ฉู่ชิงหลินเริ่มต้นการฝึกด้วยเคล็ดพลังภายในที่แข็งแกร่งและลึกซึ้งพิสดารที่สุดของราชันแท้จริงฉู่ขวาง ขณะที่ฉู่ชิงหลินก็ไม่ทำให้บรรดาบรรพบุรุษของค่ายฉู่ต้องผิดหวัง พรสวรรค์ของนางนับว่าสูงเด่นและกล้าแข็งโดยแท้จริง ด้วยอายุยังเยาว์วัยมากทักษะของนางก็ก้าวล้ำแซงหน้าผู้ที่อยู่ในวัยเดียวกันแล้ว กลายเป็นอันดับหนึ่งของศิษย์ที่อยู่ในรุ่นเดียวกัน
สิ่งนี้ไม่อาจกล่าวว่าเป็นการมองใกล้ของบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของค่ายฉู่ ความจริงแล้ว ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากก็ทำเช่นนี้ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ยินดีเริ่มต้นการฝึกด้วยเคล็ดวิชาขั้นพื้นฐานที่สุด จะอย่างไรเสียจะมีใครบ้างที่ยินดีถอดทองหรือหยกเอาไว้แล้วไปขนก้อนอิฐกันเล่า ผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่มีกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเพียงใด และจะต้องได้รับการตัดสินใจจากผู้อาวุโสที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์มองการณ์ไกลที่สูงมาก
เสมือนดั่งภูเขาลูกหนึ่งที่เต็มไปด้วยสินแร่ เกรงว่าผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่รู้ว่าภูเขาลูกนี้มีความเป็นไปได้ที่จะขุดพบทองคำปริมาณมหาศาล แต่ว่า กล่าวสำหรับผู้คนจำนวนมากแล้ว การไปขุดหาสินแร่จากภูเขาลูกนี้มิสู้เก็บเอาก้อนอิฐทองคำที่อยู่บนพื้นน่าจะเป็นรูปธรรมมากกว่า
ซึ่งก็เหมือนดั่งฉู่ชิงหลินอย่างนั้น แรกเริ่มเดิมทีบรรดาเหล่าบรรพบุรุษของค่ายฉู่ก็ให้เก็บอิฐทองคำที่อยู่บนพื้นก่อน ให้ฉู่ชิงหลินเริ่มต้นการฝึกด้วยเคล็ดวิชาที่กล้าแข็งและลึกซึ้งพิสดารที่สุดของราชันแท้จริงฉู่ขวาง
แต่ทว่า หลังจากก้าวไปได้ระดับหนึ่งแล้ว เมื่อกำลังของฉู่ชิงหลินกล้าแข็งขึ้นแล้ว บรรดาเหล่าบรรพบุรุษของค่ายฉู่ก็ตั้งความหวังกับนางสุงขึ้นไปอีก คราวนี้จึงคิดที่จะไปขุดภูเขาที่มีสินแร่นั่น!
จะอย่างไรเสีย ที่สุดแล้วราชันแท้จริงฉู่ขวางก็แค่ราชันแท้จริงเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับปฐมบรรพบุรุษแล้วยังคงมีช่วงห่างอยู่ไม่น้อยทีเดียว!
