ในครั้งนั้น หลังจากที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้สังหารเทพแท้จริงเทียนเต๋อแล้ว ก็ได้สังหารศิษย์ที่ฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ไปจำนวนไม่น้อย เพื่อเป็นการกำจัดศิษย์ทรยศของสำนัก จะอย่างไรเสียในเวลานี้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจำเป็นต้องเอาตัวรอด มิฉะนั้นล่ะก็ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต้องถูกทำลายทิ้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่ช้าหรือเร็วเท่านั้น
ภายใต้การร่วมมือร่วมใจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทุกระดับ ในที่สุดก็สามารถรักษาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิโดยรวมได้ สลายวิกฤตในครั้งนี้ลงได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา เคล็ดวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ แขนงนี้ถูกเผาทำลายทิ้ง ขณะเดียวกัน ทางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้มีคำสั่งเด็ดขาด ห้ามศิษย์ใดๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงฝึกเคล็ดวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ อย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นแล้วจะถูกลงโทษสถานหนัก จากนั้นเป็นต้นมา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ กลายเป็นเคล็ดวิชาต้องห้ามของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไป ไม่มีศิษย์คนใดกล้าเอ่ยถึงเคล็ดวิชานี้อีก ยิ่งไม่กล้าไปฝึกเคล็ดวิชาแขนงนี้
เนื่องด้วยเหตุการณ์ความวุ่นวายนี้เอง ทำให้ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงตกอยู่ในอันตราย ภายใต้การร่วมมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมาก ทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเกือบถูกทำลาย เนื่องจากในครั้งนั้น บรรดาระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจำนวนมากได้บุกโจมตีจนถึงด้านนอกของลานหลวงแล้ว
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทุ่มเทกำลังกายใจไปมากมาย ท้ายที่สุดจึงสามารถคลี่คลายวิกฤตในครั้งนั้นได้ จากนั้นเป็นต้นมา ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทำการปิดประตูเข้าออกของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด ซึ่งไม่เพียงเป็นการไม่อนุญาตให้ศิษย์คนหนึ่งคนใดภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิออกไปจากพื้นที่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเท่านั้น ขณะเดียวกันยังเป็นการตัดขาดการไปมาหาสู่ระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งหมดที่อยู่ในแดนลัทธิพรรษ
การที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทำเช่นนี้ ข้อแรก เป็นการป้องกันยังมีศิษย์ที่ฝึก‘มารคลั่งดูดเลือด’ มาแอบลักลอบหนีออกไปก่อกรรมทำเข็ญข้างนอก ทำร้ายผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่น หรือมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เพราะหากเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นมาอีก จะกระทบกระเทือนต่อชื่อเสียงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างยิ่งทีเดียว!
ข้อสอง สืบเนื่องจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ในแดนลัทธิพรรษได้ผ่านเหตุการณ์ความวุ่นวายในครั้งนี้แล้ว มีความไม่พอใจอย่างยิ่งต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้ว กระทั่งมีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ จำนวนไม่น้อยคิดจะนำระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาแบ่งสันปันส่วนกัน ดังนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจึงถือโอกาสในครั้งนี้ทำการปิดกั้นประตูเข้าออกทั้งหมด ตัดขาดจากการไปมาหาสู่ระหว่างระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิในแดนลัทธิพรรษทั้งหมด ซึ่งถือเป็นระบบป้องกันอย่างหนึ่ง ป้องกันไม่ให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ ในแดนลัทธิพรรษบุกโจมตีเข้ามายังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้!
