ในขณะนี้ ทุกคนถึงกับกลั้นลมหายใจเอาไว้ เมื่อมองเห็นศิษย์ของบ้านตระกูลเผิงจำนวนหลายพันคนที่ถือดาบและกระบี่ในมือและเปี่ยมด้วยกลิ่นอายของการฆ่า ขณะที่หลี่ชิเย่กลับยืนอยู่ด้านหน้าของค่ายทหารด้วยท่าทีสงบและเอ้อระเหย
“แหะ แหะ แหะหมดเวลาแล้ว เสียดาย เจ้าคิดจะขอร้องให้ละเว้นก็สายไปเสียแล้ว…” เผิงฉู่จวินที่มองเห็นหลี่ชิเย่ยืนอยู่ด้านหน้าค่ายและกล่าวน่าครั่นคร้ามออกมา
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะและพูดตัดบทเผิงฉู่จวินว่า “แค่มดปลวกตัวหนึ่งเท่านั้นเอง ถึงกับหาว่าข้ามาขอให้ละเว้น มันน่าขันคล้ายดั่งมดตัวหนึ่งที่พูดกับช้างว่า เจ้าคุกเข่าลงมาขอให้ข้าละเว้นเถอะ! เจ้าสำคัญตัวเองมากเกินไปแล้ว และสำคัญบ้านตระกูลเผิงมากเกินไปแล้วล่ะ”
“เจ้า…” เผิงฉู่จวินพลันโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ ถูกยั่วโมโหจนตัวสั่นเทาเมื่อได้ฟังคำพูดของหลี่ชิเย่แล้ว ถึงกับพูดอะไรไม่ออกในเวลานี้
“เสียดาย เจ้ายังไม่รู้เลยว่าได้ล่วงเกินใครเข้าให้แล้ว” หลี่ชิเย่พูดเฉยเมยขึ้นมาว่า “ข้าไม่เพียงจะฆ่าลูกชายของเจ้า วันนี้ยังจะฆ่าเจ้า กระทั่งเข่นฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด! ถ้าหากเจ้าฆ่าตัวตายในเวลานี้ ข้ายังพอจะละเว้นบ้านตระกูลเผิงของพวกเจ้า มิฉะนั้นล่ะก็ รอให้ข้าลงมือเมื่อไหร่ก็จะทำลายล้างบ้านตระกูลเผิงของพวกเจ้าเสีย เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้นมาอีกครั้ง ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจะไม่มีบ้านตระกูลเผิงอีกต่อไป!”
พลันที่หลี่ชิเย่พูดคำๆ นี้ออกมา ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างมองหน้ากันและกัน ทุกคนล้วนแล้วแต่รู้สึกว่าคำพูดของหลี่ชิเย่โอหังเกินไปแล้ว มีใครบ้างที่กล้าพูดว่าจะทำลายล้างบ้านตระกูลเผิงคำนี้ออกมา ยังไม่ต้องพูดถึงว่าตัวของบ้านตระกูลเผิงเองนั้นมีความกล้าแข็งเพียงใด ลำพังแค่บ้านตระกูลเผิงพึ่งพาอยู่กับตระกูลเฉิน อิงแอบอยู่กับกองกำลังซั่ง ก็มีไม่กี่คนที่หาญกล้าบอกว่าจะทำลายล้างบ้านตระกูลเผิงแล้ว แต่ทว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับบอกว่าจะทำลายล้างบ้านตระกูลเผิง! คำพูดคำนี้ที่พูดออกมาออกจะยโสเกินไปแล้วกระมัง!
“ดี ดี ดี!” เผิงฉู่จวินโกรธจัดจนต้องหัวเราะออกมา หัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “เจ้าหนูตระกูลหลี่ ข้านี่แหละอยากจะดูว่าเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน วันนี้ข้าไม่เพียงต้องฆ่าเจ้าด้วยมือของข้าเอง ยังจะจับคนข้างกายแต่ละคนของเจ้ามาเชือดต่อหน้าเจ้าทีละคนๆ ! ล้อมมันเอาไว้!” กล่าวพลางสะบัดมือออกไป
ตึง ตึง ตึงทันใดนั้นเอง ศิษย์อันเกรียงไกรที่กรูกันออกมาจากค่ายของบ้านตระกูลเผิงพลันทำการปิดล้อมหลี่ชิเย่เอาไว้ ตั้งเป็นขบวนการต่อสู้ขึ้นในทันที โล่ขนาดใหญ่แต่ละอันดั่งผนังทองแดงกำแพงเหล็กอย่างนั้น ทำการล้อมหลี่ชิเย่เอาไว้อย่างหนาแน่น ด้านล่างของโล่ขนาดใหญ่ก็จะเป็นมีดดาบแหลมคมแต่ละเล่มที่ไขว้กัน ใครที่เข้าใกล้ก็จะถูกทิ่มแทงทะลุหัวใจทันที!