ดังนั้น บรรดาบรรพบุรุษของค่ายฉู่ก็คาดหวังให้ฉู่ชิงหลินซึ่งก้าวเดินจากเส้นทางของราชันแท้จริงฉู่ขวางให้ข้ามไปยังเส้นทางของผู้เฒ่ากำแหง ซึ่งความจริงแล้ว อาศัยพรสวรรค์ และความสามารถในการบรรลุแต่ละด้านของฉู่ชิงหลินแล้ว ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด
จะอย่างไรเสีย สัจธรรมของราชันแท้จริงฉู่ขวางก็วิวัฒนาการมาจากสัจธรรมของผู้เฒ่ากำแหง ซึ่งมันเป็นสัจธรรมที่สามารถเข้ากันได้อย่างสิ้นเชิง เปรียบประดุจน้ำในแม่น้ำที่ไหลลงสู่ทะเลอย่างนั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่สำเร็จได้เมื่อเงื่อนไขพร้อมสรรพอยู่แล้ว
แต่ปัญหาบังเกิดขึ้นตรงที่จังหวะฉู่ชิงหลินก้าวข้ามจากสัจธรรมของราชันแท้จริงฉู่ขวางไปยังสัจธรรมของผู้เฒ่ากำแหงนั้น ซึ่งรอยเชื่อมต่อระหว่างกันใช่จะราบลื่นยิ่งนัก จะอย่างไรเสียโลกนี้ย่อมไม่มีสิ่งใดที่สมบูรณ์แบบทุกประการ
ถ้าหากว่าฉู่ชิงหลินเพียงแค่ต้องการกลายเป็นระดับเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งสุดเปรียบเปรยล่ะก็ เรื่องนี้เกรงว่าคงไม่ใช่ปัญหา แต่หากต้องการกลายเป็นสุดยอดราชันแท้จริง หรือกระทั่งก้าวไปยังเส้นทางสูงสุดสู่ระดับปฐมบรรพบุรุษ เส้นทางนี้ดูจะยากเข็ญไม่น้อยทีเดียว บนเส้นทางสายนี้หากแม้เกิดปัญหาเพียงน้อยนิด ก็อาจทำให้ล้มทั้งกระดานได้
การทีฉู่ชิงหลินประสบกับปัญหาลักษณะเช่นนี้ น้อยคนเท่านั้นที่รับรู้ถึงเรื่องนี้ นอกจากตัวเขาเองแล้วก็มีเพียงระดับบรรพบุรุษที่มีตำแหน่งสูงสุดเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รับรู้ เวลานี้กลับถูกหลี่ชิเย่พูดได้ถูกต้องทันที แล้วจะไม่ให้ฉู่ชิงหลินต้องตกใจได้อย่างไร
“เจ้า เจ้าไปรู้เรื่องนี้มาได้อย่างไร!” เวลานี้ฉู่ชิงหลินถึงกับตกใจอย่างยิ่ง จ้องมองหลี่ชิเย่อย่างไม่น่าเชื่อ
หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวว่า “ในสายตาของข้าไม่มีอะไรที่เป็นความลับ แค่มองก็รู้ได้ทันที การเชื่อมต่อของสัจธรรมไหนเลยจะสมบูรณ์แบบได้ ปัญหาของเจ้าไม่นับว่ามากแต่ก็ไม่น้อย จำเป็นต้องได้รับการบำรุง จำเป็นต้องมีการหล่อเลี้ยง! มีเพียงวิธีบำรุงและหล่อเลี้ยงจึงสามารถทำให้บาดแผลเล็กน้อยในสัจธรรมของเจ้าหายเป็นปรกติได้ ดังนั้น เจ้าจึงต้องการโสมโลหิต ยิ่งโสมโลหิตพันล้านปีด้วยยิ่งดี! นี่แหละคือเป้าหมายที่เจ้ามาที่เขาฟันหลอ!”
ฉู่ชิงหลินถึงกับผวาในใจเมื่อได้ฟังคำของหลี่ชิเย่แล้ว ทันใดนั้นนางรู้สึกว่าตนเองไม่มีความลับอะไรเลยเมื่อยืนอยู่ต่อหน้าของหลี่ชิเย่ ภายใต้สายตาของหลี่ชิเย่โดยทั่วไปแล้วนางไม่มีสิ่งใดสามารถปิดบังดวงตาทั้งสองของหลี่ชิเย่ไปได้ ทำให้นางถึงกับขนลุกขนพองขึ้น และก้าวถอยหลังไปหลายก้าวด้วยจิตสำนึก
“ทุกคนที่มายังเขาฟันหลอมีใครบ้างไม่ได้มาเพื่อโสมโลหิต!” ฉู่ชิงหลินส่งเสียงฮึออกมาเบาๆ ขณะที่พูดคำๆ นี้ออกมานางเองก็รู้สึกไม่มั่นใจนัก เหมือนจะยิ่งปิดบังยิ่งเด่นชัดมากขึ้นอย่างนั้น
หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะขึ้นมา พยักหน้าและกล่าวว่า “ถูกต้อง ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด ระดับผู้อาวุโสของสำนักต่างๆ และศิษย์ตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อยที่มายังเขาฟันหลอด้วยเรื่องของโสมโลหิตที่ปรากฏนั้นเป็นความจริง เจ้าเองก็มาด้วยเรื่องของโสมโลหิต เพียงแต่ความต้องการของเจ้าที่มีต่อโสมโลหิตแตกต่างจากพวกเขา แต่ว่า ก็มีบางคนไม่ได้มาด้วยเรื่องของโสมโลหิต หาไม่แล้วเพราะอะไรกองกำลังซั่ง หอศักดิ์สิทธิ์ ค่ายฉู่อะไรของพวกเจ้าถึงได้ยกกองทัพมาถึงเขาฟันหลอกัน เพื่อโสมโลหิตต้นหนึ่งแล้วจำเป็นต้องทำขนาดนี้ด้วยรึ?”
