ย่อมไม่ต้องสงสัย ผู้เฒ่าผู้นี้ก็รู้สึกฉงนในตัวของหลี่ชิเย่ หรือบางทีอาจกล่าวว่าภายในใจของเขาก็ระแวดระวังในตัวของหลี่ชิเย่อยู่ จิตใต้สำนึกบอกเขาว่าผู้ที่มาย่อมไม่หวังดี
หลี่ชิเย่มองหน้าผู้เฒ่าแวบหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “เดินดูไปอย่างนั้นแหละ แผ่นดินอันงดงามไร้ขอบเขตของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ข้าอยากมาก็มา อยากไปก็ไป”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้ผู้เฒ่าถึงกับต้องหรี่ตาลงสองข้าง แววตาของเขาเต้นกระตุกทีหนึ่ง และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “คำพูดของสหายก็มีเหตุผล มิสู้สหายไปเยือนที่บ้านข้าจะเป็นไร จะได้ศึกษาสัจธรรมกันและกัน”
ผู้เฒ่าผู้นี้สรรหาคำพูดเสียดูเกรงใจมาก ใช้คำว่าศึกษา ความจริงคือต้องการรับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่ เพื่อต้องการทราบประวัติและกำลังของหลี่ชิเย่ เนื่องจากเขาดูไม่ออกถึงธาตุแท้ของหลี่ชิเย่ หวังอาศัยโอกาสขณะลงมือให้ทราบถึงชาติกำเนิดของหลี่ชิเย่
“ศึกษารึ?” หลี่ชิเย่มองหน้าผู้เฒ่าไปตามอารมณ์ทีหนึ่ง กล่าวเฉยเมยว่า “วิชา ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ที่เจ้าฝึกมาแม้จะไม่เลวนัก แต่เจ้าฝึกได้แย่มาก!”
‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ หยางเซิ่นผิงถึงกับผวาเมื่อได้ยินชื่อนี้ ร้องเสียงแหลมออกมา เมื่อได้สติจึงตระหนักว่าตนเองนั้นเสียมารยาท จึงรีบใช้มือปิดปากของตนเอาไว้
ในเวลานี้หยางเซิ่นผิงจ้องมองผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้าด้วยความตระหนก แม้ว่าเขาจะไม่รู้ว้าผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้ามีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ แต่ว่าเขากลับรู้จัก ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’!
เคล็ดกระบี่เทพกำแหง เป็นวิชากระบี่ที่ผู้เฒ่ากำแหง ปฐมบรรพบุรุษระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเป็นผู้สร้าง ถือเป็นหนึ่งในเคล็ดวิชากระบี่ที่แข็งแกร่งมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
ฟังว่าเคล็ดกระบี่เทพกำแหงนั้นฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งนัก ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด ผู้ที่มีสิทธิ์ได้ฝึก ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ นั้นมีอยู่ไม่มาก สามารถฝึกเคล็ดวิชากระบี่แขนงนี้ล้วนแล้วแต่ดำรงอยู่ในระดับบรรพบุรุษทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นระดับบรรพบุรุษของบรรพบุรุษอีกด้วย
ผู้ที่ดำรงอยู่ในระดับนี้เป็นผู้ที่หยางเซิ่นผิงไม่มีโอกาสได้สัมผัส และไม่มีสิทธิ์ได้พบเห็นอยู่แล้ว
ต่อให้หยางเซิ่นผิงไม่รู้ว่าประวัติความเป็นมาของผู้เฒ่าที่อยู่ตรงหน้า แต่สามารถฝึก‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ได้ ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าฐานะของผู้เฒ่าผู้นี้ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงสูงส่งยิ่งนัก ต้องเป็นบุคคลระดับบรรพบุรุษอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน เมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว หยางเซิ่นผิงต้องหัวเราะเจื่อนๆ ออกมา ความพาลของหลี่ชิเย่นั้นใช่จะเพิ่งเป็นมาวันสองวันนี้เอง