บรรดาศิษย์อันเกรียงไกรของบ้านตระกูลเผิงเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ผ่านสมรภูมิรบมาแล้ว ล้วนแล้วแต่เป็นยอดฝีมือที่ผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาแล้ว ไม่มีผู้อ่อนแอแม้แต่คนเดียว ดังนั้น เมื่อพวกเขาได้อาศัยรูปแบบขบวนการต่อสู้เช่นนี้มาทำการล้อมหลี่ชิเย่เอาไว้นั้น พลันบังเกิดปณิธานการฆ่าที่น่าสยดสยองตลบอบอวลขึ้นมา ท่ามกลางปณิธานการฆ่านี้เสมือนหนึ่งทำให้ผู้คนสามารถสูดดมกลิ่นคาวเลือดได้อย่างนั้น
ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้เมื่อได้มองเห็นภาพนี้ ทุกคนต่างได้กลิ่นคาวเลือดมาแตะจมูก ย่อมไม่ต้องสงสัยว่า การที่เผิงฉู่จวินทำเช่นนี้เป็นการสยบจิตใจผู้คนมากเหลือเกิน ด้วยการจับคนข้างกายของศัตรูมาแล่เอาเนื้อออกมาทีละชิ้นๆ ต่อหน้า ยามที่ศัตรูไม่สามารถเข้าช่วยเหลือได้นั้น ก็จะส่งผลให้ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนัก ขณะเดียวกันภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ มักจะทำให้ศัตรูไม่กล้าลงมือด้วยความพะวงอยู่เสมอๆ
ย่อมไม่ต้องสงสัย ในเวลานี้เผิงฉู่จวินอยู่ในฐานะเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด หลี่ชิเย่สามารถเอาชีวิตรอดจากสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้ได้หรือไม่ยังเป็นปริศนาอยู่
“ฆ่า…” เวลานี้ จากเสียงทุ้มต่ำที่ร้องออกมา ทันใดนั้นกองกำลังอันเกรียงไกรของบ้านตระกูลเผิงที่ปิดล้อมหลี่ชิเย่เอาไว้ได้ทิ้งตัวกลิ้งกับพื้นไปข้างหน้า เสียงดังดั่งฟ้าผ่า ได้ยินเสียงตึง ตึง ตึงดังขึ้น มองเห็นประกายเยือกเย็นที่แวบวับ เงาดาบดั่งคลื่นที่ไม่ขาดสาย ทันใดนั้นมีดดาบจำนวนนับไม่ถ้วนได้ฟันเข้าหาหลี่ชิเย่ โดยที่มีดดาบทั้งหมดเหมือนดั่งผุดขึ้นมาจากใต้พื้นดินอย่างนั้น ต้องการแยกร่างของหลี่ชิเย่ออกเป็นชิ้นๆ
“แหะได้เวลาที่ข้าจะเฉือนเอาเนื้อออกมาได้แล้ว…” เวลานี้มือเพชฌฆาตยืนอยู่ตรงหน้าหยางเซิ่นผิง และหัวเราะน่าครั่นคร้ามขึ้นมา
ตึง…มองเห็นเงาดาบที่ลากเป็นหางยาว เงาดาบแต่ละเล่มที่ไขว้กันพลันล็อคเป้าหมายอยู่ที่ตัวของหลี่ชิเย่ ต้องการสับร่างหลี่ชิเย่เป็นพันเป็นหมื่นชิ้น ต้องการแยกร่างของหลี่ชิเย่ออกเป็นชิ้นๆ
“แค่มดปลวกฝูงหนึ่งเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่เพียงหัวเราะทีหนึ่งกับเงาดาบที่ไขว้กันเข้ามาเพื่อสังหารเขา ร่างกายของเขาได้สั่นสะเทือนทีหนึ่ง ทันใดนั้นเอง ใต้เท้าของหลี่ชิเย่เสมือนดั่งเกิดเป็นพายุขึ้นมา และพื้นพสุธาได้เกิดการสั่นสะเทือนตามมาทีหนึ่ง
ตูม…เสียงหนึ่งดังขึ้นมา เหมือนว่ามีอะไรบางอย่างพุ่งชนอย่างนั้น แต่ก็คล้ายดั่งมีกองทัพหมื่นพันที่วิ่งฮ้อขึ้นมากะทันหัน ทุกคนรู้สึกนัยน์ตาทั้งสองพร่ามัว ล้วนแล้วแต่ไม่ทันได้เห็นท่วงท่าของหลี่ชิเย่ได้อย่างชัดเจน
