หลี่ชิเย่เพียงยิ้มให้กับคำพูดของเฉินไท่เหอทีหนึ่งและกล่าวว่า “เช่นนั้นแล้วข้าได้แต่เหยียบพวกเจ้าให้ราบคาบ ข้าหวังว่าจะมีคนที่มีศักยภาพกว่านี้โผล่ออกมาสักหลายๆ คน อ่อนเกินไปสู้ไปแล้วไร้ความหมายจริงๆ มีฝีมืออะไรสำแดงออกมาให้หมด ให้ข้าได้อุ่นเครื่องบ้างก็ดี”
คำพูดลักษณะเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้สีหน้าของศิษย์ตระกูลเฉินที่อยู่ในเหตุการณ์ดูไม่จืดยิ่งนัก ในจำนวนพวกเขามีอยู่ไม่น้อยที่เป็นยอดฝีมือซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่เมื่อออกจากปากของหลี่ชิเย่กลับไม่มีค่าเหลืออยู่อีกเลย ท่าทีของหลี่ชิเย่ที่ไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาทำให้พวกเขารู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมและไม่สบายใจอย่างยิ่ง ทำให้พวกเขารู้สึกอัดอั้นความโกรธเอาไว้เต็มอก ขอเพียงเฉินไท่เหอมีคำสั่ง พวกเขายินดีบุกเข้าไปเป็นคนแรก เพื่อแลกชีวิตกับหลี่ชิเย่!
“ตระกูลเฉินก็ไม่ใช่ใครจะมาหาเรื่องได้ง่ายๆ!” ดั่งคำว่า แม้คนเราจะอ่อนโยนเพียงใด แต่ก็มีอารมณ์ได้เหมือนกัน เมื่อหลี่ชิเย่พูดจาดูแคลนครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ภายในใจของเฉินไท่เหอก็บังเกิดความโกรธขึ้นมา เขาส่งเสียงฮึน่าเกรงขามออกมา ปรากฏกลิ่นอายปราชญ์แท้จริงตลบอบอวลทั่วร่าง นาทีนี้กลิ่นอายทั่วร่างของเขาเสมือนดั่งมังกรที่คำรามด้วยความโกรธ ดูบ้าคลั่งยิ่งนัก เหมือนเป็นการประกาศถึงความเคียดแค้นของเขาอย่างนั้น
แว้งค์เสียงหนึ่งดังขึ้น จังหวะที่เฉินไท่เหอพูดขาดคำ บริเวณค่ายของตระกูลเฉินปรากฎประกายแต่ละสายที่พวยพุ่งขึ้นมา ทันใดนั้นเอง ปรากฎอานุภาพที่เกรียงไกรพรั่งพรูออกมาเสมือนดั่งคลื่นที่ปกคลุมไปทุกพื้นที่ ยามที่อานุภาพที่เกรียงไกรเช่นนี้พรั่งพรูออกมา พลันทำให้ภายในใจของยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับสั่นเทา
ทันใดนั้น ทุกคนเสมือนหนึ่งมองเห็นผู้ดำรงอยู่ในฐานะปราศจากผู้ต่อกรยืนอยู่ตรงหน้าของตน ภายใต้กลิ่นอายเทพแท้จริง ทำให้ผู้คนบังเกิดปฏิกิริยาอยากจะคุกเข่าลงกราบ
“เทพแท้จริง…” ระดับผู้อาวุโสของสำนักถึงกับตระหนกตกใจยิ่งนักเมื่อรับรู้ถึงกลิ่นอายอานุภาพสายนี้ ร้องออกมาด้วยความหวาดผวาภายในใจ
“ตระกูลเฉินมีระดับเทพแท้จริงมานั่งบัญชาการอยู่ที่นี่!” ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสถึงกับพึมพำออกมา
เวลานี้ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองหน้ากันและกัน มิน่าเล่าตระกูลเฉินจึงได้มั่นใจนัก ที่แท้ตระกูลเฉินมีระดับเทพแท้จริงมาด้วย เมื่อมีเทพแท้จริงนั่งบัญชาการ ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดก็ตาม หรือยอดฝีมือคนใดก็ช่าง หากคิดจะบุกเข้าไปในค่ายของตระกูลเฉินก็ต้องประเมินศักยภาพของตนเอง
“ไม่ทราบว่ามีระดับเทพแท้จริงมากับทางกองกำลังซั่ง” มีผู้เฒ่าที่พึมพำขึ้นมา
