ทันทีที่มีคนต้องการซื้อหินก้อนนี้ ทำให้พนักงานขายของเรือนอัญมณีชะงัก ถึงกับจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ จะอย่างไรเสียพวกเขาไม่มีเหตุผลที่จะไม่ขายสินค้าของพวกเขา ในเมื่อมีผู้ต้องการซื้อ
เวลานี้ ปรากฏชายหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา เขาคือเผิงเวยจิ่น นายน้อยแห่งตระกูลเผิงนั่นเอง เขามีเรื่องกระทบกระทั่งกันกับหลี่ชิเย่มาแล้วสองครั้ง ส่งผลให้เขาเห็นหลี่ชิเย่แล้วรู้สึกขัดหูขัดตาโดยสิ้นเชิงไปแล้ว และบังเกิดความอาฆาตแค้นอยู่ในใจ
เวลานี้ เมื่อเขาเห็นหลี่ชิเย่สนใจในหินก้อนนั้น จึงไม่พูดพล่ามทำเพลงเสนอตัวขอซื้อหินก้อนนี้เอาไว้ จงใจเป็นปฏิปักษ์กับหลี่ชิเย่!
หวังหานรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาโดยพลันเมื่อมองเห็นเผิงเวยจิ่น แม้จะกล่าวว่าบ้านตระกูลเผิงจะมีกำลังไม่ธรรมดา แต่เทียบไม่ได้กับจวนหวังอย่างสิ้นเชิง ที่พวกเขาพึ่งพิงก็คือกองกำลังซั่งที่เป็นหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเท่านั้นเอง
“นายน้อยเผิง ทำอะไรอย่าให้มันเกินเลยไปนัก!” หวังหานถึงกับกล่าวเสียงทุ้มต่ำออกมาว่า “ถอยก้าวหนึ่ง จะทำให้มองเห็นมุมมองที่กว้างไกลขึ้น!”
“แค่คนรับใช้คนหนึ่ง กล้าพูดกับข้าอย่างนั้นรึ?” เวลานี้เผิงเวยจิ่นชำเลืองหวังหานและยิ้มเยาะเย้ยทีหนึ่ง สั่งการกับพนักงานขายของเรือนอัญมณีว่า “ของชิ้นนี้ราคาเท่าไร ห่อให้ด้วย!” กล่าวจบ หันไปมองหน้าหวังหานอย่างดูเคลน
“เรียนคุณชายท่านนี้ หินก้อนนี้ราคาหนึ่งล้านสามแสนเหรียญศิลาแกร่งระดับปราชญ์” พนักงานขายของเรือนอัญมณีตอบทันที
“หนึ่งล้านสามแสนเหรียญก็หนึ่งล้านสามแสนเหรียญ ข้าซื้อไว้แล้ว! ต่อให้เป็นเพียงหินสับปะรังเคก้อนหนึ่ง ข้าซื้ออย่างมีความสุข” ภายในใจของเผิงเวยจิ่นเรียกได้ว่าเจ็บแปลบ เมื่อรับรู้ถึงราคาของมัน กล่าวได้ว่าเป็นราคาที่สูงลิบลิ่ว แต่ว่า เขาได้พูดออกไปแล้วจะเสียหน้าไม่ได้ จึงต้องกัดฟันซื้อเอาไว้
แม้จะกล่าวว่าภายในใจของเผิงเวยจิ่นจะเจ็บปวด แต่ทว่า เขาคาดว่าคนอย่างหลี่ชิเย่เป็นไปไม่ได้ที่จะสู้ราคาได้ขนาดนี้เพื่อซื้อหินก้อนหนึ่ง ดังนั้น เขาจึงได้บอกว่าเขาจะซื้อหินก้อนนี้เอาไว้ แม้ว่าจะเป็นความเจ็บใจที่ต้องเสียเงินมากมายไปซื้อหินก้อนนี้ แต่เขารู้สึกสบายใจที่สามารถระบายแค้นออกมาได้
“ฮึ คิดว่าพวกเจ้าคงไม่มีเงินมากมายที่จะมาใช้จ่ายได้! วันนี้ข้านี่แหละอารมณ์ดี ต่อให้เป็นเงินหลายล้านก็ยินดีเอามาโยนน้ำเล่น!” ในใจของเผิงเวยจิ่นรู้สึกดีขึ้นเยอะมากทีเดียว หัวเราะเยาะทีหนึ่ง และมองหลี่ชิเย่ด้วยท่าทีเย้ยหยัน เหมือนตนเองเป็นคนเหนือคนอย่างนั้น ในใจของเขาดูแคลนในตัวหลี่ชิเย่ที่มีท่าทีเป็นเพียงชายหนุ่มที่สุดแสนจะธรรมดาผู้นี้ ด้วยชายหนุ่มที่ธรรมดาเช่นนี้อาศัยอะไรมาวางมาดเป็นผู้สูงส่งต่อหน้าของเขา!
หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปสนใจเขา กระทั่งไม่สนใจที่อยากจะมองหน้าเขาสักแวบหนึ่ง หยิบเอาก้อนหินที่อยู่ในมือของพนักงานขายมาพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด
“วางลง” ครั้นเผิงเวยจิ่นมองเห็นหลี่ชิเย่หยิบก้อนหินก้อนนั้น จึงแสดงท่าทีที่อยู่เหนือผู้คน ตวาดดูแคลนออกมาว่า “หินก้อนนี้เป็นของคุณชายอย่างข้า เอามือสกปรกของเจ้าออกไป! พนักงานขาย ห่อให้ข้า”
“สามล้าน!” เวลานี้ สีหน้าของหวังหานบึ้งตึง การที่เผิงเวยจิ่นกล้าแสดงท่าที่ไม่ให้ความเคารพต่อหลี่ชิเย่ เท่ากับไม่เคารพต่อนาง ดังนั้น แววตาของนางพลันเย็นชาและเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “พนักงานขาย ข้าให้สามล้าน ช่วยห่อให้กับคุณชายของข้า!”
พลันที่หวังหานกล่าวขาดคำ สีหน้าของเผิงเวยจิ่นแปรเปลี่ยนไปทันที่ สีหน้าดูปั้นยากในทันที เนื่องจากหลี่ชิเย่ไม่ได้มองหน้าเขาแม้เพียงแวบเดียว กลับกลายเป็นว่าคนรับใช้ของเขาได้เสนอราคาสูงลิบลิ่วออกมา เท่ากับเป็นการบ่งบอกว่าตัวของเผิงเวยจิ่นไม่มีคุณสมบัติพอที่จะพูดกับหลี่ชิเย่ด้วยซ้ำ มีสิทธิ์เพียงคุยกับคนรับใช้ที่อยู่ข้างกายเขาเท่านั้น
“เจ้า” เผิงเวยจิ่นสีหน้าดูไม่จืด พลันจ้องมองหวังหานอย่างโกรธแค้น ขณะที่หวังหานก็ขึ้คร้านจะมองหน่าเขาด้วยซ้ำ
มาคราวนี้พลันทำให้เผิงเวยจิ่นต้องขี่หลังเสือเสียแล้ว จะอย่างไรเสีย ราคาก่อนหน้านั้นก็สร้างความเจ็บใจให้เขาอยู่แล้ว เวลานี้ หวังหานกลับเสนอราคาถึงสามล้าน เขาแทบจะยอมรับไม่ได้แล้ว ถ้าหากว่าเป็นของอัญมณีที่ล้ำค่ายิ่งล่ะก็ สามหรือห้าล้านเขายังพอที่จะทุ่มเข้าไป เขายังมีความสามารถพอที่จะรวบรวมเงินก้อนนี้ได้ ปัญหาอยู่ที่ว่านี่เป็นเพียงก้อนหินก้อนหนึ่งเท่านั้น ให้เขาต้องทุ่มเงินถึงเหรียญศิลาแกร่งระดับปราชญ์สามล้านเหรียญ นับว่าไม่คุ้มอย่างยิ่งเอาเสียเลย
เหรียญศิลาแกร่งคือเงินที่ให้หมุนเวียนแพร่หลายในแดนสามเซียน เหรียญศิลาแกร่งไม่เพียงสามารถใช้เป็นเงิน มันยังใช้ได้กับอีกหลายๆ อย่าง เป็นต้นว่า ใช้เป็นธาตุแท้ภายในกับการสร้างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสักแห่ง สามารถนำมาใช้ขับเคลื่อนอานุภาพของสุดยอดค่ายกลใหญ่ได้
