หวังหานเดินเข้าไปในตำหนัก ผู้ติดตามมีเพียงหยางเซิ่นผิงเท่านั้น เนื่องจากเรื่องนี้ยิ่งมีคนรู้น้อยคนยิ่งดี
หลังจากที่หยางเซิ่นผิงเดินเข้าไปในตำหนักแล้ว รีบก้มโค้งต่อหลี่ชิเย่ พูดเสียงแผ่วเบารายงานต่อหลี่ชิเย่ว่า “ท่านบรรพบุรุษ ท่านผู้นี้ก็คือพระนาง”
หลังจากหวังหานเข้ามาถึง มองเห็นหลี่ชิเย่นั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรด้วยท่านั่งที่ไม่เกรงใจใคร นางถึงกับตะลึงนึดหนึ่ง เนื่องจากบรรพบุรุษที่เห็นอยู่ตรงหน้าอยู่เหนือความคาดคิดของนางทั้งหมด
ในความคิดของนาง ในฐานะที่เป็นบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพจากหุบเหวบรรพชนนั้น ย่อมต้องเป็นผู้ที่มีผมเผ้าสีขาวสยาย ปรากฏกลิ่นอายเซียนลอยล่อง และหรือเป็นผู้ที่มีท่าทีสยบเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน
แต่ทว่า หลี่ชิเย่ที่เห็นอยู่ตรงหน้าแลดูเป็นผู้ที่มีอายุน้อยมาก ทั้งยังดูธรรมดาๆ อย่างยิ่ง ธรรมดาถึงขนาดโยนลงไปบนถนนแล้วไม่มีใครให้ความสนใจเลยประเภทนั้น ด้วยคนที่มีอายุน้อยแล้วยังมีลักษณะที่ธรรมดาเช่นนี้ มันเหมือนเป็นศิษย์ที่ธรรมดาจนไม่รู้จะเรียกว่าธรรมดาอย่างไรคนหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยแท้ ศิษย์ลักษณะเช่นนี้ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงหากมีจำนวนไม่ถึงสิบล้านคนก็คงไม่หนีหลายร้อยล้านคน
หวังหานรู้สึกผิดหวังทันทีที่ได้เห็นหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ากะทันหัน หัวใจหล่นตุ้บลงไปในก้นเหว นางยังเข้าใจว่าสามารถได้เห็นผู้บำเพ็ญตนสูงส่งคนหนึ่ง ไม่นึกว่ากลับเป็นคนอายุน้อยที่มีลักษณะธรรมดาเช่นนี้
“เซิ่นผิง…” เวลานี้หวังหานถึงกับจ้องมองไปที่หยางเซิ่นผิง นาทีนี้นางรู้สึกสงสัยอยู่บ้างว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าหยางเซิ่นผิงจะสุ่มหาศิษย์ธรรมดาที่ไหนสักคนมาสวมรอยเป็นบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของพวกเขา
หยางเซิ่นผิงถึงกับหวานอมขมกลืนเมื่อมองเห็นสายตาของหวังหานที่จ้องมองมาเช่นนี้ เขาเองเข้าใจได้ถึงเหตุผลที่หวังหานสงสัย ตอนที่เขาพบกับหลี่ชิเย่ในครั้งแรกไหนเลยจะมีความฉงนเช่นนี้เล่า
“เจ้ามาสายแล้ว” ในเวลานี้เองหลี่ชิเย่ได้ลืมตาขึ้นช้าๆ สองข้าง และสายตาก็ได้ตกอยู่บนตัวของหวังหาน
“ไม่ทราบว่าท่านมีนามว่ากระไร…” ภายในใจของหวังหานอดที่จะบังเกิดความเมินเฉยขึ้น เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่อายุน้อย และมีท่าทีที่ธรรมดาถึงเพียงนี้ ความที่ไม่มีสิ่งใดโดดเด่นแม้แต่น้อย ดังนั้น นางจึงไม่มีท่าทีที่ให้ความเคารพเอาเสียเลย
“คุกเข่า…” ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ที่เพ่งตรงไปข้างหน้า พลันเปล่งเป็นประกายขึ้นมา พริบตาเดียวนั่นเอง ภายในดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่เสมือนดั่งเทพมารของเหล่าชั้นฟ้าถูกระเบิดทำลายไปอย่างนั้น ดวงตาทั้งสองที่พันธนาการอยู่บนตัวของหวังหาน เหมือนดั่งผู้บงการของหมื่นแดน ราชันแท้จริง และเซียนหวังทั่วทั้งเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินก็ต้องคุกเข่าลงก้มกราบต่อหน้าของเขา
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น หวังหานยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ ฉับพลันนั้นควบคุมตนเองไม่ได้ ขาทั้งสองข้างอ่อนแรง คุกเข่าลงกับพื้นในพริบตาเดียวนั่นเอง
จังหวะที่สายตาของหลี่ชิเย่ส่งประกายเยือกเย็นออกมานั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหยางเซิ่นผิงเลย คุกเข่าก้มกราบลงกับพื้นร่างกายสั่นเทา ด้วยท่าทีเลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่ง พูดเสียงสั่นเครือว่า “ท่านบรรพบุรุษโปรดระงับโทสะ!”