ระดับเทพแท้จริงในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่ได้มีจำนวนมากมายเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่ในฐานะเสื่อมถอยไปแล้ว อีกทั้งระดับเทพแท้จริงที่มีอยู่ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงส่วนใหญ่มาจากกองกำลังซั่ง หอศักดิ์สิทธิ์ ค่ายฉู่ และจวนหวัง นอกเหนือจากนี้แล้ว สำนักและตระกูลขุนนางโบราณที่มีระดับเทพแท้จริงเรียกได้ว่ามีกันหร็อมแหร็มเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ศาลเจ้าโบราณนับเป็นหนึ่งในจำนวนนั้น
“เทพแท้จริงนะเนี่ย…” ไม่ว่าใครก็ตาม หากเอ่ยถึงเทพแท้จริงแล้วก็ต้องบังเกิดความเคารพยำเกรงขึ้นในใจ แม้จะกล่าวว่าระดับปราชญ์แท้จริงกับระดับเทพแท้จริงจะห่างกันเพียงแค่ระดับเดียวเท่านั้น
ความจริงแล้วระหว่างระดับเทพแท้จริงกับระดับปราชญ์แท้จริงนั้นห่างกันราวฟ้ากับดิน กล่าวสำหรับยอดฝีมือจำนวนมากแล้ว การก้าวข้ามวิบากเต๋าในระดับปราชญ์แท้จริงและก้าวขึ้นสู่ระดับเทพแท้จริงแล้ว นั่นแหละเรียกว่าได้พบกับทะเลและท้องฟ้าที่กว้างไกลปลดปล่อยจินตนาการอย่างอิสระได้โดยแท้จริง มีเพียงก้าวสู่ระดับเทพแท้จริงแล้ว จึงจะมีสิทธิ์ไปก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของแดนสามเซียนได้อย่างแท้จริง มิฉะนั้นล่ะก็มันก็เป็นได้แค่ยอดฝีมือธรรมดาเท่านั้น
มีผู้กล่าวเอาไว้ว่า ข้อแตกต่างที่ห่างชั้นกันมากที่สุดระหว่างระดับเทพแท้จริงกับระดับปราชญ์แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน? ระดับเทพแท้จริงก็คือเทพ ขณะที่ผู้บำเพ็ญตนที่ต่ำกว่าระดับเทพแท้จริงก็แค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาเท่านั้นเอง นี่แหละคือระดับความห่างที่มากที่สุด ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ระดับราชันแท้จริงก็ต้องกลายเป็นเทพแท้จริงเสียก่อน จากนั้นจึงสามารถเป็นราชันแท้จริงได้
“เกรงว่าหลี่ชิเย่คงไม่ไหวกระมัง” เมื่อทุกคนเห็นว่าภายในค่ายตระกูลเฉินมีระดับเทพแท้จริงนั่งบัญชาการอยู่ แม้ว่าทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่รู้ว่าระดับเทพแท้จริงของตระกูลเฉินผู้นี้จะเป็นเทพแท้จริงท่านใด แต่ทว่า การมีกำลังความสามารถอยู่ในระดับเทพแท้จริงก็เพียงพอแล้ว
เวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ แม้ว่าหลี่ชิเย่จะมีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง และเป็นสิ่งที่ประจักษ์แก่สายตาของทุกๆ คน แต่ผู้คนจำนวนมากรู้สึกว่าหลี่ชิเย่ยังคงก้าวไปไม่ถึงระดับของเทพแท้จริง จะอย่างไรเสียการที่จะก้าวจากระดับปราชญ์แท้จริงไปยังเทพแท้จริงนั้นเป็นเรื่องที่ยากมาก ถ้าหากจะกล่าวว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงใครบ้างที่มีความเป็นไปได้ก้าวสู่ระดับเทพแท้จริงล่ะก็ นั่นก็คืออันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่ฉู่ชิงหลินนั่นเอง
“คนโหดอันดับหนึ่งผู้นี้ต่อให้มีความโหดมากกว่านี้ เกรงว่าก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไปต่อกรกับระดับเทพแท้จริงได้ หากรู้จักกาลเทศะล่ะก็ ให้รู้จักบันยะบันยังอย่าโลภมาก การหาทางลงเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่เลวนัก” แม้แต่ยอดฝีมือรุ่นอาวุโสก็เห็นว่าควรเป็นเช่นนี้