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองยังได้ถือโอกาสที่มีการปิดสำนักในครั้งนี้ ให้ลูกหลานได้พักและฟื้นฟูกำลังขึ้นมาใหม่ รอการกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในวันข้างหน้า
สำหรับเรื่องราวที่ผ่านมาช่วงนั้นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง โดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับเทพแท้จริงเทียนเต๋อ ผู้คนจำนวนมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต่างไม่ต้องการที่จะเอ่ยถึง ดังนั้น มาวันนี้เมื่อมีการเอ่ยถึงเรื่องราวในช่วงนั้น หยางเซิ่นผิงถึงกับทอดถอนใจออกมาเบาๆ รู้สึกกลัดกลุ้มในใจอยู่บ้าง
“เทพแท้จริงเทียนเต๋อถูกประหารที่นี่รึ?” หลังจากที่จูซือจิ้งได้ฟังคำจากหยางเซิ่นผิงแล้ว จึงเอ่ยถามขึ้นมาเบาๆ
“ถูกต้อง” หยางเซิ่นผิงกล่าว และในเวลานี้เองเขาจึงได้นึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง และกล่าวว่า “ตามตำนานเล่าว่า ครั้งนั้นเทพแท้จริงเทียนเต๋อถูกบรรพบุรุษจ้านเทียนประหารที่นี่ ขณะที่มีการประหารเขารู้สึกไม่เต็มใจอย่างยิ่ง ร้องคำรามเสียงดังด้วยความโกรธไม่หยุด และเคยประกาศว่า สักวันหนึ่งเขาจะกลับมาอีกครั้ง”
เมื่อเขาได้กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว ถึงกับจ้องมองจูซือจิ้งอีกครั้งหนึ่ง แรกทีเดียวขณะที่จูซือจิ้งบอกว่าได้ยินเสียงคนร้องคำรามด้วยความโกรธเขายังไม่อยากจะเชื่อ เข้าใจว่าจูซือจิ้งนั้นฟังผิดไป
เวลานี้เมื่อมานึกๆ ดูอย่างละเอียดแล้ว หรือบางทีอาจเป็นไปได้ว่ามันก็คือเสียงคำรามด้วยความโกรธของเทพแท้จริงเทียนเต๋อที่ไม่เต็มใจก่อนตาย เมื่อนึกถึงตรงนี้แล้ว หยางเซิ่นผิงถึงกับรู้สึกประทับใจยิ่ง เนื่องจากในอดีตเขาไม่เข้าใจว่าเผ่าสาปแช่งกับเผ่าพันธุ์อื่นๆ มีข้อแตกต่างกันตรงไหน เวลานี้ดูไปแล้ว เป็นความจริงที่เผ่าสาปแช่งมีพรสวรรค์ที่เผ่าพันธุ์อื่นๆ ไม่มี มิน่าเล่า หลี่ชิเย่จึงได้ให้จูซือจิ้งมารั้งอยู่ข้างกายของเขา
เวลานี้ดูไปแล้วหลี่ชิเย่ในฐานะที่เป็นบรรพบุรุษ มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลอย่างที่ชนรุ่นหลังอย่างพวกเขาไม่มีอย่างแท้จริง เรื่องมากมายหาใช่พวกเขาที่เป็นชนรุ่นหลังสามารถเอื้อมถึงอยู่แล้ว
หยางเซิ่นผิงถึงกับโล่งอกเมื่อนึกมาถึงตรงนี้ การติดตามหลี่ชิเย่เป็นการเลือกที่ชาญฉลาดที่สุดของสำนักกระบี่ยักษ์พวกเขาอย่างแท้จริง
“ที่ตรงนี้เคยมีคนแตะต้องมาก่อน” ขณะที่ภายในใจของหยางเซิ่นผิงกำลังคิดอะไรต่อมิอะไรอยู่นั้น หลี่ชิเย่ได้กล่าวเฉยเมยขึ้นมา
“เคยมีคนแตะต้อง แตะต้องอย่างไรรึ?” ภายในใจของหยางเซิ่นผิงถึงกับตื่นตระหนก เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ เอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “นี่ นี่เป็นไปไม่ได้กระมัง สถานที่แห่งนี้ปรกติแล้วมีศิษย์มาที่นี่กันน้อยมาก ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิกระทั่งไม่อนุญาตให้ผู้ใดก็ตามมาเซ่นไหว้ หาไม่แล้วหากพบเจอก็จะเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสมาก”
