ต่อให้เฉินซูเหว่ยลงมือก็ไม่สามารถช่วยเผิงเวยจิ่นเอาไว้ได้ อีกทั้งขณะที่แขนของเฉินซูเหว่ยที่ฟาดเข้ามานั้น หลี่ชิเย่แค่หลังมือฟาดออกไปตามอารมณ์ประดุจดั่งไล่แมลงวันตัวหนึ่งอย่างนั้น ได้ยินเสียงดังปังพลันทำให้มือขนาดใหญ่ของเฉินซูเหว่ยนั้นกระเด็นกลับไป ไอลีนโนเวล
ตึง ตึง ตึงภายใต้การสะบัดมือออกไปตามอารมณ์ของหลี่ชิเย่ เฉินซูเหว่ยพลันถูกโจมตีจนถอยหลังไปหลายก้าว มองเห็นหน้าอกที่กระเพื่อมขึ้นลง ลมปราณแปรปรวน ย่อมไม่ต้องสงสัยว่าภายใต้การประทะ เขาเสียเปรียบต่อหลี่ชิเย่อยู่มากทีเดียว
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น ศพของเผิงเวยจิ่นลงไปกองอยู่กับพื้น ดวงตาคู่นั้นของเผิงเวยจิ่นเบิกโพลง กระทั่งตัวตายเขายังไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองจะต้องมาตายในลักษณะเช่นนี้ อีกทั้งผู้สนับสนุนที่กล้าแข็งอย่างเฉินซูเหว่ยก็อยู่ข้างกายตน กลับไม่สามารถช่วยชีวิตตนเอาไว้ได้ เกรงว่าวินาทีที่เขาตายนั้นคงเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ!
สีหน้าของเฉินซูเหว่ยกลับกลายเป็นดูไม่จืดยิ่งนักเมื่อถูกโจมตีจนต้องถอยกลับไป และหลี่ชิเย่จัดการสังหารเผิงเวยจิ่นต่อหน้าต่อตาของเขา นี่ไม่เพียงไม่ให้เกียรติตนเท่านั้น มันเท่ากับเป็นการประกาศศึกต่อเขา! ขณะเดียวกัน เฉินซูเหว่ยก็รับรู้ได้ว่าตนเองนั้นได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งเข้าให้แล้ว
แม้ว่าเฉินซูเหว่ยจะรู้ว่าตนเองนั้นได้พบกับศัตรูผู้แข็งแกร่งแล้ว แต่ภายในใจของเขายังคงไม่หวั่น จะอย่างไรเสียการที่เขาสามารถนั่งในตำแหน่งองครักษ์เมืองหลวงเอาไว้ได้อย่างมั่นคง ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเขามีความสามารถพอ ยิ่งไปกว่านั้น ในแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงแล้วตระกูลเฉินของเคยกลัวใครที่ไหนกัน?
บรรยากาศภายในโรงเตี้ยมพลันตึงเครียดขึ้นมา ทุกคนต่างลุกขึ้นยืนและมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ต้องกลั้นลมหายใจเอาไว้
การที่เผิงเวยจิ่นถูกฆ่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย แม้จะกล่าวว่าบ้านตระกูลเผิงแห่งลานหลวงจะเทียบไม่ได้กับตระกูลเฉิน เทียบไม่ได้กับแดนอุดร แต่ว่าด้านกำลังนับว่าไม่ธรรมดาเลย ยิ่งไปกว่านั้นบ้านตระกูลเผิงกับตระกูลเฉินมีการเกี่ยวดองสมรสระหว่างกันเสมอมา
ที่สำคัญมากที่สุดก็คือ การสังหารเผิงเวยจิ่นต่อหน้าเฉินซูเหว่ยมันคือเรื่องที่ใหญ่มาก จะชั่วดีอย่างไรเผิงเวยจิ่นก็เปรียบเหมือนน้องชายของเฉินซูเหว่ย ภาษิตว่าจะตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ การที่หลี่ชิเย่สังหารเผิงเวยจิ่นต่อหน้าทุกคน ใช่จะเป็นเพียงการตบหน้าเฉินซูเหว่ยอย่างแรงเข้าให้หนึ่งฉาด ใช่เพียงแค่หักหน้ากันอย่างเปิดเผยกับตระกูลเฉินเท่านั้น มันเป็นการประกาศศึกต่อตระกูลเฉินชัดๆ!