เหรียญศิลาแกร่งหนึ่งเหรียญ สร้างขึ้นจากการผ่าเอาแก่นจากศิลาแกร่งลูกนั้นๆ ลูกหนึ่ง ทุกๆ เหรียญศิลาแกร่งจะต้องมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางหนึ่งร้อยมิลิเมตรหนักสี่สิบห้ากรัม! แม้จะกล่าวว่า ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ในแดนสามเซียนล้วนแล้วแต่สามารถสร้างเหรียญศิลาแกร่งขึ้นมาได้เอง แต่ว่าจะต้องรักษาขนาดของเหรียญศิลาแกร่งทุกๆ เหรียญอย่างเคร่งครัด มิฉะนั้นแล้ว ก็จะไม่สามารถใช้หมุนเวียนในท้องตลาดได้
มูลค่าของเหรียญศิลาแกร่งแต่ละเหรียญจะบ่งบอกด้วยระดับชั้นของศิลาแกร่ง เป็นต้นว่า ศิลาแกร่งระดับปราชญ์ก้อนหนึ่ง เมื่อมีการผ่าเอาส่วนที่เป็นแก่นออกมาแล้วมันก็ต้องเป็นเหรียญระดับปราชญ์ เป็นไปไม่ได้ที่จะนำเอาศิลาแกร่งระดับปราชญ์ก้อนหนึ่งมาสร้างให้เป็นเหรียญศิลาแกร่งระดับเทพได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
เหรียญศิลาแกร่งสามารถใช้ในการฝังเข้าไปในสุดยอดค่ายกลใหญ่เหมือนศิลาแกร่ง เพื่อขับเคลื่อนสุดยอดค่ายกลนั่น อีกทั้งอานุภาพของเหรียญศิลาแกร่งจะทรงพลังมากกว่าศิลาแกร่งเสียอีก เป็นการบ่งบอกว่าอาศัยเหรียญศิลาแกร่งไปขับเคลื่อนสุดยอดค่ายกลจะฟุ่มเฟือยมากกว่าใช้ศิลาแกร่ง!
เหรียญศิลาแกร่งระดับปราชญ์สามล้านเหรียญ ราคาระดับนี้กล่าวสำหรับเผิงเวยจิ่นนับเป็นราคาที่แพงมากๆ แล้ว แม้จะกล่าวว่า บ้านตระกูลเผิงของพวกเขามีกิจการที่ใหญ่โตมาก และนายน้อยอย่างเขาก็ไม่เคยขาดเคลนเรื่องเงิน แต่ว่า การใช้เงินเหรียญศิลาแกร่งระดับปราชญ์สามล้านเหรียญไปซื้อก้อนหินก้อนหนึ่ง มันไม่คุ้มค่าแน่นอน
“สามล้านหนึ่งแสน!” เผิงเวยจิ่นกัดฟันเสนอราคาที่แสนจะสูงออกมา ในเมื่อเขาได้ทุ่มไปแล้ว ไหนๆ จะเล่นแล้วก็เล่นให้มันหนักขึ้นอีกสักนิด เขาไม่สามารถอดกลั้นความอัปยศนี้เอาไว้ได้ คนเรามีชีวิตอยู่ในโลกก็เพื่อศักดิ์ศรีอยู่แล้ว!