ความจริงแล้ว การรู้จักถอยเมื่ออยู่ในสถานการณ์ลำบากก็ไม่ถือเป็นเรื่องที่เสียหน้าแต่อย่างใด ถ้าหากหลี่ชิเย่จะรู้จักถอยเมื่อรู้ว่าลำบากก็ไม่มีใครไปหัวเราะเยาะเขา
กล่าวอย่างไม่เกรงใจ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเกรงว่าคงหากลุ่มคนรุ่นใหม่นักคนที่จะต้านกับเทพแท้จริงได้ แม้แต่ฉู่ชิงหลินที่อยู่ในฐานะอันดับหนึ่งของกลุ่มคนรุ่นใหม่ก็ทำไม่ได้ จะอย่างไรเสียนางอายุยังน้อย ยังคงต้องอาศัยเวลา
“แค่ระดับเทพแท้จริงเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่มีท่าทีที่สงบนิ่งมากเมื่อต้องเผชิญหน้ากับกลิ่นอายเทพแท้จริงที่เสมือนดั่งคลื่นทะเลที่บ้าคลั่ง เพียงกล่าวตามอารมณ์ขึ้นมาว่า “เทพแท้จริงหากไม่สามารถบรรลุขั้นอมตะได้ ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงมดปลวกเท่านั้นเอง การก้าวขึ้นสู่ระดับเทพแท้จริงไม่ก็บรรลุสัจธรรมกลายเป็นราชัน ไม่ก็สำเร็จเป็นอมตะ นอกเหนือจากนี้ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงเมฆที่ล่องลอยเท่านั้นเอง”
พลันที่พูดคำๆ นี้ออกมา เรียกได้ว่าทำให้ทุกคนต่างมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง ทุกคนต่างรู้สึกใจหายใจคว่ำโดยพร้อมเพรียงกัน เวลานี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรที่มองหน้ากันและกัน แม้ว่าก่อนหน้านั้นหลี่ชิเย่จะแสดงให้เห็นถึงกำลังความสามารถที่กล้าแข็งอย่างยิ่ง แต่การที่หลี่ชิเย่พูดออกมาเช่นนี้ มันออกจะเกินเลยไปแล้วจริงๆ
“นี่มันออกจะอวดดีเกินไปแล้ว ถึงกับดูแคลนระดับเทพแท้จริงขนาดนี้ เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกันนะเนี่ย ตัวเองเป็นราชันแท้จริงอย่างนั้นรึ?” มีผู้ที่ส่งเสียงฮึด้วยความไม่พอใจ รู้สึกไม่พอใจในคำพูดที่อวดดีและยโสเช่นนี้ของหลี่ชิเย่
“ระดับเทพแท้จริงหากถึงขั้นก้าวสู่สวรรค์ ล้วนแล้วแต่เรียกได้ว่าปราศจากผู้ต่อกรแล้ว หากถึงขั้นอมตะนั่นเท่ากับดำรงอยู่ในฐานะมีสิทธิ์ก้าวสู่แดนลัทธิเซียนได้ ซึ่งเพียงพอที่จะหมางเมินต่อแดนพรรษ กระทั่งมีความสำคัญในแดนลัทธิราชัน เจ้าคนโหดอันดับหนึ่งแม้จะมีกำลังทระนงองอาจ แต่ว่าการดูแคลนต่อเทพแท้จริงเช่นนี้ดูจะอวดดีเกินไปแล้ว ในโลกนี้มีใครบ้างกล้าบอกว่าต่ำกว่าขั้นอมตะล้วนแล้วแต่เป็นเมฆที่ล่องลอย” ระดับผู้อาวุโสสำนักก็รู้สึกว่าหลี่ชิเย่นั้นอวดดีเกินไป
จะอย่างไรเสีย ระดับเทพแท้จริงนับว่ามีความแข็งแกร่งเพียงพอแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงระดับเทพแท้จริงขั้นก้าวขึ้นสู่สวรรค์ ส่วนเทพแท้จริงขั้นอมตะยิ่งไม่ต้องกล่าวให้มากความ นั่นคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่สูงส่ง
อย่าว่าแต่ยอดฝีมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเลย ต่อให้เป็นแดนพรรษก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าต่ำกว่าขั้นอมตะเป็นเพียงเมฆที่ล่องลอย เพราะเท่ากับเป็นการล่วงเกินต่อเทพแท้จริงทั่วหล้าเลยทีเดียว
“ฮึ…” หลี่ชิเย่เพิ่งจะพูดขาดคำ ภายในค่ายตระกูลเฉินได้ปรากฏเสียงฮึที่น่าเกรงขามดังขึ้น เสียงดั่งฟ้าผ่าที่ระเบิดขึ้นมาโดยพลัน เปี่ยมด้วยอานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งปราศจากผู้ต่อกร!