ไม่ว่าใครที่อยู่ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ตาม หากได้ยินคำว่า ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ก็ต้องตกใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อให้ไม่รู้ว่าประวัติความเป็นมาของฝ่ายตรงข้ามเป็นเช่นใด ก็ต้องรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามต้องเป็นระดับบรรพบุรุษที่ฐานะสูงส่งและมากด้วยอำจาน และต้องลุกขึ้นแสดงความเคารพด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสุดซึ้ง แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับพูดออกมาตรงๆ ว่า เคล็ดกระบี่เทพกำแหงของผู้เฒ่าแย่มาก
แต่ว่า เมื่อนึกอีกที หลี่ชิเย่อาจจะเป็นบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพ นึกถึงฐานะของเขาแล้ว ในใจของหยางเซิ่นผิงก็เป็นที่เข้าใจได้แล้ว
“เมื่อเป็นเช่นนี้ แสดงว่าท่านเชี่ยวชาญใน ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ แล้วสิ” เมื่อถูกหลี่ชิเย่พูดเสียไม่มีราคา ทำให้ผู้เฒ่าผู้นี้ก็ต้องมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ดวงตาทั้งสองดูเข้มขรึมและกล่าวเสียงทุ้มต่ำออกมา
แม้ว่าผู้เฒ่าเองหาใช่ประเภทไม่เห็นใครอยู่ในสายตา และหาใช่ผู้ที่หยิ่งยโสอย่างยิ่ง แต่ทว่าฝีมือด้าน ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ตัวเขาเข้าใจว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่มีผู้ใดสามารถแซงล้ำหน้าเขาไปได้ เว้นเสียแต่อาจารย์ของเขาซึ้งล่วงลับไปแล้ว
แต่ทว่า ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ที่เขาภูมิใจตัวเอง และถือดีมากที่สุด เมื่อออกจากปากของหลี่ชิเย่แล้วกลับไม่มีราคาค่างวดอะไรเลย ทั้งยังเป็นการไร้ค่าที่ออกมาจากปากของคนหนุ่มอย่างหลี่ชิเย่ ไม่ว่าจะมองดูอย่างไรก็ตาม เป็นไปไม่ได้ที่หลี่ชิเย่จะมีอายุมากไปกว่าเขา
ถูกคนหนุ่มคนหนึ่งวิพากษ์วิจารณ์ ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ซึ่งเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งและภาคภูมิใจที่สุด จะมากหรือน้อยย่อมทำให้ในใจของผู้เฒ่ารู้สึกไม่สบอารมณ์นัก
“คงไม่ถึงขั้นเชี่ยวชาญ และไม่ค่อยได้ไปฝึกปรือมากนักก็ฝึกสำเร็จแล้ว เทียบกับผู้เฒ่ากำแหงแล้วด้อยกว่าสามส่วน” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่พลันทำให้ผู้เฒ่าบังเกิดอารมณ์อยากจะกระอักเลือดออกมา เขาไม่กล้าบอกว่า ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ของเขานั้นคือหนึ่งเดียวในหล้า แต่ก็นับว่าเป็นเอกในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เวลานี้หลี่ชิเย่กลับบอกว่าแค่ฝึกไปอย่างนั้นเองก็สำเร็จแล้ว และด้อยกว่าปฐมบรรพบุรุษของพวกเขาแค่สามส่วนเท่านั้นเอง เขาฝึก ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ มาชั่วชีวิตกลับเทียบไม่ได้กับชายหนุ่มที่แค่ฝึกไปอย่างนั้นเอง ย่อมสามารถยั่วโมโหให้คนต้องกระอักเป็นเลือดออกมา