“ห้าล้าน” สำหรับราคาที่เผิงเวยจิ่นเสนอนั้น หวังหานได้กล่าวขึ้นด้วยท่าทีเอ้อระเหย เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องให้หลี่ชิเย่ออกปากแล้วล่ะ
บ้านตระกูลเผิงแม้ว่าจะมีเงิน แต่เมื่อเทียบกับจวนหวังแล้วยังห่างชั้นอีกมาก หวังหานในฐานะราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ลำพังทรัพย์สินส่วนตัวของนางเองหาใช่เผิงเวยจิ่นที่เป็นเพียงนายน้อยคนหนึ่งสามารถเทียบเคียงได้อยู่แล้ว
“เจ้า” เผิงเวยจิ่นไม่สามารถรับกับราคาเช่นนี้ได้ เมื่อหวังหานได้เสนอราคาเพิ่มขึ้นเป็นห้าล้านโดยพลัน จะอย่างไรเสียห้าล้านสำหรับเขานับว่าเป็นตัวเลขที่หืดขึ้นคอสำหรับเขา
“สิบล้าน!” หวังหานขี้คร้านจะไปสนใจเขา ทำการเสนอราคาเพิ่มขึ้นจากเมื่อครู่ไปอีกเท่าตัว เงินจำนวนนี้นางสามารถจ่ายได้อย่างสิ้นเชิง นางที่เป็นราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็อดกลั้นความอัปยศนี้ไม่ได้เช่นกัน
เมื่อราคาสิบล้านถูกเสนอขึ้นมาโดยพลัน เผิงเวยจิ่นโกรธจนตัวสั่นเทา นี่เป็นการตบหน้าของเขาเข้าให้อย่างแรง และทำให้เขาหาทางลงไม่ได้ในทันที
หากจะกล่าวว่า สามล้านเขายังรับได้ ห้าล้านเขายังสามารถแลกสักครั้ง เช่นนั้นแล้วเมื่อราคาขึ้นไปถึงสิบล้านแล้ว เขาไม่สามารถรับได้โดยสิ้นเชิง ราคาระดับเช่นนี้กล่าวสำหรับตัวเขาแล้ว นับว่าเป็นตัวเลขที่มหาศาลมาก อย่าว่าแต่ทุ่มเงินเหรียญสิลาแกร่งระดับปราชญ์สิบล้านเหรียญ เพื่อไปซื้อหินก้อนหนึ่ง ต่อให้เขาต้องควักสิบล้านเพื่อไปซื้ออัญมณีที่อยู่ในระดับราคาเดียวกัน เขาก็ควักเงินจำนวนนี้ออกมาไม่ได้
เวลานี้ สีหน้าของเผิงเวยจิ่นดูไม่จืดถึงขีดสุด ถึงกับจ้องมองหวังหานด้วยความโกรธแค้น ถ้าหากถูกหลี่ชิเย่ตบหน้าไปฉาดหนึ่งก็ยังจะดีกว่านิดหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดเขาก็มุ่งหาเรื่องต่อหลี่ชิเย่ แต่ว่านี่สิ กลับต้องถูกคนรับใช้คนหนึ่งตบหน้าตรงๆ มันคือความอัปยศอย่างใหญ่หลวงแท้ๆ
“แค่คนรับใช้ชั้นต่ำคนหนึ่งเท่านั้น ถึงกับกล้ากล่าววาจาอวดดี! ทีนี่เจ้ามีสิทธิ์พูดรึ!” สุดท้าย สีหน้าเผิงเวยจิ่นดูไม่เป็นมิตร และไม่เหลือบุคลิกงดงามอีกต่อไป ด่าทอหวังหานเข้าให้ตรงๆ
พลันที่เผิงเวยจิ่นพูดคำๆ นี้ออกมา ไม่เพียงหวังหานที่มีสีหน้าดูไม่จืด แม้แต่หยางเซิ่นผิงก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว หวังหานคือราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม นางคือตัวแทนอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เวลานี้เผิงเวยจิ่นถึงกับด่าว่านางตรงๆ ว่า ‘คนใช้ชั้นต่ำ’ ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่ทะลุฟ้าทีเดียว
อนาคตไม่ว่าจะเป็นผู้ใดมากุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ตาม อย่างน้อยที่สุด เวลานี้หวังหานยังคงเป็นตัวแทนที่เป็นสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่ว่าใครก็ตามในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ไม่กล้าด่าว่าหวังหานเป็นคนรับใช้ชั้นต่ำ ต่อให้มีผู้เฒ่าคนใดคนหนึ่งจะแย่งชิงอำนาจ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะด่าว่าเช่นนี้ได้ จะอย่างไรเสียคำด่าเช่นนี้เป็นการเหยียดหยามต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก หากบานปลายขึ้นมาต้องเรียกว่าเรื่องใหญ่ทะลุฟ้าอย่างแท้จริง
“เผิงเวยจิ่น เจ้าจะลงมือเอง หรือให้ข้าลงมือ?” เวลานี้หยางเซิ่นผิงร้องกล่าวด้วยความโกรธ มืออยู่ที่ด้ามจับของกระบี่ จ้องมองเผิงเวยจิ่นด้วยความโกรธแค้น
เผิงเวยจิ่นไม่ได้เกรงกลัวต่อหยางเซิ่นผิงอยู่แล้ว แม้ว่ากำลังของหยางเซิ่นผิงจะกล้าแข็งกว่า แต่บ้านตระกูลเผิงของพวกเขาไม่รู้ว่ายิ่งใหญ่กว่าสำนักกระบี่ยักษ์เท่าไร ยิ่งไปกว่านั้น บ้านตระกูลเผิงของพวกเขายังมีกองกำลังซั่งหนุนหลังอยู่!
