สีหน้าของปราชญ์ภูผาพิโรธพลันเปลี่ยนไป เมื่อมีการเอ่ยถึงเรื่องชั่วร้ายครั้งนั้นในอดีต เขาก็ปั้นหน้าและกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “พี่เหลยเป้าอย่าลืมไปสิ หากจะเอ่ยถึงเรื่องราวในครั้งนั้น หอศักดิ์สิทธิ์ของพวกเจ้าก็ไม่เห็นจะดีไปกว่าตรงไหน พวกเจ้าได้มอบคนออกมาจำนวนเท่าไร ในทางลับพวกเจ้าก็ได้ทำเรื่องไม่ชอบมาพากลที่ไม่สามารถเปิดเผยไปมากน้อยเท่าไร”
เวลานี้ ทั้งปราชญ์ภูผาพิโรธและเทพฟ้าคะนองต่างฝ่ายต่างก็แฉเรื่องราวที่เปิดเผยไม่ได้ของกองกำลังซั่งและหอศักดิ์สิทธิ์ ต่างฝ่ายต่างแกะแผลของอีกฝ่าย และไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
ก่อนหน้านั้น ทั้งหอศักดิ์สิทธิ์และกองกำลังซั่งเพิ่งจะร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับหลี่ชิเย่ แต่ทว่า เวลานี้พวกเขากลับต่างฝ่ายต่างแกะแผลของอีกฝ่ายขึ้นมา
ความจริงแล้วเรื่องลักษณะเช่นนี้ก็เข้าใจได้ไม่ยาก เมื่อต้องเผชิญกับทวนราชันขวางตี้ที่เป็นอาวุธปฐมบรรพบุรุษแล้ว ใครบ้างล่ะที่ไม่รู้สึกใจเต้นตูมตามกันเล่า อย่าว่าแต่การแตกคอกันระหว่างสำนักด้วยกันเลย เพื่อทวนราชันขวางตี้ที่เป็นอาวุธปฐมบรรพบุรุษลักษณะเช่นนี้แล้ว แม้แต่พ่อลูกแตกคอกันก็เป็นเรื่องที่ปรกติมาก ไม่เห็นจะเป็นเรื่องที่ควรไปตกใจระคนกับแปลกใจอะไรนัก
“อย่างนั้นรึ?” เทพฟ้าคะนองส่งเสียงฮึอย่างดูแคลน กล่าวเย้ยหยันขึ้นมาว่า “ในเมื่อไม่พูดถึงอดีต เช่นนั้นแล้วก็พูดถึงปัจจุบันก็แล้วกัน กองกำลังซั่งของพวกท่านเวลานี้ได้ทำเรื่องที่ไม่สามารถเปิดเผยอะไรบ้างล่ะ อย่านึกนะว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าเร็วๆ นี้พวกท่านได้ทำอะไรลับๆ มาบ้าง หากไม่ต้องการให้คนอื่นรู้ เว้นแต่จะไม่ทำ”
เวลานี้ ทั้งเทพฟ้าคะนองกับปราชญ์ภูผาพิโรธสองคนต่างฝ่ายต่างโจมตีซึ่งกันและกัน จะเป็นหอศักดิ์สิทธิ์ก็ดี กองกำลังซั่งก็ช่าง พวกเขาต่างคิดจะฮุบเอาทวนราชันขวางตี้เล่มนี้เอาไว้คนเดียว
แน่นอน สำหรับบรรดาระดับบรรพบุรุษของสำนักและตระกูลขุนนางโบราณต่างๆ จำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ ย่อมยินดีที่ได้เห็นกองกำลังซั่งและหอศักดิ์สิทธิ์สองฝ่ายกัดกันเอง ถ้าหากหอศักดิ์สิทธิ์และกองกำลังซั่งสองฝ่ายต่างเข่นฆ่าซึ่งกันและกันล่ะก็ ไม่แน่นักพวกเขายังอาจสามารถเป็นตาอยู่ได้ ถึงเวลานั้นก็จะได้รับผลประโยชน์และยึดเอาทวนราชันขวางตี้มาเป็นของตนได้
“ดี พูดได้ดี พูดได้ดีมาก” ขณะที่เทพฟ้าคะนองกับปราชญ์ภูผาพิโรธต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลงให้แก่กันอยู่นั้น ในเวลานี้เองปรากฏเสียงปรบมือดังขึ้นเป็นระลอก คนผู้หนึ่งหัวเราะเสียงดังและกล่าวว่า “พวกเจ้าต่างฝ่ายต่างกัดกันเองนับว่าคึกครื้น และน่าดูชมดีเหลือเกิน แต่ว่า ข้าไม่อาจไม่มาขัดจังหวะพวกเจ้าแล้วล่ะ”
ตรีเทพแห่งหอศักดิ์สิทธิ์ และสี่ปราชญ์แห่งกองกำลังซั่งต่างหันหลังกลับไปทันทีเมื่อได้ยินเสียงนี้ แววตาทีสามารถสังหารคนได้นั้นมองไปยังต้นเสียงทันที