โชคยังดีที่ผู้เฒ่านับว่าเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมจิตมาอย่างดี เป็นคนใจกว้าง และเขาก็ไม่ถึงขนาดโกรธเป็นฟืนเป็นไฟกับคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ท่าทีหนักแน่นจริงจัง กล่าวขึ้นมาช้าๆ ว่า “ข้าฝึกปรือไม่ดีพอ ยังมีข้อบกพร่องอยู่มากทีเดียว ต้องขอให้ท่านลงมือเพื่อศึกษาชี้แนะบ้าง”
“ลงมือคงไม่ต้องแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “เกรงว่าเจ้าจะรับได้ไม่กี่กระบวนท่าหากข้าลงมือ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะต้องสูญเสียบรรพบุรุษเช่นเจ้าไปล่ะก็ เสียหายหนักมาก”
คำพูดที่เรียบเฉยของหลี่ชิเย่ ทำให้ผู้เฒ่าบังเกิดอารมณ์อยากจะกระอักเป็นเลือดออกมา ชั่วชีวิตของเขาเคยพานพบผู้ที่อวดดีมานับไม่ถ้วน ต่อให้อวดดีมากกว่านี้ก็เคยพบมาแล้ว
แต่ว่า อวดดีถึงระดับเช่นหลี่ชิเย่นั้นเขาไม่เคยพบเลยจริงๆ กระทั่งหลี่ชิเย่พูดจาสามหาวว่าเขาสามารถรับมือได้ไม่กี่กระบวนท่าเท่านั้น นี่เป็นการดูแคลนเขาชัดๆ! เขาไม่เชื่อว่ายังจะมีใครในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่ฝีมือเหนือกว่าเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าสามารถเอาชนะเขาได้ภายในไม่กี่กระบวนท่า
หยางเซิ่นผิงที่อยู่ข้างๆ ได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้าพูดแม้แต่คำเดียว การสนทนาของสองบรรพบุรุษ เขาในฐานะผู้เยาว์ไม่มีสิทธิ์ไปสอดแทรกได้อยู่แล้ว
“เจ้าเองไม่ต้องไม่ยอมรับ” ไอรีนโนเวล ขณะที่ผู้เฒ่าถูกยั่วโมโหจนรู้สึกอึดอัดอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้กล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “เคล็ดกระบี่เทพกำแหงยึดถือกำแหงแต่ไม่สับสน กำแหงแต่ไม่โกรธ กำแหงที่แท้จริงคือกำแหงแฝงไว้ซึ่งความพาล สยบด้วยกำลังและสยบด้วยคุณธรรม นี่แหละคือแก่นแท้ของเคล็ดกระบี่เทพกำแหง วิชากระบี่ของเจ้าแม้จะมีความบ้าคลั่ง แต่กลิ่นอายความบ้าคลั่งนั้นได้ปรากฏความสับสน เคล็ดกระบี่เทพกำแหงเช่นนี้เท่ากับเรียนรู้เพียงผิวเผินเท่านั้นเอง ยังห่างไกลจากแก่นแท้ เจ้ายังจะต้องก้าวเดินอีกไกลมากบนเส้นทางสายนี้”
หลี่ชิเย่พูดเจื้อยแจ้วออกมาเหมือนดังพูดถึงสมบัติภายในบ้านของตน ที่สำคัญมากกว่านั้นก็คือทุกๆ ตัวอักษรดั่งบทกวีที่งดงาม
ผู้เฒ่าถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าวเมื่อได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้ว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปมากและรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง จ้องมองหลี่ชิเย่คล้ายดั่งเห็นผีอย่างนั้น
เนื่องจากไม่มีผู้ใดแข็งแกร่งมากไปกว่าเขาอีกแล้วในด้าน ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่มีผู้ใดบรรลุถึงแก่นแท้ของเคล็ดกระบี่เทพกำแหงมากไปกว่าเขาอีกแล้ว
แต่ว่า คำพูดของหลี่ชิเย่กลับพูดได้ตรงประเด็น เป็นการพูดถึงจุดบกพร่องเคล็ดกระบี่เทพกำแหงได้ถูกต้อง และพูดถึงความไม่ครบถ้วนของเคล็ดวิชากระบี่แขนงนี้ของเขา
ผู้ที่สามารถทำได้ถึงระดับนี้ได้ ใช่ว่าสามารถแสแสร้งแกล้งทำได้ จะต้องบรรลุถึงเคล็ดกระบี่เทพกำแหงอย่างลึกซึ้ง กระทั่งกล่าวได้ว่าสามารถกุมเคล็ดกระบี่เทพกำแหงเอาไว้ได้ทั้งหมด!