ภายใต้ อานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้ ผู้คนจำนวนไม่น้อยถึงกับสั่นเทิ้ม โดยเฉพาะผู้มีทักษะอ่อนด้อยถึงกับยืนไม่ติด คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังปุ
ภาพเช่นนี้ได้สร้างความหวาดกลัวในใจผู้คนจำนวนมาก เทพแท้จริงย่อมเป็นเทพแท้จริง กำลังความสามารถที่มีเป็นสิ่งที่พวกเขาห่างชั้นไม่สามารถเทียบเคียงได้
ย่อมไม่ต้องสงสัย เทพแท้จริงของตระกูลเฉินรู้สึกไม่พอใจในคำพูดของหลี่ชิเย่อย่างยิ่ง เพียงแต่ฝ่ายตรงข้ามนั่งบัญชาการอยู่ในค่าย จึงไม่รีบร้อนที่จะลงมือทันที
“ไม่ต้องแสดงท่าทีไม่พอใจ ข้าเพียงพูดไปตามความจริงเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่ยังคงเอ้อระเหยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ว่าเทพแท้จริงจะส่งเสียงฮึแสดงความไม่พอใจออกมา เพียงหัวเราะทีหนึ่งและกล่าวว่า “ในแดนสามเซียน ระดับต่ำกว่าอมตะล้วนแล้วแต่เป็นเมฆที่ลอยล่อง มีเพียงปฐมบรรพบุรุษจึงจะสูงสุด”
“เจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง!” เฉินซูเหว่ยไม่อาจระงับอารมณ์ได้โดยพลัน เมื่อได้ยินหลี่ชิเย่ด่าประจานบรรพบุรุษของตน จึงตวาดเสียงดังว่า “เจ้าคนแซ่หลี่ เจ้าอย่าได้อวดดีหลงตัวเองนัก คิดจะท้าสู้กับบรรพบุรุษเทพแท้จริงของพวกเราเจ้ายังไม่มีคุณสมบัติพอ ผ่านด่านพวกเราก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
สำหรับการท่าสู้ของเฉินซูเหว่ยนั้น หลี่ชิเย่เพียงมองดูเขาแวบหนึ่งด้วยท่วงท่าเชื่องช้า กล่าวด้วยท่าทีเหนื่อยหน่ายว่า “แค่ชื่อเสียงจอมปลอมเท่านั้น ไม่คู่ควรจะกล่าวถึง อาศัยสองสามหมัดก็จัดการได้แล้ว”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา สีหน้าของเฉินซูเหว่ยดูปั้นยากถึงขีดสุด เขาถูกยั่วโมโหจนร่างสั่นเทา เขาอยู่ในฐานะขององครักษ์เมืองหลวง นับว่ามีตำแหน่งสูงเด่น ไม่รู้ว่าศิษย์จำนวนเท่าไรของตระกูลขุนนางโบราณต้องก้มโค้งแสดงความเคารพนอบน้อมเมื่อพบกับเขา ต่างรู้สึกเป็นเกียรติหากสามารถนับถือเป็นพี่น้องกับเขา เมื่ออยู่ต่อหน้าหลี่ชิเย่กลับไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึง ซึ่งทำให้เขาโมโหจนใบหน้าแดงก่ำ
“ดี เจ้าคนแซ่หลี่ ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้ามีฝีมือแค่ไหน!” เฉินซูเหว่ยในเวลานี้โกรธจัด ได้ยินเสียงดังป๊าบ นาทีนี้เขาได้หยิบอาวุธชิ้นหนึ่งออกมา
ขณะที่อาวุธชิ้นนี้ถูกหยิบขึ้นมา พลันปรากฏอานุภาพราชันที่ตลบอบอวล อานุภาพราชันแท้จริงแต่ละสายที่พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ทะลุเมฆาโดยตรงฉีกเมฆหมอกจนขาดกระจุย
“อาวุธราชัน! อาวุธของราชันแท้จริง!” ผู้คนจำนวนมากรู้สึกสั่นเทาในใจเมื่อรับรู้ถึงอานุภาพราชันแท้จริงแต่ละสายที่ปรากฏ ซึ่งเสมือนหนึ่งสามารถกดทับเหล่าชั้นฟ้าจนพังทลายลงได้อย่างนั้น
