ชายหนุ่มที่ชื่อว่าเผิงเวยจิ่นมองหน้าหยางเซิ่นผิงอย่างเหยียดหยามเมื่อถูกขวางทางเอาไว้ หัวเราะเยาะว่า “หยางเซิ่นผิง ข้าให้ความเคารพในฐานะที่เป็นผู้อาวุโส แต่ อย่าลืมไปสิว่าที่นี่คือลานหลวง หาใช่สำนักกระบี่ยักษ์ที่เป็นสถานที่เล็กๆ ของพวกเจ้า ในลานหลวงมียอดฝีมืออยู่มากมาย ระดับวีรบุรุษแท้จริงมีอยู่ดาษดื่นเต็มไปหมดทุกที่”
“เรื่องนี้ข้ารู้ ไม่จำเป็นต้องให้นายน้อยตระกูลเผิงกล่าวเตือน” สีหน้าของหยางเซิ่นผิงดูบึ้งตึง ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นบุคคลผู้มีชื่อเสียงมานาน และมีชีวิตอยู่มาอย่างยาวนาน มาวันนี้ถูกผู้เยาว์คนหนึ่งเยาะเย้ย อย่างไรเสียก็ต้องบังเกิดอารมณ์ขึ้นในใจ
“ฮึ ดูท่าเจ้านี่ใจกล้ามากขึ้นไม่น้อยทีเดียว ปรกติแล้วเจ้าไม่เคยออกไปไหน” เผิงเวยจิ่นหัวเราะเยาะทีหนึ่ง เวลานี้เขาไม่ได้ไปสนใจต่อหลี่ชิเย่อีก ยิ้มเยาะและกล่าวว่า “ได้ข่าวว่าระยะหลังเจ้าไปมาหาสู่กับจวนหวังไม่น้อยเลยนะ ดังนั้น จึงเข้าใจว่าได้เกาะจวนหวังแล้ว ความมั่นใจก็เลยมากขึ้นน่ะสิ?”
“นายน้อยเผิงกล่าวหนักไปแล้ว” สีหน้าของหยางเซิ่นผิงดูบึ้งตึงขึ้น หวังหานก็อยู่ตรงนี้เอง เกิดพูดจาที่น่าเกลียดออกมาล่ะก็ ไม่เพียงเขาเท่านั้นที่หาทางลงไม่ได้
“แหะกล่าวหนักไม่หนักอะไร สิ่งนี้ในใจของเจ้าเข้าใจดี” เผิงเวยจิ่นยิ้มเยาะและกล่าวว่า “อย่าลืมไปสิ ฝ่าบาทสวรรคต เกรงว่าสถานการณ์ของจวนหวังไปแล้วไปลับ ถ้าหากเจ้ารู้จักกาลเทศะล่ะก็ควรรู้ว่าจะต้องเลือกอย่างไร ถ้าหากเจ้ารู้จักกาลเทศะ ยินดีต้อนรับเจ้าเข้าสู่ตระกูลเผิงของพวกเรา เบื้องหลังตระกูลเผิงพวกเรามีกองกำลังซั่งหนุนหลังอยู่ ใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่เจ้าไม่รู้…”
“นายน้อยเผิงให้เกียรติข้า ข้ารับไม่ไหวหรอกนะ ขอบคุณ” ขณะที่เผิงเวยจิ่นพูดยังไม่จบ สีหน้าของหยางเซิ่นผิงเปลี่ยนไป พลันพูดตัดบทเผิงเวยจิ่นไป
จะอย่างไรเสียที่เขาเกาะคือจวนหวัง เวลานี้ที่คอยให้การสนับสนุนตัวเขาก็คือจวนหวังเช่นกัน ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น หวังหานก็อยู่ในเหตุการณ์ เมื่อคำพูดเหล่านี้เข้าหูแล้วย่อมไม่เป็นผลดีต่อสำนักกระบี่ยักษ์ของพวกเขา เกิดถูกสงสัยว่าตัวเขามีในเป็นอื่นทุกอย่างก็อาจจะต้องจบสิ้นลง ดังนั้น เขาจึงต้องรีบกล่าวตัดบทเผิงเวยจิ่นทันที
“ฮึ ไม่รักดี” เผิงเวยจิ่นส่งเสียงแสดงความไม่พอใจออกมา กล่าวน่าเกรงขามว่า “รอให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงผลัดเปลี่ยนแผ่นดินแล้ว เจ้านึกเสียใจก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว” พูดจบหันหลังจากไปทันที
แม้ว่าภายในใจของเผิงเวยจิ่นจะดูเคลนหยางเซิ่นผิงอยู่แต่ก็ไม่ปะทะกับเขา จะอย่างเสียตัวเขาคือระดับอัจฉริยะแท้จริง ขณะที่หยางเซิ่นผิงอยู่ในระดับวีรบุรุษแท้จริง ซึ่งแข็งแกร่งกว่าไม่น้อยเลยทีเดียว