แต่ทว่าผู้เฒ่าเชื่อว่า ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่มีใครสามารถเข้าใจถึงเคล็ดกระบี่เทพกำแหงมากกว่าเขาอีกแล้ว ไม่มีใครสามารถฝึกเคล็ดกระบี่เทพกำแหงได้ถึงแก่นแท้มากกว่าเขาอีกแล้ว ที่น่ากลัวก็คือ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้ากลับสามารถทำได้แล้ว
ผู้เฒ่ามีท่าทีเหมือนเห็นผีขนาดจ้องมองหลี่ชิเย่ เขาไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่ปรากฏตัวออกมากะทันหันผู้นี้คือใครกันแน่ ถึงกับเข้าใจในเคล็ดกระบี่เทพกำแหงได้ขนาดนี้ และสามารถกุมเคล็ดกระบี่เทพกำแหงได้ถึงแก่นมากขนาดนี้ มันเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเลยจริงๆ
ไม่ง่ายนักกว่าผู้เฒ่าจะได้สติคืนกลับมา เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง โค้งคำนับต่อหลี่ชิเย่ และแสดงคารวะแบบจีนพร้อมกับกล่าวว่า “ไม่ทราบว่าท่านเป็นผู้ใดมาจากที่ใด ขอได้โปรดชี้แนะด้วย”
หลี่ชิเย่มองหน้าผู้เฒ่าแวบหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยว่า “ต้องการรู้ว่าข้าเป็นใคร ไปเฝ้าข้าที่พระราชวังก็แล้วกัน”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำเอาผู้เฒ่าถึงกับตะลึงงัน เขาเชื่อว่าไม่มีผู้ใดในพระราชวังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกล้าพูดอย่างนี้กับเขา ต่อให้เป็นระดับบรรพบุรุษอื่นๆ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ต้องเคารพนอบน้อมอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องเข้าเฝ้าแล้ว
แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับให้เขาไปเข้าเฝ้าที่พระราชวัง พลันสร้างความอึดอัดภายในใจกับกับผู้เฒ่าเป็นยิ่งนัก ชายหนุ่มผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรแน่ ถึงได้ถือดีขนาดนี้
จังหวะที่ผู้เฒ่ากำลังรู้สึกอึดอัดในใจอยู่นั้น บริเวณด้านทิศใต้ที่ไกลโพ้นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพลันปรากฎประกายโลหิตที่แวบผ่านไปกะทันหัน
อาจกล่าวได้ว่า สถานที่ตรงนั้นห่างไกลจากลานหลวงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเป็นระยะทางที่ไกลมาก อย่าว่าแต่บุคคลทั่วไปเลย ต่อให้เป็นยอดฝีมือที่กล้าแข็งมากก็ไม่สามารถรู้สึกได้
แต่ทว่า จังหวะที่สถานที่แห่งนั้นพลันปรากฏประกายโลหิตที่แวบผ่านไปกะทันหันนั้น หลี่ชิเย่พลันหันหลังกลับไป แววตาส่งประกายเยือกเย็นออกมา มองไปทางด้านทิศใต้
ขณะที่หลี่ชิเย่หันหลังกลับจ้องมองไปยังทิศใต้นั้น ผู้เฒ่าก็รับรู้ได้ในฉับพลันเหมือนกัน และรีบเร่งมองไปทางทิศใต้เช่นกัน
พริบตาเดียวนี่เองผู้เฒ่าก็เข้าใจได้ในทันทีว่า ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้มีแต่แข็งแกร่งไม่มีด้อยกว่าเขา เนื่องจากหลี่ชิเย่ว่องไวและเฉียบแหลมมากกว่าเขาเสียอีก ซึ่งความว่องไวเฉียบแหลมเช่นนี้จะต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความแข็งแกร่งยิ่งของกำลังความสามารถ
แต่ว่า เวลานี้ผู้เฒ่าไม่มีกระจิตกระใจไปคิดถึงเรื่องนี้อีก ดวงตาทั้งสองดูเข้มขรึม พลันจ้องเขม็งไปทางด้านทิศใต้
“น่าสนใจ” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ และยิ้มเฉยเมยขณะมองไปทางด้านทิศใต้
ขณะที่ดวงตาทั้งสองของผู้เฒ่าปรากฏปณิธานการฆ่าที่เต้นกระตุก ส่งเสียงฮึออกมาเย็นชา กล่าวน่าเกรงขามออกมาว่า “ผู้ยิ่งใหญ่แม้ตายแล้วแต่ก็ยังมีอิทธิพลอยู่ ฮึ ดูท่ายังมีคนที่ยังไม่ยอมเลิกรา!”