เป็นความจริงที่เทพแท้จริงเทียนเต๋อในครั้งนั้นได้สร้างผลงานการสู้รบที่โด่งดังให้กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง สายของพวกเขามีฐานะที่ไม่ธรรมดาและสามารถส่งผลกระทบต่อระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แม้ว่าภายหลังเทพแท้จริงเทียนเต๋อได้เสียชีวิตไป แต่ชนรุ่นหลังของเขายังคงจดจำบรรพบุรุษที่ปราศจากผู้ต่อกรผู้นี้เอาไว้ในใจ
เหตุนี้เอง ทางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจึงสั่งห้ามไม่ให้ผู้ใดมาทำการเซ่นไหว้ต่อเทพแท้จริงเทียนเต๋อ เนื่องจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเองก็เกรงว่าเรื่องราวในครั้งนั้นจะซ้ำรอยเกิดขึ้นมาอีกครั้ง เกรงว่าลัทธิมารจะฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ส่งผลให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต้องตกลงสู่ลัทธิมารอีกครั้งหนึ่ง
“มีผู้ฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยขึ้นมา
“ไม่น่าเป็นไปได้…” หยางเซิ่นผิงถึงกับหวาดผวาขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ สีหน้าซีดเผือด ขาทั้งสองข้างถึงกับอ่อนแรง เนื่องจากครั้งนั้นกระแส ‘มารคลั่งดูดเลือด’ แพร่ไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในครั้งนั้น ยอดฝีมือ และระดับบรรพบุรุษจำนวนเท่าไรที่ก้าวเดินไปบนเส้นทางที่คลั่งไคล้เช่นนี้
ลองนึกภาพดู ยามที่เจ้าฝึกฝนอย่างหนักนานนับสิบปี ความก้าวหน้าด้านพลังวัตรและกำลังความสามารถที่เพิ่มขึ้นกลับเทียบไม่ได้กับการดื่มโลหิตสดๆ จนอิ่มท้องเพียงมื้อเดียว ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตนใดๆ ก็ตาม หรือยอดฝีมือใดๆ ก็ตาม ภายใต้สภาพการณ์เช่นนี้แล้ว กล่าวได้ว่าล้วนแล้วแต่เป็นพลังที่พุ่งเข้ามาปะทะอย่างรุนแรง
ถ้าหากว่ามีเส้นทางลัดอยู่สายหนึ่งปรากฏตรงหน้า สามารถทำให้บุคคลผู้นั้นประสบความสำเร็จด้วยความเร็วที่รวดเร็วที่สุด ด้วยค่าตอบแทนที่ต่ำที่สุด เป็นเจ้าแล้วเจ้าจะเลือกเดินไปบนเส้นทางสายนี้หรือไม่? เกรงว่าผู้คนจำนวนมากต่างก็เลือกที่จะเดินบนเส้นทางสายนี้ จะอย่างไรเสียผู้ที่สามารถรักษาจิตแห่งการบำเพ็ญเพียรของตนเอาไว้ได้นั้น มีเพียงหร็อมแหร็มไม่กี่คนเท่านั้น ไอรีนโนเวล
“นี่ นี่มันเป็นไปไม่ได้กระมัง?” หยางเซิ่นผิงไม่อยากจะเชื่อ เนื่องจากหลายปีมานี้ทางระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้มีการควบคุมเรื่องนี้อย่างเข้มงวด ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ทิ้งไปจนสิ้น สิ่งใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ล้วนแล้วแต่ถูกปิดกั้น ไม่อนุญาตให้ผู้ใดไปฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ อย่างเด็ดขาด ภายใต้ความกดดันอย่างหนักจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ส่งผลให้ศิษย์ใดๆ ก็ตามไม่กล้าไปแตะต้องเกินกว่าเส้นตายที่สามารถยอมรับได้
ถ้าหากเป็นดั่งที่หลี่ชิเย่พูดเอาไว้จริง เป็นความจริงว่ามีผู้ได้ฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ จริง เช่นนั้นแล้วมันช่างเป็นเรื่องที่น่ากลัวเพียงใด ไม่แน่นักกระแสที่รุนแรงในวันนั้นอาจจะหวนกลับมาโหมเข้าใส่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เมื่อถึงเวลานั้น ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเกรงว่าต้องเผชิญกับอันตรายอีกครั้ง
“อำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอันตรายแล้ว” หลี่ชิเย่ละสายตากลับมา และกล่าวเรียบๆ ขึ้นมา
หยางเซิ่นผิงถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึงเมื่อได้หลี่ชิเย่ฟันธงออกมาเช่นนี้ ถ้าหากมีผู้ที่แอบฝึก ‘มารคลั่งดูดเลือด’ อยู่ภายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจริงล่ะก็ เมื่อเป็นเช่นนั้น กระแสรุนแรงต้องกลับมาโหมใส่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอีกครั้ง หากถึงขั้นนั้นจริงๆ พวกเขาจะต้องแย่งชิงอำนาจ พวกเขาจะต้องควบคุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอีกครั้งหนึ่ง
ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วจวนหวังซึ่งเป็นผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเวลานี้จะต้องถูกโจมตี และคนแรกที่ถูกโจมตีก็จะต้องเป็นหวังหาน เนื่องจากตราที่เป็นสัญลักษณ์แทนอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงยังอยู่ในมือของหวังหาน
ดังนั้น นาทีนี้หยางเซิ่นผิงจึงรับรู้ถึงคลื่นใต้น้ำที่กระเพื่อมได้อย่างแท้จริง วิกฤตที่กบดานอยู่ภายใต้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนั้น ดูจะหนักหนาสาหัสยิ่งกว่าที่เขาคาดคิดเอาไว้เสียอีก
“ดื่มกินเลือดคน สามารถทำให้พลังวัตรเพิ่มขึ้นมากจริงรึ?” จูซือจิ้งไม่ได้นึกถึงอะไรมากมายเหมือนดั่งหยางเซิ่นผิง นางกล่าวด้วยความแปลกใจว่า “การดื่มกินเลือดคนเพื่อฝึกวิชา แค่คิดก็รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงเสียแล้ว”
“มีอะไรเป็นไปไม่ได้?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและกล่าวว่า “พวกเราอาศัยสัตว์ดุวิหคร้ายมาปรุงกลั่นเป็นครีมยา อาศัยสมุนไพรเซียนหญ้าทิพย์ไปปรุงกลั่นเป็นยาเม็ดวิเศษ ซึ่งความเป็นจริงแล้วหลักการก็เหมือนกัน ในร่างกายของมนุษย์ก็เหมือนเช่นพวกสัตว์ดุวิหคร้ายที่บ่มฟักพลังแก่นฟ้าดินอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะเลือดของผู้บำเพ็ญตนก็ยิ่งมีค่ายิ่งนัก เฉกเช่นเลือดวัฒนะของพวกเรา มันได้บ่มฟักเมล็ดพันธุ์แห่งชีวิตเอาไว้ บ่มฟักซ่อนพลังชีวิตปริมาณมหาศาล…”
“…กล่าวอย่างไม่เป็นการโอ้อวด ยามที่เจ้าแข็งแกร่งจนถึงระดับหนึ่งแล้ว เลือดของเจ้ามีค่ามากกว่าสิ่งใดๆ ทั้งสิ้น และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าเพราะอะไรเลือดราชันจึงล้ำค่าเช่นนั้นเล่า เลือดราชันหนึ่งหยดยังเป็นของล้ำค่าที่ประเมินค่าไม่ได้เลย เพียงแต่การไม่กินพวกเดียวกัน ซึ่งก่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ฟ้าดิน ถ้าหากพวกเดียวกันกินกันเอง นั่นก็คือตกอยู่ในลัทธิมารแล้ว เรื่องราวลักษณะเช่นนี้ในอดีตเกิดขึ้นมาไม่น้อย กระทั่งเกิดอยู่ตลอดเวลา กลืนกินฟ้าดิน กลืนกินชีวิต ในอดีตไม่สามารถทำให้หมดไป เวลานี้ไม่สามารถทำให้มันหมดไป อนาคตก็จะไม่หมดไป”
เมื่อหลี่ชิเย่กล่าวมาถึงตรงนี้แล้ว แววตาดูลึกล้ำอย่างยิ่ง มองไปได้ไกลมาก เพียงแต่จูซือจิ้งไม่รู้ว่าการดื่มกินเลือดสดๆ เป็นเพียงระดับเริ่มต้นเท่านั้นเอง ในยุคสมัยดึกดำบรรพ์ยิ่งกระทั่งมีผู้ที่กลืนกินฟ้าดิน ด้วยการกลืนกินสรรพสิ่งมีชีวิตเพียงคำเดียวนับล้านล้านชีวิต ซึ่งเฉกเช่นบรรพบุรุษหลุนหุยในครั้งครานั้นอย่างนั้น!
