันได้” หวังหานกล่าวว่า “การที่บรรพบุรุษท่านหนึ่งฟื้นคืนชีพ กล่าวสำหรับ ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว ไหนเลยจะไม่ใช่เรื่องดีเรื่องหนึ่งกันเล่า? การผงาดขึ้นมาของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงพวกเราเปี่ยมด้วยความเป็นไปได้ หากในยุคสมัยนี้ มีราชันแท้จริงนั่งบัญชาการให้กับระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเรา ใยจะต้องกลัวว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเราจะไม่รุ่ง?”
“เขาผู้นี้เป็นราชันแท้จริงจริงรึ? มันไม่น่าเป็นไปได้นะ ราชันแท้จริงล้วนแล้วแต่ไม่คงอยู่บนโลกนะ” ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกอีกผู้หนึ่งกล่าวด้วยความสงสัยว่า “หากมีราชันแท้จริงคงอยู่บนโลกจริง เกรงว่าเขาก็ต้องรั้งอยู่ที่แดนลัทธิเซียน ไม่จำเป็นต้องมาอยู่ในแดนพรรษ”
“เรื่องนี้…” ในเวลานี้หวังหานเองก็บอกไม่ถูก นางไม่รู้ว่าควรจะอาศัยคำพูดใดไปเปรียบเปรยหลี่ชิเย่ นางไม่สามารถมองออกว่าทักษะของหลี่ชิเย่เป็นเช่นใดกันแน่ กระทั่งอาจเป็นไปได้ที่เป็นเพียงผู้บำเพ็ญตนที่ธรรมดามากคนหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่า เมื่อหลี่ชิเย่ส่งประกายตาทั้งสองแวบวับทีหนึ่ง ทำให้ผู้คนไม่สามารถขัดขืนได้ แม้แต่นางเองยังถูกสยบในทันที
“แม้ว่าข้าไม่รู้ว่าทักษะยุทธของบรรพบุรุษผู้นี้ แต่เขาไม่อ่อนด้อยแน่นอน เกรงว่าจะเหนือกว่าบรรพบุรุษทุกคนที่ยังคงมีชีวิตอยู่บนโลก”
“หากเป็นการฟื้นคืนชีพของบรรพบุรุษจริงๆ มันก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่งโดยแท้” ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกที่พูดขึ้นเป็นคนแรกกล่าวว่า “แต่ เวลานี้ตำแห่งกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงพวกเรายังว่างอยู่ จิตใจผู้คนกำลังร้อนรน ในเวลานี้เองกลับปรากฏบรรพบุรุษฟื้นคืนชีพโผล่ขึ้นมากะทันหัน รู้สึกว่าเงื่อนเวลามันจะบังเอิญเกินไปสักนิดกระมัง”
“สิ่งที่น่ากังวลคือเป็นคนของจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่น” ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกอีกคนก็กล่าวด้วยความกังวลว่า “เกิดเป็นระดับเทพแท้จริงอะไรนั่นที่มาจากจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิอื่น แล้วปลอมตัวเป็นบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงพวกเรา มิเท่ากับทำให้ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงพวกเราต้องตกไปอยู่ในมือของคนนอกรึ”
หวังหานถึงกับนิ่งเงียบไปพักหนึ่ง แม้ว่านางจะถูกสยบโดยหลี่ชิเย่ แต่ไม่อาจไม่ยอมรับว่าคำพูดของผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกผู้นี้มีเหตุผลจริงๆ การปรากฏบรรพบุรุษฟื้นคืนชีพในเวลานี้ดูเหมือนจะบังเอิญไปนิดหนึ่ง
“หากให้บรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพไปทดสอบที่ต้นกำเนิดสัจธรรมสักครั้ง มิเท่ากับทุกอย่างชัดเจนเลย” หวังหานได้เสนอความเห็นที่กล้าหาญมาก “หากว่าเขาไม่ใช่บรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงพวกเรา ก็จะถูกเปิดเผยทันที”
“ไม่ได้ ทำไม่ได้อย่างเด็ดขาด” ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกคนแรกส่ายหน้าและกล่าวว่า “ไม่แน่นักจะไปเข้าทางผู้อื่นทันที เป็นไปได้เขาอาจมาด้วยเรื่องของต้นกำเนิดสัจธรรมระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง เมื่อเป็นดังนี้ พวกเรามิเท่ากับเสียรู้รึ?”
“เรื่องนี้ต้องคุยกับยาว” ผู้อาวุโสรุ่นบุกเบิกอีกผู้หนึ่งก็กล่าวขึ้นมาว่า “จะอย่างไรเสียเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเจริญรุ่งเรืองและตกต่ำของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง กระทั่งเกี่ยวพันถึงการอยู่หรือดับของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงพวกเรา ต่อให้พระนางต้องการให้บรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพไปผ่านการทดสอบที่ต้นกำเนิดสัจธรรม ต่อให้พวกเราเห็นด้วยก็ไร้ประโยชน์ เรื่องของต้นกำเนิดสัจธรรมมีความสำคัญยิ่งยวด ใช่ว่าลำพังจวนหวังของพวกเราตัดสินใจได้”
หวังหานถึงกับถอนหายใจเบาๆ ทีหนึ่งเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ นางเองก็รู้ว่าเรื่องมันไม่ง่ายดายนัก แต่นางเชื่อว่าหลี่ชิเย่ต้องเป็นบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงพวกเขาอย่างแน่นอน นางเชื่อในสัญชาตญาณของตนเอง สัญชาตญาณบอกนางว่า นางเชื่อผู้ชายคนนี้!
กล่าวสำหรับหวังหานแล้ว การกลับมาของบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้นับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่จะดีไปกว่านี้อีกแล้ว มันจะทำให้ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงพวกเขาผงาดขึ้นมาอีกครั้ง
ปัญหาอยู่ที่ว่า เวลานี้ต้องให้บรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพขึ้นมาใหม่ได้รับการยอมรับจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหง มิฉะนั้นล่ะก็ ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงก็มีสภาพเสมือนหนึ่งเม็ดทรายที่กระจัดกระจาย
“นี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง ถ้าหากพวกเราไม่สามารถฉวยโอกาสขณะที่มีบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งเช่นนี้เอาไว้ได้ เกิดเขาไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง จวนหวังของพวกเราก็จะพลาดโอกาสดีไป อนาคตจวนหวังของพวกเราอาจจะถึงคราวต้องตกต่ำลง และหลุดออกจากศูนย์กลางอำนาจของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิลานกำแหงต่อแต่นี้ไป” สุดท้าย หวังหานได้กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจัง
…………………………..