“ลงมีดจากจุดไหนก่อนดีล่ะ แหะ อย่าหาว่าค่าใจดำอำมหิตก็แล้วกัน” เวลานี้เพชฌฆาตที่อยู่บนเวทีได้ใช้มีดแหลมคมที่อยู่ในมือกวัดแกว่งอยู่ตรงหน้าอกของหยางเซิ่นผิง อดที่จะกล่าวด้วยความลำพองใจไม่ได้ แต่ว่าเขาพูดยังไม่ทันจบก็ต้องหยุดกึกลงกะทันหัน
เสียงปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เองเสียงพุ่งชนจึงได้ดังก้องอยู่ข้างหูของทุกคน ในขณะนี้ความเร็วของหลี่ชิเย่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง
ทุกคนได้มองเห็นภาพที่น่าตกใจระคนกับความแปลกใจอย่างยิ่ง บรรดาศิษย์อันเกรียงไกรของบ้านตระกูลเผิงแต่ละคนที่เดิมได้ปิดล้อมหลี่ชิเย่เอาไว้นั้น ทันใดนั้นพวกเขาถูกพุ่งชนจนลอยขึ้นไปสูงมาก ดาบยาว โล่ขนาดใหญ่ในมือของพวกเขา และเสื้อเกราะที่สวมใส่แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ จังหวะเดียวกันกับที่เสื้อเกราะแตกละเอียดเป็นชิ้นๆ นั้น ทุกคนเหมือนได้ยินเสียงดังคร๊ากกที่เป็นเสียงกระดูกแตกละเอียดดังขึ้น ฉับพลันนั้นเอง เหมือนว่ามีอะไรบางสิ่งที่ได้พุ่งทะลุผ่านร่างกายของพวกเขาไป
มันหาใช่สิ่งของที่แหลมคมพุ่งทะลุผ่านร่างกายของพวกเขา แต่ประดุจดั่งเป็นพลังอะไรบางอย่างที่มีขนาดยักษ์ที่พุ่งชนผ่านไป ทำให้ร่างกายของพวกเขาแหลกเหลวไปทั่วทั้งตัว กระดูกเส้นเอ็นทั้งหมดล้วนแล้วแต่แหลกละเอียด ร่างกายของพวกเขาทุกคนล้วนแล้วแต่ถูกพุ่งชนจนกระเด็นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าที่สูงมากๆ
มองเห็นกองกำลังอันเกรียงไกรของบ้านตระกูลเผิงแต่ละคนที่ถูกพุ่งชนจนลอยสูงขึ้นไปบนอากาศพร้อมๆ กัน เห็นเลือดสดๆ ที่สาดกระเซ็นคล้ายดั่งดอกไม้บานอย่างนั้น และเวลาเหมือนถูกหยุดเอาไว้ในชั่วพริบตาเดียวนั้น เลือดสดๆ ที่สาดกระเซ็นคล้ายดอกไม้ที่เบ่งบานเต็มที่ แลดูอลังการยิ่งนัก
ขณะที่เสียงพูดของเพชฌฆาตที่หยุดลงกลางคันนั้น เนื่องจากมีมือขนาดใหญ่ได้เค้นคอของเขาเอาไว้โดยพลัน และร่างของเขาก็ถูกยกสูงขึ้นไป ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืนสักนิดเดียว
“ช่วยด้วย…” การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ทำเอาเพชฌฆาตตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง แต่ทว่า ทุกอย่างมันสายเกินไปเสียแล้ว
ได้ยินเสียงดังคร๊ากก เพชฌฆาตผู้นี้เพิ่งจะส่งเสียงร้องออกมาก็ถูกมือขนาดใหญ่จับบิดจนคอหัก ดวงตาทั้งสองของเขาเบิกโพลง
ปัง ปัง ปัง…ดังขึ้นเป็นระลอก ในเวลานี้เอง กองกำลังอันเกรียงไกรแต่ละคนของบ้านตระกูลเผิงที่ถูกพุ่งชนจนลอยขึ้นไปกลางอากาศเพิ่งจะร่วงหล่นลงมา และกระแทกเข้ากับพื้นดินอย่างแรง
กองกำลังอันเกรียงไกรจำนวนหลายร้อยคนของบ้านตระกูลเผิงที่ถูกพุ่งชนจนตัวลอย เมื่อตกลงมาถึงพื้นดินก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอีกต่อไป สภาพของพวกเขาคล้ายดั่งเป็นขึ้โคลนที่กองอยู่บนพื้น แม้ว่าดูไปแล้วเหมือนไม่มีอาการบาดเจ็บของร่างกาย แต่ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขาถูกพุ่งชนจนแหลกเหลวไปทั้งร่าง เส้นเอ็นกระดูกอวัยวะภายในทั้งหมดถูกพุ่งชนจนแหลกละเอียด
เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลรินออกมา กองกำลังอันเกรียงไกรของบ้านตระกูลเผิงหลายร้อยคนล้วนแล้วแต่มีดวงตาทั้งสองที่เบิกโพลง รู้สึกว่ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ พวกเขากระทั่งตายก็มองเห็นไม่ชัดเจนว่าเป็นสิ่งใดที่พุ่งชนร่างของตนเอง พวกเขาเพียงรู้สึกว่ามีพลังที่แข็งแกร่งปราศจากสิ่งเทียบเทียมสายหนึ่งที่ทะลุผ่านร่างกายของพวกเขาโดยพลัน ดุจดั่งเป็นมนุษย์ล่องหนคนหนึ่งที่สามารถวิ่งทะลุผ่านร่างของพวกเขาอย่างนั้น
เลือดสดๆ ค่อยๆ ไหลรินอย่างช้าๆ กลิ่นคาวเลือดได้ตลบอบอวลอยู่ปลายจมูกของทุกๆ คน
“พลังพาลบ้าระห่ำ…” ระดับบรรพบุรุษที่มาจากตระกูลขุนนางโบราณตระกูลหนึ่งเมื่อมองเห็นภาพของกองกำลังอันเกรียงไกรจำนวนหลายร้อยคนของบ้านตระกูลเผิงตายอย่างอนาถแล้ว ถึงกับเสียวสันหลังวาบร้องออกมาด้วยความตระหนก และสามารถบอกถึงประวัติความเป็นมาของเคล็ดวิชานี้ออกมาได้
‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ ผู้คนจำนวนมากถึงกับเสียวสันหลังวาบ และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองหน้ากันและกัน และจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่
เนื่องจากมันคือหนึ่งในเคล็ดวิชาที่ผู้เฒ่ากำแหง ปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ทิ้งเอาไว้ มันถูกดูแลควบคุมโดยขั้วอำนาจใหญ่ไม่กี่แห่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมาโดยตลอด เป็นไปไม่ได้เลยที่สำนักหรือตระกูลขุนนางโบราณอื่นๆ คิดจะฝึกเคล็ดวิชานี้
เวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองไปที่หลี่ชิเย่ ทุกคนล้วนแล้วแต่คาดเดากันว่าหลี่ชิเย่คนนี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไรกันแน่ กล่าวได้ว่า ในยุคปัจจุบันของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ผู้ที่ได้ครอบครองเคล็ดลับ ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ มีเพียงขั้วอำนาจไม่กี่ขั้วอำนาจเท่านั้นเอง ได้แก่กองกำลังซั่ง หอศักดิ์สิทธิ์ ค่ายฉู่ และจวนหวังพวกเขาไม่กี่สายเท่านั้นเอง
ซี๋วจื้อเจี๋ย และเฉินซูเหว่ยพวกเขาที่เป็นยอดฝีมือมาจากหอศักดิ์สิทธิ์ และกองกำลังซั่ง กระทั่งระดับบรรพบุรุษต่างมีสีหน้าที่แปรเปลี่ยนไป เนื่องจากหลี่ชิเย่ไม่ใช่ศิษย์ของพวกเขาอย่างแน่นอน และเป็นไปไม่ได้ที่หลี่ชิเย่จะได้ฝึกวิชา ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ จากตระกูลหรือสำนักของพวกเขาอย่างเด็ดขาด ถ้าเช่นนั้นแล้ว มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นก็คือมาจากจวนหวังเท่านั้น!