เวลานี้ บรรยากาศเสมือนดั่งตึงเครียดไปหมดแล้ว ทุกคนต่างมองไปที่หลี่ชิเย่ ในใจของทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกหวาดกลัวยิ่งนัก เจ้าหนูไร้ชื่อที่อยูตรงหน้าหากไม่เพราะโอหังจนสุดเปรียบเปรย ก็คือมีพลังกล้าแข็งเพียงพอ แต่ทว่า ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเหมือนว่ายังไม่เคยมีใครที่หาญกล้าไม่เห็นตระกูลเฉินอยู่ในสายตา ยังไม่มีใครหาญกล้าไม่เห็นกองกำลังซั่งอยู่ในสายตา ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กองกำลังซั่งสามารถบีบผู้ใดผู้หนึ่งให้ตายคามือได้อย่างแน่นอน!
“เจ้าหนูนี้เล่มจบเกมแล้วล่ะ สามารถรอดวันนี้ไปได้ ก็ไม่รอดพ้นปีนี้ไปได้” มีระดับผู้อาวุโสของสำนักถึงกับพึมพำออกมา
ทุกคนต่างก็เข้าใจ ต่อให้หลี่ชิเย่สามารถรอดชีวิตวันนี้ไปได้ แต่ช้าหรือเร็วกองกำลังซั่งก็ต้องสังหารเขาแน่ การสังหารเผิงเวยจิ่น บ้านตระกูลเผิงต้องไม่เลิกราเด็ดขาด ตระกูลเฉินก็ไม่ยอมเลิกราแน่ กล่าวได้ว่า หลี่ชิเย่หนีไม่พ้นจากการคิดบัญชีของกองกำลังซั่งแน่นอน เรื่องตายน่ะแน่นอนอยู่แล้ว อยู่ที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง
“ทำเกินไปแล้ว!” เวลานี้สีหน้าของเฉินซูเหว่ยดูบึ้งตึงและเย็นชา กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “พี่หลี่ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเป็นสถานที่ที่มีกฎหมาย ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่ยอมให้ใครก็ตามฆ่าคนได้ตามอำเภอใจ!”
ซี๋วจื้อเจี๋ยอยู่ในท่าทียืนดูความคึกครื้นโดยสิ้นเชิง เมื่อมองเห็นเฉินซูเหว่ยกำลังจะอาละวาด ดวงตาทั้งสองของเขาเผยให้เห็นท่าทีที่เยาะเย้ย ในสายตาของเขามองว่า เฉินซูเหว่ยก็แค่อาศัยจับเอาคำพูดที่ไม่เป็นสาระมาเป็นข้ออ้างเท่านั้นเอง ไม่แน่นัก เขาอาจต้องการให้หลี่ชิเย่สังหารเผิงเวยจิ่นแต่แรกอยู่แล้ว เพื่อเขาจะได้จับตัวหลี่ชิเย่ได้อย่างสมเหตุสมผล
“ข้าก็คือกฎหมาย!” ในเวลานี้เอง หลี่ชิเย่ได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ และกระดกสุราในมือจนหมดจอก
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้สีหน้าของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดเปลี่ยนไปมากทีเดียว แม้แต่ซี๋วจื้อเจี๋ยก็มีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน คำพูดนี้ยโสเหลือเกิน มันก้าวล้ำทุกข้อจำกัดไปแล้ว
อะไรคือกฎหมายในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง? ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็คือกฎหมาย คำสอนของบรรพบุรุษคือตัวแทนทุกสิ่งทุกอย่าง! ต่อให้เป็นถึงกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองนั้นคือกฎหมาย!