ในเวลานี้ หยางเซิ่นผิงถูกทำให้ตระหนกตกใจจนวิญญาณกระเจิดกระเจิง เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นหลี่ชิเย่แสดงความโกรธขึ้นมา พลันที่เขาโกรธ อย่าว่าแต่บุคคลตัวน้อยๆ เช่นเขาเลย ต่อให้เป็นเทพมารเซียนหวังของเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดินก็ต้องคุกเข่าลงต่อหน้าของเขา
ไม่ง่ายนักกว่าหวังหานจะได้สติคืนกลับมา นางรู้สึกเหมือนอยู่ในความฝัน แม้ว่านางจะมีฐานะเป็นราชินี แต่นางมีชาติกำเนิดมาจากจวนหวัง จวนหวังในฐานะหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง นางที่อยู่ในฐานะผู้สืบทอดจึงไม่ด้อยนัก ศักยภาพของนางจึงไม่ด้อยไปกว่ากษัตริย์ที่สวรรคตไปแล้วนั่น
แต่ว่า ฉับพลันที่ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่แสดงอานุภาพออกมา ต่อให้นางที่มีศักยภาพระดับกษัตราแท้จริง ก็ต้องคุกเข่าลงกับพื้นโดยตรง เหมือนว่าศักยภาพเช่นนี้ของนางประดุจดังมดปลวกเท่านั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่
ในขณะนี้ บนตัวของหลี่ชิเย่ยังคงไม่มีพลังที่ยิ่งใหญ่ดั่งคลื่นยักษ์ และไม่มีท่วงท่าที่สยบเก้าชั้นฟ้าสิบแดนดิน แต่ว่า พลันที่ดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ส่งประกายเยือกเย็นออกมา ต่อให้เป็นเทพแท้จริงก็ต้องสั่นเทาเช่นกันเมื่ออยู่ตรงหน้าของเขา
หวันหานยังคงหวาดผวาไม่หาย ภายในใจบังเกิดความหวาดกลัวที่บอกไม่ถูกอย่างหนึ่ง เป็นความหวาดกลัวที่มาจากสัญชาตญาณ เหมือนว่าหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าคือผู้ที่ยืนอยู่บนอันดับสูงสุดของห่วงโซ่อาหาร สรรพสิ่งมีชีวิตจะต้องคุกเข่าลงเมื่ออยู่ต่อหน้าของเขา ไม่ว่าจะดำรงอยู่ในสถานะเช่นใดก็ตามเมื่ออยู่ภายใต้กลิ่นอายของเขาก็ต้องสั่นเทาไปทั้งร่าง
เวลานี้ หลี่ชิเย่หลับตาทั้งสองข้างลงอย่างช้าๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ และไม่ได้ให้หวังหานกับหยางเซิ่นผิงพวกเขาลุกขึ้น
จูซือจิ้งที่ยืนอยู่ด้านหลังสะดุ้งจนวิญญาณแทบออกจากร่างเมื่อได้เห็นภาพนี้แล้ว ในใจของนางนั้น ราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่ในฐานะที่สูงส่งอย่างยิ่ง คนของสำนักกระบี่ยักษ์หากได้พบเห็นราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ต้องคุกเข่ากราบกับพื้น ไอรีนโนเวล
แต่ทว่า เวลานี้ราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถูกสยบจนต้องคุกเข่าลงกับพื้น ไม่กล้าแม้แต่จะลุกขึ้นยืน