แรกเริ่มเดิมที ทั้งซี๋วจื้อเจี๋ย และเฉินซูเหว่ยพวกเขาต่างเข้าใจว่าหลี่ชิเย่คือบุคคลภายนอก ไม่นึกไม่ฝันว่าเวลานี้หลี่ชิเย่ถึงกับเป็นศิษย์ของจวนหวัง และขณะเดียวกันพวกเขาได้นึกถึงเรื่องๆ หนึ่ง จวนหวังจะผลักดันให้มีบุคคลใหม่เข้าร่วมกันแย่งชิงตำแหน่งกษัตริย์ ถ้าเช่นนั้นแล้ว มีความเป็นไปได้สูงมากอาจเป็นหลี่ชิเย่ที่อยู่ตรงหน้าแล้ว!
“ออกจะไม่ชอบมาพากล ไม่ชอบมาพากล” หานฟงผู้ซึ่งมาจากศาลบรรพชนโบราณได้เฝ้าสังเกตหลี่ชิเย่มาโดยตลอด เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่พลันอาศัย ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ พุ่งชนและสังหารยอดฝีมือผู้เกรียงไกรจำนวนหลายร้อยคนแล้ว สีหน้าของเขาได้แปรเปลี่ยนไปและพึมพำออกมา
เนื่องจากเขารู้สึกได้ว่า ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ ของหลี่ชิเย่ไม่ได้เป็นพลังที่ออกมาจากตัวของหลี่ชิเย่ หรือก็คือพลังดังกล่าวไม่ได้มาจากตัวของหลี่ชิเย่เอง
ถ้าหากอยู่ท่ามกลางผืนแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แล้วพลังไม่ได้มาจากตัวของบุคคลนั้นเองล่ะก็ เช่นนั้นแล้วหนึ่งเดียวที่เป็นไปได้ก็คือมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง มาจากพลังระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่อยู่ใต้พื้นดิน เป็นพลังจากแห่งกำเนิดสัจธรรม
จะอย่างไรเสีย ในฐานะที่เป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงคนหนึ่ง เมื่อได้ฝึกฝนจนกล้าแข็งได้ในระดับหนึ่งหนึ่งแล้ว ก็สามารถควบคุมพลังสัจธรรมที่มาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิได้ กระทั่งสามารถหยิบยืมพลังที่น่าเกรงขามปราศจากผู้ต่อกรจากแหล่งต้นกำเนิดสัจธรรมได้
แต่ว่า สิ่งนี้กล่าวสำหรับยอดฝีมือจำนวนมากแล้ว ต่อให้เป็นระดับเทพแท้จริงก็สามารถหยิบยืมและควบคุมพลังจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิมาได้เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง
ในสายตาของหานฟงมองว่า ดูเหมือนมันหาใช่เป็นเช่นนั้น เหมือนว่าหลี่ชิเย่ไม่ใด้อาศัยพลังของตนเองแม้แต่น้อยนิด ทั้งหมดคือพลังที่หยิบยืมมาจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิทั้งสิ้น
หานฟงรู้สึกว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผู้ที่สามารถหยิบยืมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิมาใช้โดยสิ้นเชิง และควบคุมพลังจากแหล่งต้นกำเนิดสัจธรรมได้มีเพียงสองคนเท่านั้น หนึ่งคือปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ และหรือสองก็คือชนรุ่นหลังผู้ที่ก้าวขึ้นสู่ระดับสูงสุดของราชันแท้จริง
ย่อมไม่ต้องสงสัย ชายหนุ่มผู้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่ปฐมบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง และไม่ใช่ราชันแท้จริงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่สามารถหยิบยืมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิมาใช้ได้อย่างสิ้นเชิงเล่า
ดังนั้น หานฟงจึงมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างยิ่ง แต่ทว่า มันไม่ชอบมาพากลตรงไหนนั้น เขาก็ไม่สามารถพูดได้ถูกต้อง สรุปก็คือมันแปลกประหลาดยิ่งนัก
ที่หลี่ชิเย่ใช้นั้นก็คือ ‘พลังพาลบ้าระห่ำ’ ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนั่นเอง อีกทั้งเป็นไปเหมือนดั่งที่หานฟงมองเห็นอย่างนั้นจริงๆ เขาไม่ได้อาศัยพลังของตนเองเลยแม้แต่น้อยนิด แต่เป็นการควบคุมบังคับพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยตรง ควบคุมพลังจากแหล่งต้นกำเนิดสัจธรรม
สมควรทราบว่า หลี่ชิเย่ได้ควบคุมกฎเกณฑ์ทุกสิ่งของผู้เฒ่ากำแหงเอาไว้ หากเขาคิดจะควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล่ะก็ เป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
………………………..