อะไรที่เป็นสิ่งแทนกฎหมายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง? นั่นก็คือคำสอนของบรรพบุรุษ! ใครกล้าบอกว่าตัวเองคือกฎหมาย นั่นหมายถึงเป็นการดูถูกคำสอนของบรรพบุรุษโดยตรง ไม่เห็นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่ในสายตา!
หากคำพูดลักษณะเช่นนี้พูดคุยกันเป็นการส่วนตัวคงไม่เป็นไร จะอย่างไรเสียทุกยุคทุกสมัยก็ต้องมีผู้ที่อาศัยฝ่ามือข้างเดียวปิดบังฟ้า แต่หากว่าพูดคำๆ นี้ต่อหน้าผู้คนมากมายก็จะเป็นเรื่องใหญ่แล้วล่ะ มันคือการดูแคลนทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นการยกตนอยู่เหนือระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง!
คำพูดเช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดครรลองครองธรรม เกรงว่าใครๆ ก็สามารถสังหารคนผู้นั้นได้
“วาจาสามหาวมาก…” เวลานี้เฉินซูเหว่ยถึงกับหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ ยิ่งหลี่ชิเย่อวดดีมากเท่าไร เขาก็ยิ่งจะมีข้ออ้างที่จะจัดการกับเขา เวลานี้หากเขาลงมือจัดการกับหลี่ชิเย่เท่ากับว่าเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลเลยทีเดียว
“ถึงกับกล้าบอกว่าตนเองคือกฎหมายขณะอยู่ที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เจ้าคือกบฏไม่มีขื่อแปแล้ว!” เวลานี้เฉินซูเหว่ยตวาดเสียงดังว่า “ไม่ว่าเจ้าจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักใดก็ตาม หาญกล้าดูแคลนกฎหมายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถึงเพียงนี้ โทษสมควรตายหมื่นครั้ง กองกำลังซั่งของข้าจะปล่อยเจ้าซึ่งเป็นพวกทำผิดครรลองครองธรรมไม่ได้เป็นคนแรก!”
“คำพูดที่ไร้สาระพวกนี้ไม่ต้องพูดให้มากความนัก” หลี่ชิเย่โบกมือเบาๆ และเอ่ยขึ้นมาช้าๆ ว่า “จะเป็นกองกำลังอะไรก็ช่าง หากหาเรื่องกับข้าล่ะก็ อาศัยมือข้างเดียวก็ฆ่าพวกเจ้าได้ทั้งหมด! หากรู้จักกาลเทศะล่ะก็ไสหัวไปให้พ้น!”
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำเมื่อหลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา นี่มันจะบ้าบิ่นมากเกินไปเสียแล้ว ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีใครบ้างที่กล้าพูดเช่นนี้ออกมา ถึงกับเอ่ยปากว่าจะทำลายล้างกองกำลังซั่ง คำพูดที่สามหาวเช่นนี้ไม่มีใครเทียบเคียงได้อีกแล้ว
กองกำลังซั่งคือหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ยิ่งตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่งแล้วคือหนึ่งในสายสำนักราชันแท้จริง ทอดสายตามองไปในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ใครบ้างกล้าบอกว่าสามารถอาศัยตนเพียงคนเดียวก็ทำลายล้างกองกำลังซั่งได้? เว้นเสียแต่ราชันแท้จริงจะปรากฏตัวออกมา!