ครั้นผู้เฒ่าเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง แสดงคารวะแบบจีนต่อหลี่ชิเย่ และกล่าวว่า “หากมีเวลาว่าง จะต้องเข้าคารวะที่พระราชวังแน่นอน เวลานี้มีเรื่องเล็กน้อยติดพัน ขออำลาก่อนชั่วคราว” ขณะนี้คำพูดของผู้เฒ่าดูจะให้ความเคารพอยู่ไม่น้อย
หลังจากกล่าวขาดคำ ผู้เฒ่าผู้นี้ได้จากไปค่อนข้างจะเร่งรีบในทันที เหมือนว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไรอย่างนั้น
แน่นอนที่สุด ความเปลี่ยนแปลงเช่นนี้หาใช่ระดับหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งที่เป็นผู้เยาว์เช่นนี้สามารถรับรู้ได้อยู่แล้ว
“ไป ไปด้านทิศใต้” หลังจากที่ผู้เฒ่าจากไปแล้ว หลี่ชิเย่ลงจากเขาทันทีและสั่งการกับหยางเซิ่นผิง
หยางเซิ่นผิงปฏิบัติตาม และควบรถม้าให้กับหลี่ชิเย่ทันที เขาได้เอ่ยถามขึ้นว่า “คุณชาย พวกเราจะไปที่ไหนกัน?”
“เขาฟันหลอ!” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“เขาฟันหลอ” เมื่อหยางเซิ่นผิงได้ยินคำพูดนี้แล้วถึงกับตกใจอย่างยิ่ง กล่าวด้วยความตระหนกว่า “เขาฟันหลอห่างไกลจากลานหลวงมากทีเดียว พวกเราจากไปเช่นนี้ ควรบอกกล่าวต่อพระนางก่อนหรือไม่”
“ไม่ต้องแล้ว” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และกล่าวว่า “เกรงว่าเวลานี้นางก็ยุ่งจนหัวปั่นแล้วล่ะ คอยดูก็แล้วกัน จะเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
เมื่อหยางเซิ่นผิงได้ฟังคำจากหลี่ชิเย่แล้วจึงไม่พูดอะไรอีกต่อไป แต่ว่าคำพูดลักษณะเช่นนี้กลับทำให้ภายในใจของหยางเซิ่นผิงรู้สึกกังวล แม้ว่าเขาหาใช่เป็นผู้มองการณ์ไกลอะไรนัก แต่นาทีนี้เขาเสมือนหนึ่งได้กลิ่นอายของพายุฝนฟ้าคะนองที่มาถึงแล้ว
“จะเปลี่ยนแผ่นดินแล้วรึ?” หยางเซิ่นผิงพึมพำออกมาด้วยความกังวลในใจ
“เปลี่ยนแผ่นดินรึ เกรงว่าคงไม่ง่ายดายขนาดนั้น” หลี่ชิเย่กล่าวช้าๆ ขึ้นมาว่า “เกรงว่าจะน่ากลัวยิ่งกว่าเปลี่ยนแผ่นดินเสียอีก”
คำพูดลักษณะเช่นนี้พลันทำให้สีหน้าของหยางเซิ่นผิงเปลี่ยนไปมากทีเดียว จึงรีบควบคุมรถม้าให้วิ่งฮ้อไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
……………………………………………