แน่นอนที่สุด ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คงมีเพียงหลี่ชิเย่เท่านั้นที่กล้าพูดจาเช่นนี้อย่างชนิดที่เรียกว่ากำเริบเสิบสานต่อพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธที่เป็นเทพแท้จริงทั้งเจ็ด
เวลานี้ พวกของปราชญ์ภูผาพิโรธ และเทพฟ้าคะนองต่างรุ้สึกสะท้านในใจ พวกเขาถูกทวนราชันขวางตี้ครอบงำจิตใจไปชั่วขณะ เกือบจะลืมไปแล้วว่ายังมีศัตรูเฉกเช่นหลี่ชิเย่อยู่อีกคนหนึ่ง
“ขอโทษทีที่มาขัดพวกเจ้า” หลี่ชิเย่มองดูพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธและกล่าวด้วยท่าทียิ้มแต้ว่า “ข้าบอกได้แต่เพียงว่าเสียใจด้วยที่ทำลายความฝันของพวกเจ้า จะเป็นหอศักดิ์สิทธิ์อะไรก็ดี หรือกองกำลังซั่งอะไรก็ช่าง พวกเจ้าล้วนแล้วแต่กำลังเพ้อฝันกันอยู่ ทวนราชันขวางตี้ที่อยู่ตรงหน้าพวกเจ้ายังไม่มีโอกาสได้ครอบครอง ทวนราชันขวางตี้เล่มนี้ข้าพูดแล้วคนอื่นต้องทำตาม”
คำพูดของหลี่ชิเย่เป็นการไม่ไว้หน้าให้กับหอศักดิ์สิทธิ์แลพกองกำลังซั่งโดยตรง เป็นการตบหน้าพวกเขาหนึ่งฉาดใหญ่
ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองตากันและกัน สำหรับคำพูดที่อันธพาลเช่นนี้ของหลี่ชิเย่นั้นทุกคนเกือบจะชินชากันแล้ว แน่นอน เวลานี้ทุกคนต่างจ้องมองไปยังหลี่ชิเย่กับพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธที่เป็นเทพแท้จริงทั้งเจ็ด
นาทีนี้ไม่ว่าจะเป็นสำนักใด และหรือตระกูลขุนนางโบราณใดๆ ก็ตาม พลันกระหายเป็นพิเศษให้หลี่ชิเย่กับพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธที่เป็นเทพแท้จริงทั้งเจ็ดสู้กันสักครั้ง
ถ้าหากหลี่ชิเย่กับพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธที่เป็นเทพแท้จริงทั้งเจ็ดต่อสู้กันขึ้นจริงๆ พวกเขาก็จะไม่สามารถไปสนใจทวนราชันขวางตี้ได้ในเวลาเดียวกัน เมื่อถึงตอนนั้นมิเท่ากับพวกเขาจะได้เปรียบ สามารถฉวยโอกาสที่หาได้ยากยิ่งนี้แย่งชิงเอาทวนราชันขวางตี้มา
“พูดจากโอ้อวดไร้ยางอาย…” ปราชญ์ภูผาพิโรธส่งเสียงฮึแสดงความไม่พอใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ กล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า “นับคุณสมบัติและอาวุโสแล้ว ที่ตรงนี้ไม่เปิดโอกาสให้เจ้ามาพูดถึงว่าทวนราชันขวางตี้จะเป็นของใคร”
“ถูกต้อง” เวลานี้เทพฟ้าคะนองก็พูดน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “ทวนราชันขวางตี้เป็นของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ใครก็ตามที่มีประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจนล้วนแล้วแต่ไม่มีสิทธิ์ได้ครอบครอง หากกล้าแตะต้องเท่ากับเป็นศัตรูกับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมด ฆ่าไม่มีละเว้น”
“ทวนราชันขวางตี้จะต้องสืบทอดโดยสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงเท่านั้น คนอื่นไม่มีสิทธิ์” ยิ่งปราชญ์ภูผาพิโรธด้วยแล้วได้ออกปากเตือนน่าเกรงขามว่า “โดยเฉพาะเจ้า ผู้เยาว์ประเภทมีที่มาที่ไปไม่ชัดเจน! ยิ่งไม่มีสิทธิ์แตะต้อง!”