เวลานี้เห็นในมือทั้งสองของเฉินซูเหว่ยถือแส้ขนาดยาวเส้นหนึ่ง โดยที่แส้เส้นนี้มีขนาดที่ยาวมากๆ มันลากยาวไปซ้ายขวาสองข้างของเฉินซูเหว่ย แลดูคล้ายเป็นหนวดมังกรสองเส้นที่มีขนาดยาวและใหญ่อย่างนั้น
โดยเฉพาะกับการที่เฉินซูเหว่ยยืนอยู่ด้านหน้าสุด โดยมีกองกำลังอาชาสองสายที่คอยคุ้มกันเขา ทำให้ภาพที่ออกมาดูเหมือนตัวเขาดุจดั่งเป็นหัวมังกร ขณะที่แส้ยาวสองเส้นที่ถืออยู่ในมือทั้งสองคือหนวดมังกร ซึ่งทอดยาวไปจนถึงด้านหลังที่เป็นส่วนลำตัวของมังกร
ด้วยแส้ที่ทั้งยาวและใหญ่เช่นนี้ มันได้เปล่งอานุภาพราชันแท้จริงแต่ละสายออกมา ขณะที่อานุภาพราชันแท้จริงแต่ละสายที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าอย่างรุนแรง มันคล้ายดั่งเป็นกระบี่สวรรค์เล่มหนึ่งที่ผ่าเอาท้องฟ้าให้แยกออก อีกทั้งแส้ขนาดยาวเส้นนี้ได้ปรากฏกลิ่นอายที่ตลบอบอวล เหมือนเป็นกลิ่นอายของมังกรยักษ์
“อาวุธราชัน มันคืออาวุธอัศจรรย์นอกลัทธิเต๋าของราชันแท้จริง!” มีผู้ที่มองเห็นแส้ขนาดยาวในมือของเฉินซูเหว่ยแล้วถึงกับพึมพำขึ้นมา
“แส้หนวดมังกร!” ระดับผู้อาวุโสสำนักแห่งหนึ่งสามารถจดจำประวัติความเป็นมาของแส้ยาวได้ เมื่อมองเห็นมือทั้งสองของเฉินซูเหว่ยที่ถืออยู่ในมือ พึมพำออกมาว่า “นี่เป็นอาวุธที่เทพแท้จริงตระกูลเฉินอาศัยหนวดมังกรหลอมกลั่นจนสำเร็จขึ้นมา”
ในฐานะที่เป็นตระกูลขุนนางโบราณที่ทรงพลังมากที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ตระกูลเฉินแห่งกองกำลังซั่ง บรรพบุรุษพวกเขาเคยกำเนิดราชันแท้จริงองค์หนึ่ง
แส้หนวดมังกรก็คืออาวุธอัศจรรย์นอกลัทธิเต๋าในมือของเฉินซูเหว่ยซึ่งทิ้งไว้ให้โดยราชันแท้จริงของตระกูลเฉินพวกเขา ฟังว่าราชันแท้จริงตระกูลเฉินพวกเขาเคยสังหารมังกรยักษ์ตัวหนึ่ง และสุดท้ายได้อาศัยหนวดมังกรสองเส้นของมังกรยักษ์ตัวหนึ่งมาหลอมกลั่นจนกลายเป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง ซึ่งก็คือแสหนวดมังกรนั่นเอง
เวลานี้ ขณะที่มือทั้งสองถือแส้ขนาดยาวเอาไว้นั้น ได้ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกขนลุกในใจ ถึงกับบังเกิดความเคารพยำเกรงขึ้นมาอีกหลายส่วน
แม้จะกล่าวว่า กำลังความสามารถของเฉินซูเหว่ยจะอยู่ในระดับกษัตราแท้จริงขั้นต้นเท่านั้น แต่ทว่า ยามที่เขามีแส้หนวดมังกรที่ราชันแท้จริงซึ่งเป็นราชันแท้จริงทั้งเอาไว้ให้ ก็ได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
เมื่อได้ครอบครองอาวุธราชัน ย่อมเป็นการบ่งบอกว่าเฉินซูเหว่ยสามารถท้าสู้กษัตราแท้จริงขั้นสูงได้ กระทั่งมีโอกาสระดับหนึ่งไปท้าสู้ข้ามรุ่นโดยไปต่อสู้กับระดับปราชญ์แท้จริงที่ไม่มีอาวุธราชัน อาวุธที่ราชันแท้จริงเหลือเอาไว้ให้ รับประกันได้ว่ามีอานุภาพที่สุดยอดสยองขวัญอย่างแน่นอน
“นี่แหละคือธาตุแท้ภายใน” มีคนที่พูดด้วยความอิจฉา
ความจริงแล้วศิษย์ตระกูลขุนนางโบราณจำนวนไม่น้อย หากสามารถครอบครองอาวุธเทพแท้จริงสักชิ้นหนึ่งก็ยอดเยี่ยมมากแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงอาวุธราชันแท้จริงแล้ว!
…………………………………..