เผิงเวยจิ่นทิ้งคำพูดเช่นนี้เอาไว้แล้วก็จากไป ซึ่งทำให้สีหน้าของหยางเซิ่นผิงต้องเปลี่ยนไป ท่าทางของเขาดูจะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หลังจากที่ตามทันพวกของหลี่ชิเย่แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอย่างไรดี
“พระนาง อย่าได้ไปฟังนายน้อยเผิงพูดจาไร้สาระ” ท่าทางของหยางเซิ่นผิงดูกลืนไม่เข้าคายไม่ออก พูดและหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา
จะอย่างไรเสียประโยคสุดท้ายของเผิงเวยจิ่นออกจะน่าเกลียดมาก เป็นการท้าท้ายอำนาจของจวนหวังซึ่งหน้าโดยตรง เป็นความจริงขณะที่หวังหานในฐานะราชินีในปัจจุบัน เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว ย่อมต้องไม่สบอารมณ์แน่นอน
“ไม่เป็นไร” หวังหานเพียงพูดน้ำเสียงเรียบเฉยออกมา
ความจริงแล้ว คำพูดเช่นนี้ก็ไม่ได้อยู่นอกเหนือความคาดคิดของหวังหาน จะอย่างไรเสียเวลานี้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีผู้คนจำนวนมากที่จ้องมองอำนาจที่อยู่ในมือของนาง ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่คาดหวังให้นางมอบอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงออกมาเสียเดี๋ยวนี้แลย เพื่อให้พวกเขาได้เป็นผู้สืบทอดในฐานะสายตรงต่อไป
เผิงเวยจิ่นคือนายน้อยแห่งตระกูลเผิง ขณะที่ตระกูลเผิงก็มีกำลังในแถบลานหลวงอยู่ไม่ธรรมดาทีเดียว ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ตระกูลเผิงนั้นภักดีต่อกองกำลังซั่ง โดยที่กองกำลังซั่งคือหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของลานกำแหง ต้องการเข้าไปครอบครองพระราชวังเพื่อควบคุมและกุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
เวลานี้กษัตริย์สวรรคต กองกำลังซั่งอดทนรอต่อไปไม่ไหวมานานแล้ว ดังนั้น เวลานี้เมื่อได้ฟังคำพูดของเผิงเวยจิ่นแล้ว ก็เป็นสิ่งที่อยู่ในความคาดคิดของหวังหานอยู่แล้ว
แน่นอน หลี่ชิเย่ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อยสำหรับเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้อยู่แล้ว จะเป็นกองกำลังซั่ง หรือตระกูลเผิงอะไรนั่น กล่าวสำหรับเขาแล้วมันก็แค่มดปลวกเท่านั้น เขาเพียงวัดผืนแผ่นดินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาไปเท่านั้น
หลี่ชิเย่ไม่เพียงก้าวเดินอยู่ภายในพระราชวังเท่านั้น หลังจากออกจากพระราชวังแล้วเขาก็ยังคงก้าวเดินต่อไปข้างนอกทีละก้าวๆ ทำการวัดไปทั่วทั้งลานหลวง
ศูนย์กลางของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็คือลานหลวง แม้จะกล่าวว่าระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีพื้นที่นับสิบล้านลี้ ในครั้งนั้นหลังจากที่ผู้เฒ่ากำแหงเปิดต้นกำเนิดสัจธรรมแล้วก็ได้ทำการหลอมกลั่นแผ่นดินที่ไร้ขอบเขตผืนนี้ โดยทุกตารางนิ้วของแผ่นดินล้วนแล้วแต่ถูกกลั่นให้เป็นแผ่นดินสัจธรรม แต่ทว่า สถานที่ที่ทำให้ผู้เฒ่ากำแหงต้องทุ่มเทพลังกายใจวางรากฐานให้มั่นคงยังคงเป็นลานหลวง
กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยรวมแล้ว ขอเพียงลานหลวงไม่ล้มลง เช่นนั้นแล้วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็จะยังคงอยู่ ต่อให้มีสักวันที่แผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถูกผู้อื่นยึดครองไป แต่ว่า ขอเพียงลานหลวงยังคงอยู่ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็จะยังคงอยู่
แน่นอนที่สุด ถ้าหากแม้ลานหลวงยังถูกทำลายไป ต่อให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงมีแผ่นดินในครอบครองอีกมากมายก็ตาม ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็เท่ากับคงอยู่แต่ในนามเท่านั้นเอง
หลังจากที่ทำการวัดลานหลวงไปแล้ว หลี่ชิเย่ได้กุมฐานรากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยรวมเอาไว้ทั้งหมดได้แล้ว เรียกได้ว่า หากเขาต้องการโยกย้ายพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมดในวันนี้ มันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก เขาสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไว้ได้ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่า เขาไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังใดๆ ของตนเองแม้แต่น้อยก็สามารถกวาดทุกอย่างจนหมดสิ้น ไม่มีใครสามารถขวางเขาเอาไว้ได้ ตัวเขาก็คือผู้บงการของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแห่งนี้
“นับว่าตาเฒ่าได้สิ้นเปลืองพลังกายใจลงไปนับไม่ถ้วนเลยนะเนี่ย นับเป็นความรักที่ลึกซึ้งมากโดยแท้ น่าเสียดาย ไม่มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่รุ่งเรืองเป็นนิรันดร์” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นใสช้าๆ
ย่อมไม่ต้องสงสัย ตาเฒ่าที่อยู่ใต้หุบเหวลึกของหอศิลาโรยได้ทุ่มเทกำลังกายใจไปนับไม่ถ้วนกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กล่าวได้ว่าเขามีความตั้งใจจริงที่ต้องการสร้างสำนักขึ้นที่นี่จริงๆ ต้องการให้วิชาของตนได้สืบทอดต่อไป มิฉะนั้นล่ะก็เขาคงไม่เสียพลังกายใจเป็นจำนวนมากทำให้ฐานรากของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีความมั่นคงแข็งแรง กล่าวได้ว่า เพื่อทำให้รากฐานเต๋ามีความมั่นคงแข็งแรงทั้งระบบ การเปิดแหล่งต้นกำเนิดสัจธรรม ทำให้ตาเฒ่าต้องสำแดงฝีมือทุกอย่างออกมา ไอรีนโนเวล
ความจริงแล้ว ในครั้งนั้นผู้เฒ่ากำแหงก็เช่นเดียวกับหลี่ชิเย่ในเวลานี้ เป็นเพียงผู้ที่เดินผ่านมายังโลกนี้เท่านั้นเอง จะเป็นหลี่ชิเย่ก็ดี ผู้เฒ่ากำแหงก็ช่าง พวกเขาล้วนแล้วแต่ไม่เคยคิดที่จะหยุดอยู่ที่ตรงนี้ รั้งอยู่ที่ตรงนี้เป็นนิรันดร์
แม้ว่าในภายหลัง หลังจากที่ผู้เฒ่ากำแหงได้กลับไปยังยุคสมัยของตนแล้ว เขาเคยทำเรื่องที่บ้าบิ่นยิ่ง แต่ไม่อาจปฏิเสธก็คือ เขาได้ทุ่มเทความรักที่ลึกซึ้งมากสำหรับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
กล่าวสำหรับ เขาแล้ว เขาไม่เพียงต้องการให้คงร่องรอยที่เป็นของตนเอาไว้บนโลกแห่งนี้เท่านั้น เขายังคาดหวังให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้ได้สืบทอดต่อไปเรื่อยๆ ต่อให้ยุคสมัยของเขาถูกทำลายสลายไป แต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธินี้ยังคงอยู่บนโลกใบนี้