“ใครว่าคุณชายหลี่ไม่มีสิทธิ์?” ในเวลานี้เอง เสียงที่เยือกเย็นเสียงหนึ่งดังขึ้นมา เสียงนี้ไพเราะน่าฟังเป็นพิเศษ เปี่ยมด้วยเสน่ห์ยิ่งนัก
ในเวลานี้เอง ได้ยินเสียงตูม ตูม ตูมดังขึ้น มองเห็นกองทัพหนึ่งที่วิ่งฮ้อเข้ามา กองทัพนี้เปี่ยมด้วยกลิ่นอายของความเป็นกษัตริย์รุนแรง เป็นกองทัพพยัคฆ์ที่วิ่งฮ้อเข้ามาอย่างรวดเร็ว มีท่าทีที่เกรียงไกรไปทั่วหล้า
ยามที่กองทัพนี้ได้ปรากฏแก่สายตาของทุกๆ คน มองเห็นรถกษัตริย์มีสตรีผู้หนึ่งนั่งอยู่ สตรีผู้นี้สวมใส่ชุดเซียนทั้งชุด งดงามปราศจากผู้เทียบเทียมในหล้า ข้างกายของนางมีตราพระราชลัญจกรที่เป็นสิ่งแทนอำนาจวางอยู่ สตรีผู้นี้หาใช่ใครอื่น คือหวังหาน ราชินีของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนั่นเอง
ด้านข้างรถกษัตริย์มีผู้เฒ่าผู้หนึ่งยืนกอดดาบอยู่ผู้หนึ่ง ปรากฎประกายดาบที่น่ากลัวแผ่กระจาออกมาจากทั่วร่างของผู้เฒ่าผู้นี้ เสมือนหนึ่งร่างกายของเขากับดาบยาวที่อยู่ในอ้อมอกของเขาได้หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกัน
“กองทัพอาชาจวนหวัง…” ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกหวั่นไหวในใจ เมื่อมองเห็นกองทัพนี้แล้ว และรู้แล้วว่าใครมา เพราะว่ากองทัพอาชานี้เป็นกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของจวนหวัง ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่ขั้วอำนาจใหญ่ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
“พระนาง…” บรรดาผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างทยอยกันก้มลงกราบ เมื่อเห็นตราพระราชลัญจกรที่วางอยู่ข้างกายของราชินีหวังหาน จะอย่างไรเสียก่อนที่กษัตริย์องค์ใหม่จะได้รับการสถาปนาขึ้น ราชินีหวังหานที่ครองตราพระราชลัญจกรอยู่ก็คือตัวแทนที่เป็นสายตรงของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง นางคือตัวแทนอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ดังนั้น ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ขอเพียงเป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่ว่าจะมีชาติกำเนิดมาจากสำนักใดๆ ก็ต้องคุกเข่าลงเฝ้านาง
คงมีเพียงผู้ยิ่งใหญ่ระดับบรรพบุรุษ และหรือเทพแท้จริงที่ไม่จำเป็นต้องไปคุกเข่าให้กับราชินีหวังหาน เป็นต้นว่าพวกของปราชญ์ภูผาพิโรธพวกเขาสามารถยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น
“เทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตง!” แม้แต่ระดับบรรพบุรุษที่กล้าแข็งเฉกเช่นปราชญ์ภูผาพิโรธ และเทพฟ้าคะนองยังคงมีม่านตาที่หรี่ลง และกล่าวด้วยความตกใจ เมื่อมองเห็นผู้เฒ่าที่ยืนกอดดาบอยู่ข้างรถกษัตริย์ของราชินีหวังหานผู้นั้น
ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อ ‘เทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตง’ ต่างจ้องมองไปที่ผู้เฒ่าผู้นี้ด้วยความตระหนก
ผู้คนจำนวนมากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงล้วนแล้วแต่เคยได้ยินชื่อของเทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงชื่อนี้มาก่อน เทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงถูกยกย่องว่าเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของจวนหวัง เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นสูง
แม้ว่าเทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงกับปราชญ์ภูผาพิโรธและเทพฟ้าคะนองต่างก็อยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นสูงเช่นเดียวกัน แต่ทว่า เทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงกลับแข็งแกร่งมากกว่าปราชญ์ภูผาพิโรธและเทพฟ้าคะนองมากทีเดียว เนื่องจากทั้งปราชญ์ภูผาพิโรธกับเทพฟ้าคะนองล้วนแล้วแต่เคยพ่ายแพ้ให้กับเขามาแล้ว พวกเขาต่างเคยปะมือกับเทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงมาแต่ก็สู้ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ เทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงจึงได้รับฉายาว่ายอดฝีมืออันดับหนึ่งของจวนหวัง