“ไม่ได้มาเพื่อโสมโลหิต?” หยางเซิ่นผิงที่ยืนนิ่งอยู่ด้านหลังไม่กล้าพูดอะไรถึงกับตื่นตระหนกยิ่งเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว
แม้จะกล่าวว่า ก่อนหน้านั้นเขาเองก็รู้สึกว่าบรรยากาศไม่ค่อยจะถูกต้องนัก จะอย่างไรเสียเพื่อโสมโลหิตต้นหนึ่งแล้วถึงกับต้องนำเอากองทัพมากันอย่างนี้เลยรึ? มันเหมือนต้องการเปิดศึกกันชัดๆ เหมือนว่าทุกคนต่างกำลังระมัดระวังตัวอะไรบางอย่าง
ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังซั่ง หรือว่าหอศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม เหมือนว่าพวกเขาต่างก็นำเอากำลังทหารเป็นจำนวนมากมาตั้งปักหลักอยู่ที่ตรงนี้ อีกทั้งล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังส่วนตัวของพวกเขาเอง ทหารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มาจากศิษย์ในสำนักของพวกเขาเอง เป็นผู้จงรักภักดีต่อสำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณของพวกเขา และสามารถสั่งการได้อย่างสิ้นเชิง!
เรียกได้ว่า กองกำลังซั่งก็ดี หอศักดิ์สิทธิ์ก็ช่าง หากกองกำลังใดๆ ที่พวกเขาไม่มั่นใจ ก็จะไม่ถูกเกณฑ์มาตั้งค่ายอยู่ที่เขาฟันหลอ กองทัพที่สามารถยกมาตั้งค่ายที่เขาฟันหลอได้ล้วนแล้วแต่เป็นกองทัพที่ไว้ใจได้เต็มร้อยทั้งสิ้น!
พฤติกรรมเช่นนี้กล่าวได้ว่ามีกลิ่นของศึกสงครามแฝงอยู่อย่างแท้จริง กองทัพเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นกองกำลังที่กล้าแข็งของพวกเขา ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่จงรักภักดีต่อพวกเขาอย่างแน่นอน! เหมือนว่าพวกจิ้งจอกเงินกำลังวางแผนเพื่อให้ได้มาซึ่งบางอย่างจากเขาฟันหลออย่างนั้น
“เจ้ามาด้วยเรื่องของโสมโลหิต แต่ทว่า กองกำลังซั่ง หอศักดิ์สิทธิ์พวกเขาไม่ได้มาด้วยเรื่องของโสมโลหิต” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมยและกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ถ้าหากข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ พวกเขามาเพื่ออาวุธของผู้เฒ่ากำแหงาชิ้นหนึ่ง!”
“ศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษ!” หยางเซิ่นผิงถึงกับใจหายใจคว่ำ รู้สึกหวาดผวาในใจเมื่อได้ฟังคำของหลี่ชิเย่
เป็นความจริงที่ศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษคืออาวุธที่สร้างความหวั่นไหวต่อจิตใจของผู้คนโดยแท้ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเคยให้กำเนิดราชันแท้จริงมาหลายองค์ อีกทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็มีอาวุธราชันแท้จริงอยู่จำนวนไม่น้อย เฉกเช่นค่ายฉู่พวกเขาก็มีอาวุธที่ราชันแท้จริงฉู่ขวางทิ้งเอาไว้
สำหรับเรื่องของศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษนั้นหยางผิงก็ไม่อาจรู้ได้ เนื่องจากระยะเวลายาวนานเกินไป หลายๆ เรื่องเป็นสิ่งที่หยางเซิ่นผิงผู้มีบทบาทเล็กๆ เช่นนี้ไม่สามารถสัมผัสได้ หยางเซิ่นผิงเองก็ไม่ชัดเจนนักว่าผู้เฒ่ากำแหงได้ทิ้งอาวุธราชันแท้จริงเอาไว้จริงหรือไม่ แต่ว่าเขาเคยได้ยินคำเล่าลือมาบ้างว่า มีความเป็นไปได้ที่ผู้เฒ่ากำแหงได้ทิ้งอาวุธเอาไว้ชิ้นหนึ่ง ส่วนที่ว่าคำเล่าลือดังกล่าวจริงเท็จอย่างไรนั้น หยางเซิ่นผิงเองก็ไม่รู้ ต่อให้มีการทิ้งศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษเอาไว้จริง เขาเองก็ไม่มีสิทธิ์ได้สัมผัสกับเรื่องนี้
“พูดอะไรไปโดยปราศจากหลักฐาน!” คำพูดของหลี่ชิเย่ทำให้ฉู่ชิงหลินต้องส่งเสียงฮึปฏิเสธออกมา
ป้าบบ…เสียงหนึ่งดังขึ้น เวลานี้ฝ่ามือของหลี่ชิเย่ได้ตบไปที่บริเวณก้นของฉู่ชิงหลินเข้าให้อย่างแรง และกล่าวว่า “นังหนู พูดโกหกต่อหน้าข้าใช่จะเป็นเรื่องดี”
“เจ้า…” ฉู่ชิงหลินร้องเสียงหลงกระโดดตัวลอยเหมือนแมวถูกเหยียบหางอย่างนั้น ใบหน้าแดงก่ำ จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ โมโหจนต้องกัดฟันกรอด
“เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากคราวหน้าโกหกข้าอีกล่ะก็ ข้าจะจับเจ้าแก้ผ้าจนล่อนจ้อนแล้วโยนลงกลางถนน” หลี่ชิเย่พูดเอ้อระเหยขึ้นมาช้าๆ
“เจ้า…” ฉู่ชิงหลินถูกยั่วโมโหจนแทบกระอักเป็นเลือด ใบหน้าแดงก่ำ มีใครบ้างที่กล้าพูดจาเช่นนี้กับนาง แต่ทว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้ากลับพูดออกมาได้เต็มปากเต็มคำ พูดออกมาดูเป็นธรรมชาติไม่สะทกสะท้าน
“ที่ข้าพูดเป็นเรื่องจริง” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยเหมือนมองไม่เห็นฉู่ชิงหลินที่กำลังโกรธ กล่าวเฉยเมยว่า “เป็นความจริงที่ผู้เฒ่ากำแหงได้ทิ้งอาวุธที่ฝืนลิขิตสวรรค์ยิ่งชิ้นหนึ่งเอาไว เสียดาย ภายหลังพวกเจ้าได้ทำมันสูญหายไป ส่วนจะทำหายได้อย่างไรนั้นข้าจะไม่ไปพูดถึง แต่ว่า อาวุธชิ้นนี้ยังคงอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงและอยู่ที่เขาฟันหลอนี่แหละ ดังนั้น มาคราวนี้ไม่ใช่เพียงโสมโลหิตปรากฎเท่านั้น!”
ฉู่ชิงหลินทั้งตระหนกระคนสงสัยไม่อาจทำให้จิตสงบลงได้เมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่ชิเย่ เรื่องนี้มีผู้ที่รับรู้อยู่ไม่มาก อย่างน้อยเวลานี้เป็นเช่นนี้ ผู้ที่สามารถรับรู้เรื่องนี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่มีฐานะ และตำแหน่งที่สูงมากในหอศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังซั่ง ค่ายฉู่ และจวนหวังที่เป็นสี่ขั้วอำนาจใหญ่เหล่านี้
แต่ว่า หลี่ชิเย่กลับรู้เรื่องนี้อย่างละเอียด ดังนั้นเวลานี้ฉู่ชิงหลินที่ตระหนกระคนสงสัยไม่อาจทำให้จิตสงบลง ได้จ้องมองไปที่หลี่ชิเย่และกล่าวว่า “เป็นราชินีที่บอกต่อท่านรึ?”