เวลานี้หลี่ชิเย่คือบ้าไปแล้ว พลันเปิดปากก็จะทำลายล้างกองกำลังซั่งเสีย! ทุกคนที่จ้องมองดูหลี่ชิเย่คล้ายมองคนบ้าคนหนึ่งอย่างนั้น
“เจ้าคนไม่รู้จักคำว่าตาย!” สีหน้าของเฉินซูเหว่ยดูไม่จืดถึงขีดสุด กล่าวน่าครั่นคร้ามออกมาว่า “เจ้าจะยอมจำนนให้จับเสียดีๆ หรือว่าจะให้ข้าหักกระดูกทั้งตัวของเจ้าแล้วลากออกไปเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง!” กล่าวพลางเขาโบกมือทีหนึ่ง
พริบตาเดียวนี้เอง ยอดฝีมือที่อยู่ด้านหลังของเฉินซูเหว่ยก็ได้เข้ามาล้อมโต๊ะที่พวกของหลี่ชิเย่นั่งอยู่ทันที
ในเวลานี้ ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ทุกคนอยากจะรู้นักว่าเจ้าหนูที่โง่เขลาและอวดดีจะกล้าแข็งสักเพียงใดกันแน่ ถึงกับกล้าบอกว่าจะทำลายล้างกองกำลังซั่งแบบไม่อายปากตัวเอง
หลี่ชิเย่ยังคงมีท่าทีที่เอ้อระเหยอย่างยิ่ง เหมือนไม่รับรู้อะไรแม้จะถูกยอดฝีมือกว่าสิบคนที่เข้ารายล้อมเอาไว้ ยังคงดื่มสุรา และรับประทานอาหารที่จูซือจิ้งป้อนให้ ท่าทางเหมือนเสพสุขยิ่งนัก
“กองกำลังของเมืองหลวงถูกโยกมาเล่นบทฆ่าฟันที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!” ในเวลานี้เอง ปรากฏเสียงที่เย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น
ในเวลานี้ ด้านนอกปรากฏผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามา ขณะที่ผู้หญิงคนนี้เดินเข้ามานั้น พลันทำให้ภายในห้องเหมือนสว่างไสวขึ้น ทำให้ดวงตาของทุกคนถึงกับลุกวาวขึ้นมา
นางเป็นผู้หญิงที่อยู่ในชุดนักรบ รูปโฉมงดงามปราศจากผู้เทียบเทียม รูปร่างที่สูงโปร่ง หน้าอกที่อวบอัดเต่งตึง ช่วงขาที่เรียวยาว และยังมีผิวที่ขาวเนียน ทำให้ผู้คนหลงใหลในรูปลักษณ์เมื่อพานพบ เรียกได้ว่าผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้างดงามไปหมดทุกส่วน
แต่ว่า สิ่งที่ดึงดูดสายตาของผู้คนใช่เพียงแต่ความงดงามของผู้หญิงคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นกลิ่นอายบนตัวของนาง ผู้หญิงที่ขาวเหมือนหิมะตรงหน้าได้แผ่กลิ่นอายที่หนาวเหน็บออกมา ด้วยท่าทางที่ไม่แสดงอาการโกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจออกมา ทำให้ผู้คนต้องเคารพยำเกรง
ผู้หญิงคนนี้สวมชุดนักรบเต็มยศ บุคลิกองอาจห้าวหาญ ประกายเยือกเย็นจากดวงตาของนางทำให้ผู้คนไม่กล้าจ้องมองตรงๆ ที่ทำให้ผู้คนต้องอกสั่นขวัญแขวนยิ่งกว่านั้นก็คือพลังที่เปล่งออกมาจากตัวของนาง ดั่งมังกรคำรามหงส์คำรณ เหมือนว่านางคือมังกรแท้จริงที่บินร่อนอยู่บนเก้าชั้นฟ้า ดั่งหงส์เวียนท่องไปทั่วทั้งจักรวาล!
แม่ทัพเฟยฟ่ง…ระดับผู้อาวุโสของสำนักถึงกับขนลุกซู่ในใจเมื่อได้เห็นผู้หญิงคนนี้ ได้กล่าวเตือนขึ้นมาแผ่วเบาว่า “จอมพลผู้ยิ่งใหญ่มาแล้ว!”
เวลานี้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างหันหลังกลับไป และมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปเมื่อได้มองเห็นผู้ที่กำลังเดินเข้ามาจากด้านนอก ไม่ว่าจะเป็นองครักษ์เมืองหลวงเฉินซูเหว่ย หรือว่าจิ้งจอกเงินซี๋วจื้อเจี๋ยต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน
แม่ทัพเฟยฟ่ง จอมพลผู้ยิ่งใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนามว่าฉู่ชิงหลินนั่นเอง! ผู้กุมอำนาจของค่ายฉู่ และเป็นจอมพลของกองทัพระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ขุนพลหญิงแห่งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอัจฉริยบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง กระทั่งเป็นผู้มีศักยภาพเหนือกษัตริย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง!