ด้วยสาเหตุนี้เอง ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในครั้งนั้นจึงมีความแข็งแกร่งยิ่งนัก แรกเริ่มทีเดียวจึงตั้งตระหง่านอยู่ในแดนลัทธิเซียน น่าเสียดาย จากวันเวลาที่ผ่านไป ในที่สุดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงตกต่ำลง แม้ว่าในช่วงเวลาอันยาวนานที่ผ่านมา ระหว่างนั้นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ได้เคยให้กำเนิดราชันแท้จริงอยู่หลายองค์ และเคยทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่ยังคงไม่สามารถเหนี่ยวรั้งความตกต่ำของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกลับมาได้อย่างแท้จริง ท้ายที่สุดแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังคงตกต่ำลงเรื่อยๆ และตกลงสู่แดนลัทธิพรรษในที่สุด
ความจริงแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่แม้จะอยู่ในแดนลัทธิพรรษ แต่ศักยภาพที่มีก็ยากที่จะเบียดตัวไปอยู่แถวหน้า ไม่ได้มีสภาพที่เจริญรุ่งเรืองเฉกเช่นครั้งก่อน
แน่นอนที่สุด พวกของหวังหานล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่า ‘ตาเฒ่า’ ที่ออกมาจากปากของหลี่ชิเย่นั้นหมายถึงผู้เฒ่ากำแหงของพวกเขา
สิ่งที่หลี่ชิเย่แตกต่างจากผู้เฒ่ากำแหงในครั้งนั้นก็คือ หลี่ชิเย่กลับไม่เคยคิดที่จะก่อตั้งสำนักเพื่อการสืบทอดของตนในแดนสามเซียน เขาไม่เคยคิดที่จะทิ้งร่องรอยของตนเอาไว้ที่ตรงนี้ จะอย่างไรเสียเขาจะพลิกหน้าศักราชที่ใหม่ทั้งหมดขึ้นมา เขาจะมียุคสมัยที่เป็นของตนเอง ซึ่งต่างจากผู้เฒ่ากำแหงที่ก้าวเดินไปจนถึงปลายยุคสมัยของตนแล้ว!
“ไปเถอะ ไปห้างเจียวเหิงกัน” หลังจากที่หลี่ชิเย่ได้วัดผืนแผ่นดินจนหมดแล้ว ยิ้มจางๆ และสั่งการออกไป
เมื่อหยางเซิ่นผิงได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้วจึงรีบนำทางให้กับหลี่ชิเย่ ชั่วดีอย่างไรเขาก็อาศัยอยู่ในลานหลวง จึงมีความคุ้นเคยถนนหนทางของลานหลวงอย่างละเอียด กระทั่งดีกว่าหวังหานที่ออกจากวังน้อยกว่า
เมื่อคณะของหลี่ชิเย่เดินทางไปถึงห้างเจียวเหิงนั้น มองเห็นความใหญ่โตมโหฬารของห้องเจียวเหิงจนสุดจะเปรียบเปรย
ความจริงแล้ว แทนที่จะบอกว่าเป็นห้างร้านมิสู้บอกว่ามันคือเมืองใหญ่เมืองหนึ่งน่าจะเหมาะสมมากกว่า เนื่องจากที่ตรงนี้แลดูสุดลูกหูลูกตา ร้านรวงมีจำนวนนับไม่ถ้วน ได้ยึดครองพื้นที่ของลานหลวงไปเสี้ยวหนึ่ง แต่ แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของลานหลวงแต่ก็เพียงพอทำให้ผู้คนต้องหัวใจวายตาย
แน่นอนที่สุด คงมีเพียงห้างเจียวเหิงเช่นนี้เท่านั้นที่มีศักยภาพอที่จะยึดครองพื้นที่สำคัญเช่นลานหลวงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสักแห่งได้กว้างขวางขนาดนี้ หากเปลี่ยนเป็นห้างร้านอื่นๆ ต้องไม่มีกำลังเช่นนี้อย่างแน่นอน