เรื่องนี้หวังหานน่าจะรู้ บางทีอาจมีเป็นหวังหานที่เล่าเรื่องนี้ให้กับหลี่ชิเย่
“เกรงว่าขณะที่ข้ารู้เรื่องนี้ พวกเจ้ายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้นที่เขาฟันหลอ” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา
หลี่ชิเย่ได้สืบทอดความทรงจำทั้งหมดของตาเฒ่า ได้กุมกฎเกณฑ์ทุกสิ่งทุกอย่างของตาเฒ่าเอาไว้ ยังจะมีสิ่งใดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงสามารถรอดพ้นจากดวงตาทั้งสองของเขาไปได้รึ?
เรื่องอย่างนี้ไหนเลยต้องให้หวังหานเป็นผู้เล่าให้เขาฟังเล่า? ขณะที่หลี่ชิเย่รู้เรื่องนี้คนอื่นยังไม่รู้เลย
ส่วนหยางเซิ่นผิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ถูกข่าวนี้ทำให้หวั่นไหวไปโดยสิ้นเชิง เล่าลือกันว่าเป็นความจริงที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทำศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษหายไปชิ้นหนึ่ง ไม่นึกเลยว่าคำเล่าลือนี้จะเป็นจริง ที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวยิ่งกว่าก็คือ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถึงกับทำให้ศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษชิ้นนี้สูญหายไป อีกทั้งศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษชิ้นนี้เวลานี้ก็อยู่ในเขาฟันหลอนั่นเอง
ศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษนะเนี่ย มันคือสิ่งที่สร้างความสะเทือนจิตใจผู้คนได้อย่างแน่นอน ถ้าหากใครรู้เรื่องนี้เข้า มันคือสิ่งที่ทำให้ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต้องคลั่งไคล้กับมันแน่นอน และเวลานี้มันอยู่ในเขาฟันหลอนั่นเอง นาทีนี้หยางเซิ่นผิงเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วว่า เพราะอะไรพวกหอศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังซั่งพวกเขาถึงได้นำกองทัพมาปักหลักอยู่ที่ตรงนี้
นี่เป็นสัญญาณจะเปลี่ยนแปลงครั้งมโหฬารนะเนี่ย เกรงว่าคงจะมีการฆ่าฟันกันจนฟ้าถล่มดินทลายเมื่อศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษปรากฎ เกรงว่าทั่วบริเวณเขาฟันหลอจะต้องกลายเป็นสมรภูมิรบที่น่ากลัวที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดก็ตาม ก็ต้องแย่งชิงกันจนหัวร้างข้างแตกไปตามๆ กัน
ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังซั่ง หรือหอศักดิ์สิทธิ์ และหรือค่ายฉู่ เกรงว่าขอเพียงมีสำนักใดสำนักหนึ่งได้ศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษชิ้นนี้มา ก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทั้งหมด การจะเข้าไปกุมอำนาจในลานหลวงเกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด!
เวลานี้ ภายในใจของหยางเซิ่นผิงก็รู้สึกขนลุกซู่ขึ้นมา หอศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังซั่ง ค่ายฉู่ต่างก็มากันแล้ว เวลานี้ขาดแต่เพียงจวนหวังเท่านั้น ไม่รู้ว่าหวังหานในฐานะราชินีจะได้ครอบครองอำนาจใหญ่ของจวนหวังได้อีกครั้งหรือไม่ ถ้าหากหวังหานเสียท่า สถานการณ์ก็จะเลวร้ายมาก
แม้แต่ฉู่ชิงหลินก็จ้องมองหลี่ชิเย่ด้วยความตกใจยิ่ง สิ่งที่นางตกใจหาใช่ศาสตราวุธปฐมบรรพบุรุษ แต่เป็นเพราะหลี่ชิเย่กุมทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในมือ เหมือนว่าไม่มีสิ่งใดสามารถรอดพ้นไปจากสายตาของเขาได้อย่างนั้น เหมือนว่าทุกอย่างล้วนแล้วแต่อยู่ในความควบคุมของเขาอย่างนั้น
มองดูท่าทีของหลี่ชิเย่ที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม ทันใดนั้นเอง ฉู่ชิงหลินถึงกับเกิดมโนภาพว่าทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล้วนแล้วแต่อยู่ในกำมือของเขาอย่างนั้น เขาคือผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแห่งนี้