“พูดได้ยอดเยี่ยมมาก ลึกซึ้งยิ่งนัก พวกเดียวกันกินกันเอง มันคือลัทธิมาร!” เวลานี้ปรากฏเสียงอุทานดังขึ้น ไม่รู้ว่ามีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นแล้วตั้งแต่เมื่อใด
เขาเป็นผู้เฒ่าผู้หนึ่ง สวมใส่เสื้อที่ทำจากผ้าเก๋อ สะพายหลังด้วยกระบี่โบราณเล่มหนึ่ง ผมเผ้าและหนวดเคราสีขาว ดูไม่รู้ว่าเขามีอายุเท่าไร จากการคาดการณ์น่าจะมีอายุมากทีเดียว
การที่ปรากฏผู้เฒ่าผู้หนึ่งโผล่ออกมากะทันหันปราศจากซุ่มเสียงใดๆ สร้างความตระหนกตกใจแก่หยางเซิ่นผิงอย่างยิ่ง ชั่วดีอย่างไรเขาก็เป็นถึงระดับวีรบุรุษแท้จริง ทักษะยุทธไม่นับว่ากล้าแข็งนัก แต่ชั่วดีอย่างไรก็นับว่ามีระดับอยู่ แต่ทว่ากลับมีผู้หนึ่งอยู่ห่างจากตนใกล้ถึงเพียงนี้โดยที่ตนเองไม่รู้เลย เมื่อคิดทบทวนเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว ก็ต้องทำให้ต้องหวาดกลัวจนขนลุกซู่ขึ้นมา
“ไม่ทราบว่าสหายมีนามว่ากระไร?” เวลานี้ผู้เฒ่าเดินเข้ามาและแสดงคารวะแบบจีนกับหลี่ชิเย่
หลี่ชิเย่เพียงมองหน้าเขาแวบหนึ่งด้วยท่าทีราบเรียบ กล่าวขึ้นช้าๆ ว่า “หลี่ชิเย่ บอกไปแล้วเจ้าก็ไม่รู้จัก”
ผู้เฒ่านึกดูอย่างละเอียด เขาไม่เคยได้ยินชื่อของหลี่ชิเย่จริงๆ แต่เมื่อเขามองดูหยางเซิ่นผิงและจูซือจิ้งทีหนึ่ง รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาทั้งสองมีชาติกำเนิดมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
แต่ทว่า หลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้ากลับมองไม่ออกว่ามีประวัติความเป็นมาเช่นใด กระทั่งไม่สามารถรับรู้ถึงกลิ่นอายจากตัวของเขา แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตามเขายังคงไม่กล้าประมาท และไม่ได้ดูเคลนในหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย
ผู้เฒ่าได้ละสายตาจากบนตัวของหลี่ชิเย่ และเหมือนดั่งหลี่ชิเย่ที่จ้องมองไปยังศิลาจารึกแผ่นนั้น สุดท้ายได้ทอดถอนใจออกมาเบาๆ และกล่าวว่า “ดูท่ายังคงมีคนที่ไม่ยอมแพ้!” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว ดวงตาคู่นั้นของเขาพลันดูแหลมคมยิ่งทันที เสมือนดั่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มหนึ่งที่สามารถสังหารสิ้นทุกสิ่ง
หลังจากผ่านไปชั่วครู่ ผู้เฒ่าเงยหน้ามองดูหลี่ชิเย่ และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “สหาย ขึ้นมายังเขาทิ้งศพด้วยเหตุอันใด เพียงเพราะทิวทัศน์ของภูเขาลูกนี้อย่างนั้นรึ?”
……………………….