แม่ทัพเฟยฟ่ง จอมพลผู้ยิ่งใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง และหรือนามฉู่ชิงหลิน ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริงหรือฉายาของนางก็ตาม ล้วนแล้วแต่ดังก้องไปทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง อาจมีศิษย์บางคนที่ไม่รู้ว่ากษัตริย์องค์ปัจจุบันของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคือใคร แต่จะต้องรู้ว่าใครคือผู้กุมอำนาจทางทหารของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง รู้ว่าใครคืออันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง!
“โยกกำลังส่วนตัวมาที่เขาฟันหลอก็ช่างเถอะ หรือว่ามาแล้วยังต้องทำตัวเหมือนอันธพาลข้างถนนต่อยตีกับคนอื่นอย่างนั้นรึ?” เวลานี้ฉู่ชิงหลินจ้องมองดูเฉินซูเหว่ย และซี๋วจื้อเจี๋ย
“ท่านแม่ทัพเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดแล้ว” เมื่อถูกฉู่ชิงหลินกล่าวตำหนิเช่นนี้ ทำให้เฉินซูเหว่ย และซี๋วจื้อเจี๋ยต่างหัวเราะเจื่อนๆ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วซี๋วจื้อเจี๋ยดูจะดีกว่ากันมากทีเดียว จะอย่างไรเสียเขามาเพียงลำพังคนเดียวเท่านั้น
ฉู่ชิงหลินได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้กุมอำนาจทางทหารของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง สามารถสั่งการทหารให้พร้อมรับและการส่งเสบียงทุกอย่าง แน่นอนที่สุด ตามหลักการเป็นเช่นนี้
เฉกเช่นตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่ง หรือแดนอุดรของหอศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาต่างก็มีกำลังทหารที่เป็นของตน มีศิษย์ที่เป็นของตระกูลตน ซึ่งศิษย์เหล่านี้ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมทำตามคำสั่งของฉู่ชิงหลิน
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนั้น ฉู่ชิงหลินมีอำนาจที่ซี๋วจื้อเจี๋ยและเฉินซูเหว่ยไม่อาจเทียบเคียงได้ ไม่ว่าจะเป็นกองทัพเมืองหลวงที่อยู่ในมือของเฉินซูเหว่ย หรือกองทัพในมือของซี๋วจื้อเจี๋ยแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งตามหลักการแล้วล้วนแล้วแต่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฉู่ชิงหลินทั้งสิ้นโดยหลักการ
ที่สำคัญมากไปกว่านั้นก็คือ ฉู่ชิงหลินคือหนึ่งเดียวในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่สามารถก้าวข้ามหอศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังซั่ง จวนหวัง ค่ายฉู่ กระทั่งทุกๆ สำนัก หรือตระกูลขุนนางโบราณของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
ฉู่ชิงหลินได้รับการผลักดันและปกป้องอย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นการบ่งชี้ว่า บนตัวของฉู่ชิงหลินไม่ได้มีข้อจำกัดด้านต่างสำนัก
เนื่องจากฉู่ชิงหลินคือต้นกล้าที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงต้องการบ่มเพาะเป็นพิเศษ นางเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีหวังได้กลายเป็นราชันแท้จริงมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ดังนั้น จึงได้มีการทุ่มเทกำลังกายใจจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงลงบนตัวของฉู่ชิงหลิน ดังนั้นอำนาจทหารที่อยู่ในมือของนางจึงไม่เป็นที่กังขา อำนาจของนางได้รับการรับรองจากบรรดาบรรพบุรุษทั้งหลาย ซึ่งบรรพบุรุษเหล่านี้มาจากแต่ละสำนักและตระกูลขุนนางโบราณต่างๆ ในสังกัดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง!
…………………………………………………..