ในเวลานี้ ภายในตำหนักเงียบสงัดจนถึงขีดสุด ยิ่งหยางเซิ่นผิงแล้วไม่ต้องพูดถึง เขาตัวสั่นไปทั้งร่าง และหมอบกับพื้นไม่กล้าแม้แต่จะเคลื่อนไหว เนื่องจากหลี่ชิเย่แสดงความโกรธออกมาเมื่อครู่ พลันทำให้เขาตกใจสุดขีดจนแทบหัวใจวายตาย
หวังหานในฐานะราชินีผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง นางเคยพานพบอุปสรรคและอันตรายมาชนิดที่หยางเซิ่นผิงไม่สามารถเทียบเคียงได้ นางเคยพบเจอมาแล้วกระทั่งเทพแท้จริง เรียกได้ว่ามีความกล้าหาญเหนือผู้คน และยังมีจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่ง ขณะเดียวกันนางเองก็ใช่จะเป็นคนที่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ มิฉะนั้นล่ะก็ นางคงไม่ยืนหยัดรักษาสถานการณ์เอาไว้อย่างทระนงหลังการสวรรคตของกษัตริย์
แต่ว่าเวลานี้นางเองก็ต้องคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ไม่กล้าลุกขึ้นยืนในขณะนี้ แม้ว่าภายในใจของหวังหานจะมากหรือน้อยก็คิดอยากจะขัดขืน จะอย่างไรเสียนางหาใช่ผู้ที่พลันถูกผู้อื่นสยบแล้วก็ไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้แบบนั้น แต่ว่า แม้นางคิดจะต่อต้านขัดขืน แต่ความหวาดกลัวที่อยู่ภายในใจกลับห้ามและสยบนางเอาไว้อย่างแข็งขัน ทำให้ขาทั้งสองข้างของนางอ่อนแรง และไม่มีความกล้าที่จะลุกขึ้นยืน
สัญชาตญาณโดยตรงบอกนางว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าดำรงอยู่ในฐานะสยองขวัญมากที่สุด ซึ่งเป็นต้นกำเนิดความสยองขวัญทุกสิ่ง ดังนั้นสัญชาตญาณโดยตรงจึงส่งผลให้นางสูญเสียความกล้าที่จะขัดขืน ได้แต่คุกเข่าอยู่ตรงนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาได้ผ่านไปนานเท่าไรแล้ว หลี่ชิเย่จึงได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาอย่างช้าๆ กล่าวเรียบเฉยว่า “ลุกขึ้น”
“ขอบคุณท่านบรรพบุรุษที่เมตตา” เมื่อหยางเซิ่นผิงได้ยินคำพูดนี้เหมือนดั่งได้รับการอภัยโทษอย่างนั้น กราบแล้วกราบอีก แล้วจึงลุกขึ้นมาด้วยท่าทีที่สั่นเทา
“ขอบคุณท่านบรรพบุรุษ” เวลานี้หวังหานก็เอ่ยออกมาเบาๆ คำหนึ่ง เป็นคำที่นางหลุดปากโดยไม่ได้คิด เพียงพริบตาเดียวเท่านั้น แม้แต่หวังหานที่อยู่ในฐานะราชินีก็ถูกสยบโดยพลัน และไม่มีความกล้าที่จะต่อต้านหลี่ชิเย่อีก
เวลานี้สายตาของหลี่ชิเย่จึงได้ตกอยู่บนตัวของหวังหาน ไม่อาจไม่กล่าวว่า หวังหานนั้นนับเป็นสุดยอดหญิงงามแห่งยุคคนหนึ่ง เมื่อจูซือจิ้งเทียบกับนางแล้ว เรียกได้ว่าสลดและอับแสงมากเลยทีเดียว