“หยางเซิ่นผิง เจ้าจะให้ความสำคัญตัวเองมากไปกระมัง มันก็แค่สุนัขรับใช้ชั้นสูงสักนิดเท่านั้นเอง!” เผิงเวยจิ่นหัวเราะเยาะและกล่าวอย่างดูแคลนว่า “ฆ่าเจ้ากล่าวสำหรับบ้านตระกูลเผิงแล้ว ก็แค่บี้มดตายไปตัวหนึ่งเท่านั้น”
“วาจาสามหาวนัก!” เวลานี้สีหน้าของหวังหานเย็นชา กล่าวน่าเกรงขามว่า “เจ้าคิดว่าบ้านตระกูลเผิงของเจ้าสามารถปิดบังฟ้าด้วยฝ่ามือเดียวได้อย่างนั้นรึ?”
“ใช่แล้วจะทำไม?” เผิงเวยจิ่นกล่าวอย่างทระนงว่า “ต่อให้บ้านตระกูลเผิงพวกเราหาใช่ปิดบังฟ้าด้วยฝ่ามือเดียว จะจัดการฆ่าคนรับใช้ชั้นต่ำอย่างเจ้าให้ตาย ก็เป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก”
เพียะเสียงหนึ่งดังขึ้น เผิงเวยจิ่นพูดยังไม่ทันจบ หนึ่งฝ่ามือของหวังหานก็ฟาดเข้าไปให้ พลันทำให้เผิงเวยจิ่นลอยไปตามแรงตบ เลือดกบปากและกระอักเลือดออกมาอย่างแรง
“ข้าจะฆ่าเจ้า” เผิงเวยจิ่นคำรามเสียงดัง หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัว เมื่อถูกหวังหานตบไปหนึ่งฝ่ามือจนฟันร่วงไปหลายซี่ และวิ่งเข้าหาหวังหาน
แต่ทว่า เขายังบุกเข้าไปไม่ถึงตัวของหวังหาน ก็ต้องร่างแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น เนื่องจากในมือของหวังหานถือป้ายอาญาสิทธิ์กษัตริย์ยื่นขวางอยู่ตรงหน้าขชองเขา
เผิงเวยจิ่นพลันมีสีหน้าที่ขาวซีดเมื่อได้เห็นป้ายอาญาสิทธิ์กษัตริย์นี้แล้ว เนื่องจากเขารู้ว่าป้ายอาญาสิทธิ์กษัตริย์ดังกล่าวบ่งบอกถึงสิ่งใด นี่คือการเสด็จด้วยพระองค์เองของราชินีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
ตุบเสียงหนึ่งดังขึ้น เผิงเวยจิ่นเกิดเข่าอ่อนทั้งสองข้างสีหน้าขาวซีด พลันคุกเข่าลงกับพื้น พยายามโขกศีรษะและกล่าวว่า “พระนาง เป็น เป็น เป็นข้าน้อยที่โง่เขลา เป็นข้าน้อยที่โง่เขลา ล่วงเกินต่อพระนาง ขอพระนางทรงไว้ชีวิตด้วย”
ในเวลานี้ เผิงเวยจิ่นถูกทำให้ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง เขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ผู้ที่แต่งตัวเป็นคนรับใช้ถึงกับเป็นราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในปัจจุบัน!
แม้ว่าอำนาจของตระกูลเผิงจะมีอิทธิพลไม่ธรรมดา แต่ว่า การล่วงเกินต่อราชินีนั้นคือโทษตาย ต่อให้กองกำลังซั่งที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลังพวกเขาก็ไม่อาจปกป้องเขาได้
เวลานี้ สีหน้าของหวังหานเย็นยะเยือก เพียงมองหน้าเผิงเวยจิ่นที่ร้องขออภัยโทษด้วยท่าทีเย็นชาเท่านั้น
……………………………………