ความจริงแล้ว คิดจะทำการค้าขายในแดนสามเซียนนั้น ที่แรกที่คิดถึงก็คือห้างเจียวเหิง ไม่ว่าจะต้องการซื้อะไร หรือต้องการขายอะไรล่ะก็ ไม่เพียงไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงของห้างเจียวเหิงแล้ว เรื่องของความน่าเชื่อถือเป็นสิ่งที่รับประกันได้
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ห้างเจียวเหิงมีสินค้าทุกสิ่ง และผู้ซื้อที่ลูกค้าต้องการ ดังนั้น ขอเพียงก้าวเท้าเข้าไปยังห้างเจียวเหิงในวินาทีนั้นเป็นต้นไป ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะหาซื้อสิ่งที่ต้องการไม่ได้ และไม่ต้องกังวลว่าจะหาผู้ซื้อที่ต้องการ
ห้างเจียวเหิงตัดข้ามทั่วแดนสามเซียน ได้ชายหนุ่มที่ชื่อเจียวเหิงเป็นผู้สร้างตำนานมหัศจรรย์นิรันดร์กาลขึ้นมา บางทีด้านของการบำเพ็ญเพียงอาจไม่มีผลงานอะไรนัก ไม่ได้เป็นราชันแท้จริง ไม่เคยสร้างผลงานการสู้รบที่โด่งดัง และไม่เหมือนเช่นปฐมบรรพบุรุษคนใดคนหนึ่งที่บุกเบิกแผ่นดินที่ไร้ขอบเขต
แต่ว่าชายหนุ่มผู้นี้กลับนำเอาสินค้าของตนวางจำหน่ายไปทั่วทุกมุมในแดนสามเซียน ให้ชื่อ ‘เจียวเหิง’ ชื่อนี้ดังก้องไปทั่วแดนสามเซียน การที่เขาทำจุดนี้ได้ไม่รู้ว่ายิ่งใหญ่กว่าราชันแท้จริง และหรือปฐมบรรพบุรุษจำนวนเท่าไร
จะอย่างไรเสีย ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานที่ผ่านไป ชื่อของราชันแท้จริงและปฐมบรรพบุรุษจำนวนมากได้จมหายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลา แต่ว่าห้างเจียวเหิงยังคงอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ชื่อของ ‘เจียวเหิง’ จึงดังกระฉ่อนไปทั่วแดนสามเซียน ทำให้ผู้ที่อยู่ทุกมุมเมืองของแดนสามเซียนล้วนแล้วแต่รู้ว่าบนโลกนี้มีห้างร้านแห่งหนึ่งที่ชื่อว่า ‘ห้างเจียวเหิง’
ไม่มีใครรู้ว่าเคล็ดลับที่ทำให้ห้างเจียวเหิงสามารถทำได้เช่นนื้คืออะไร บางทีเคล็บลับนี้ได้ติดตามเจียวเหิงเลือนหายไปในสายน้ำแห่งกาลเวลาแล้ว แต่มาถึงวันนี้ ห้างเจียวเหิงยังคงตั้งตระหง่านในแดนสามเซียน เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้น เมื่อหลี่ชิเย่มองเห็นสัญลักษณ์ที่คล้ายขวานเล่มเล็กๆ แต่ก็เหมือนจี้ของห้างเจียวเหิงแล้ว หลี่ชิเย่ถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา และต้องทอดถอนใจออกมาว่า “บุรุษผู้สูงส่ง มิเสียทีที่เป็นเจียวเหิง ทั่วทั้งโลกายังจะมีผู้ใดคู่ควรกับอักษรคำว่า ‘เจียวเหิง’ สองคำนี้ คงมีเพียงคนเดียวเท่านั้นเอง!”
เมื่อก้าวเดินเข้าไปยังห้างเจียวเหิง ส่งผลให้จูซือจิ้งที่มาจากที่ที่ห่างไกลในชนบทเล็กๆ ต้องอ้าปากตาค้าง เมื่อมองเห็นสินค้าที่ละลานตา ของวิเศษล้ำค่าในความคิดของนางนั้น เป็นได้เพียงสินค้าแต่ละชิ้นที่ถูกจัดวางเรียงรายอยู่ในตู้เท่านั้น
กระทั่งโอสถเซียนที่นางเข้าใจว่ามีเพียงในตำนานเท่านั้น ในขณะนี้ก็เป็นเพียงสินค้าธรรมดาชิ้นหนึ่งที่อยู่ในตู้ของห้างเจียวเหิงเท่านั้นเอง
ดังนั้น ขนาดของห้างเจียวเหิงที่อยู่ตรงหน้านับว่าสร้างความสะเทือนหวั่นไหวให้กับจูซือจิ้ง นังหนูที่ไม่เคยได้เห็นโลกภายนอกผู้นี้
……………………………………