หวังหานที่อยู่ตรงหน้าสวมชุดหงส์ ภาพรวมและดูเปี่ยมด้วยความสูงส่ง แม้ว่าชุดหงส์ที่หลวมยิ่งยังคงห่อหุ้มรูปร่างที่งดงามยิ่งของนางเอาไว้ไม่ได้ อกอวบที่เต่งตึงสูงตระหง่านดั่งภูเขาหิมะ ก้นที่กลมกลึงท่ามกลางส่วนเว้าส่วนโค้ง ทำให้ใจหายใจคว่ำ นับว่าอวบอัดเหลือเกิน
ช่วงขาที่ยาวเรียวยิ่งทำให้รูปร่างของนางดูยอดเยี่ยม เรียวขาที่กระชับได้สัดส่วนเหมือนดั่งแกะสลักด้วยมีด เอวบางของนางส่งผลให้ก้นที่กลมกลึงเด่นชัดขึ้นมา ยิ่งทำให้ต้องอกสั่นขวัญแขวน
นัยน์ตาคู่นั้นของนางแวววาวเสมือนดั่งกระแสคลื่นที่สาดซัด ส่งประกายสะท้อนชวนหลงใหล เพียงหันหลังส่งยิ้มด้วยความเอียงอายจริตหญิงล้วนปรากฎให้ได้ยล ด้วยความเป็นหญิงงามที่โดดเด่นเช่นนี้ ทำให้บุรุษจำนวนเท่าไรต้องใจเต้นตูมตาม
“ในเมื่อต้องการขอความช่วยเหลือจากข้า ก็ต้องวางท่าทีให้ดูเรียบร้อยนิดหนึ่ง” เวลานี้หลี่ชิเย่จึงได้เปิดปากพูดขึ้นมาอย่างช้าๆ
เวลานี้ หวังหานก้มหน้าก้มตา ไม่กล้าพูดอะไรมากความต่อหน้าหลี่ชิเย่อีก นางเสมือนดั่งเป็นเด็กสาวที่ทำความผิดอย่างนั้น ก่อนที่จะมา หวังหานได้นึกคำพูดต่างๆ มากมายเอาไว้แล้ว ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะเป็นบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพจริงๆ ก็ตามที แต่เวลานี้หวังหานกลับพูดอะไรไม่ออก คำพูดที่นึกเตรียมเอาไว้ก่อนหน้าล้วนแล้วแต่พูดไม่ออก ไม่มีคำพูดใดๆ ที่จะเอ่ยออกมา
“ศิษย์รุ่นหลังยินดีต้อนรับการกลับมาของท่านบรรพบุรุษ” สุดท้าย หลังจากที่ความคิดของหวังหานได้คิดอยู่หลายตลบ ได้แต่กลั่นเอาคำพูดคำนี้ออกมาเท่านั้น
“สถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงข้าเข้าใจหมดแล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเฉยเมยว่า “หากเจ้าคิดจะรักษาสถานการณ์นี้เอาไว้ก็ไม่ยาก พยายามช่วงชิงเอามาก็แล้วกัน สติปัญญาเขลานิดหนึ่งไม่ใช่ปัญหา เกรงแต่ทั้งโง่เขลาทั้งโลภและเกียจคร้าน!”
“ศิษย์รุ่นหลังเข้าใจ” หวังหานไม่กล้าพูดอะไร นางถูกหลี่ชิเย่สยบจนคล้อยตามยิ่งนัก
“วันนี้ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว ก็ได้เวลาสมควรต้องผ่าตัดกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้ขนานใหญ่แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “จากลัทธิเซียนหล่นลงมาอยู่ที่ลัทธิพรรษ พวกเจ้าที่เป็นลูกหลานรุ่นหลังเรียกว่าล้างผลาญจนไม่เหลืออะไรให้ล้างผลาญอีกต่อไปแล้ว! หากไม่ทำการเปลี่ยนแปลงอีก โลกนี้ก็จะไม่มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอีกต่อไป ตาเฒ่ากำแหงหากรู้เข้า จะต้องเหยียบพวกเจ้าที่เป็นลูกหลานอกตัญญูฝูงนี้ให้ตายคาเท้าอย่างแน่นอน!”
ไม่ว่าจะเป็นหวังหานก็ดี หยางเซิ่นผิงก็ช่าง พวกเขาต่างพูดอะไรไม่ออก และไม่กล้าพูดอะไรออกมา เมื่อถูกหลี่ชิเย่กล่าวตำหนิเช่นนี้
ในบรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิในแดนสามเซียนนั้น ลัทธิพรรษนับว่าอยู่ในระดับต่ำที่สุดแล้ว ถ้าหากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงถูกล้างผลาญต่อไปอีก แหล่งต้นกำเนิดสัจธรรมจะต้องเหือดแห้ง แผ่นดินสัจธรรมพังทลาย จากนั้นไม่ก็ฟ้าดินพังทลายลงทั้งหมด ไม่ก็ค่อยๆ ตกต่ำและรกร้าง สุดท้ายกลายเป็นโลกที่อับจน บ้านเมืองลุกเป็นไฟ!
“เอาล่ะ ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็แล้วกัน” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และสั่งการออกไปช้าๆ
“เชิญท่านบรรพบุรุษกลับไปพักผ่อนที่ตำหนักสวรรค์” เมื่อหวังหานได้สติกลับมา นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม แลดูอ่อนโยนและคล้อยตามเป็นพิเศษ
“ไม่ ข้าจะอยู่ที่วังคนึงหา!” หลี่ชิเย่พูดเฉยเมย
“วังคนึงหา…” เวลานี้ หวังหานก็นึกไม่ออก เนื่องจากนางจำไม่ได้แล้วว่าวังคะนึงหาคือส่วนไหนของพระราชวังเสียแล้ว
“อยู่มุมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “ดูท่าสิ่งที่พวกเจ้าหลงลืมมีมากมายเหลือเกิน แม้แต่สถานที่ที่ผู้เฒ่ากำแหงครุ่นคิดบรรลุสัจธรรมก็จำไม่ได้เสียแล้ว”
เมื่อหวังหานได้รับการเตือนสติจึงนึกขึ้นมาได้ ภายในพระราชวังที่ใหญ่โตแห่งนี้มีสถานที่นี้อยู่จริงๆ เพียงแต่มันมีสภาพที่เก่าและเสียหายแล้ว กระทั่งขึ้นรกร้างด้วยวัชพืช
เนื่องจากสถานที่แห่งนี้ไม่มีใครไปอาศัยอยู่เป็นเวลานานมากแล้ว เพียงแต่มีบันทึกเอาไว้ว่า เป็นสิ่งที่ผู้เฒ่ากำแหงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเขาได้ทิ้งเอาไว้
ต่อมาภายหลัง สถานที่แห่งนี้ไม่ใครมาพักอาศัย ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ตลอด ดังนั้นรุ่นหลังเกือบจะไม่มีใครจดจำชื่อของตำหนักแห่งนี้ได้แล้ว
“ท่านบรรพบุรุษโปรดรอสักครู่ ศิษย์รุ่นหลังจะส่งคนไปเก็บกวาดให้เรียบร้อยก่อน” เมื่อหวังหานได้สติกลับมาแล้วจึงรีบคารวะและเอ่ยขึ้น
“ไปเถอะ” หลี่ชิเย่พยักหน้า โบกไม้โบกมือ
“หากไม่มีเรื่องอื่นใด ก็อย่าได้มารบกวนข้า” ในขณะที่หวังหานกำลังจากไป หลี่ชิเย่ได้เรียกนางไว้ และสั่งการไปว่า “สำหรับสถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เจ้าก็ทำไปให้เต็มที่ นี่เป็นเวลาที่จะทดสอบเจ้าแล้ว เจ้าเพียงจดจำคำๆ หนึ่งของข้าเอาไว้ให้ดี ใครขวางทางของข้าล่ะก็ ฆ่าไม่มีละเว้น!”
………………………..