การปรากฏตัวของราชินีหวังหานที่ตรงนี้ ทั้งยังมีเทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงให้การคุ้มกันด้วยตนเอง นาทีนี้ยอดฝีมือทั้งหอศักดิ์สิทธิ์ และกองกำลังซั่งต่างเข้าใจได้ว่าเหตุการณ์ในจวนหวังได้สงบลงแล้ว และหวังหานเป็นผู้กำชัยในครั้งนี้
ก่อนหน้านั้นมีข่าวที่แพร่ออกมาว่า ภายในจวนหวังเกิดการแก่งแย่งขึ้นภายใน ระดับบรรพบุรุษของจวนหวังคิดจะเสนอผู้ที่มีศักยภาพกว่ามาแทนที่หวังหานเพื่อขึ้นครองบัลลังก์กษัตริย์ และด้วยเหตุนี้เอง หวังหานจึงถูกระดับบรรพบุรุษรุ่นบุกเบิกตำหนิ กระทั่งเผชิญกับการถูกปลดออกจากตำแหน่ง
แต่ทว่า เวลานี้หวังหานได้มาปรากฏตัวที่ตรงนี้ ทั้งยังมียอดฝีมืออันดับหนึ่งอย่างเทพดาบเดือดซี๋วเฮ่าตงเป็นองครักษ์ด้วยตนเอง ย่อมบ่งชีว่าศึกแย่งชิงภายในนั้นหวังหานเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ นางสามารถรวบรวมกำลังทั้งหมดของจวนหวัง ให้ทุกระดับชั้นในจวนหวังให้การสนับสนุนนางเป็นเอกฉันท์ ทำให้นางสามารถปรากฎตัวในรูปแบบใหม่ทั้งหมดท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจในครั้งนี้
“นับว่ายอดเยี่ยมจริงๆ มิน่าเล่าจึงสามารถควบคุมสถานการณ์โดยรวมของจวนหวังได้” ระดับบรรพบุรุษของตระกูลขุนนางโบราณเมื่อเห็นราชินีเสด็จด้วยพระองค์เอง ถึงกับพึมพำขึ้นมา
แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาราชินีหวังหานทำตัวค่อมต่ำไม่ค่อยจะปรากฏตัว แต่ผู้ที่รับรู้ถึงเบื้องหลังอย่างแท้จริงก็จะเข้าใจได้ ราชินีหวังหานไม่ได้ด้อยไปกว่ากษัตริย์แม้แต่นิดเดียว
สมควรทราบว่า ตัวของกษัตริย์ในครั้งนั้นคือผู้ที่เป็นบุคคลภายนอกแล้วแต่งเข้าจวนหวัง เจ้าหนูที่มาจากตระกูลอื่นแล้วได้รับการยอมรับสนับสนุนจากเหล่าระดับบรรพบุรุษ ทั้งยังขึ้นนั่งบัลลังก์กษัตริย์ได้นั้น ช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเหลืออะไรอย่างนั้น? และเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมาก
สิ่งนี้นอกเหนือจากตัวของกษัตริย์เองที่มีสติปัญญาและกำลังความสามารถที่แข็งแกร่งเหนือผู้คนแล้ว เบื้องหลังของเขาก็เป็นเพราะมีราชินีหวังหานที่คอยให้การสนับสนุน โดยหวังหานได้รวบรวมกำลังทุกระดับชั้นภายในจวนหวังให้การสนับสนุนเขาที่เป็นกษัตริย์อย่างเต็มที่ จึงส่งผลให้กษัตริย์สามารถนั่งบนบัลลังก์กษัตริย์ได้อย่างมั่นคงภายใต้การสอดส่องของขั้วอำนาจใหญ่อื่นๆ อีกสามขั้ว
มิฉะนั้นแล้ว หากไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากราชินีหวังหานล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่กษัตริย์นอกตระกูลจะสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งได้นาน
การปรากฏตัวของราชินีหวังหาน ทำให้บรรดาระดับบรรพบุรุษบางส่วนสามารถเข้าใจได้ว่า การแย่งชิงอำนาจการปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงของสี่ขั้วอำนาจใหญ่ได้เข้าสู่จุดสูงสุดแล้ว อีกทั้ง จวนหวังที่อยู่ท่ามกลางการสอดส่องของกองกำลังซั่งและหอศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เห็นจะเสียเปรียบตรงไหน!
ปังเสียงหนึ่งดังขึ้น เวลานี้ปรากฏเก้าอี้มังกรตัวหนึ่งถูกยกออกมาวาง มองเห็นภาพของราชินีหวังหานที่เสด็จมาด้วยตนเอง และแสดงความเคารพด้วยการก้มกราบอย่างเคารพนอบน้อม
“คุณชาย เชิญนั่ง” เวลานี้ราชินีหวังหานได้ประคองหลี่ชิเย่ขึ้นนั่งบนเก้าอี้มังกรด้วยตนเอง
ครั้นหลี่ชิเย่ได้นั่งลงบนเก้าอี้มังกรแล้ว ทำให้ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดต่างรู้สึกตระหนก สมควรทราบว่า เก้าอี้มังกรใช่ว่าใครก็สามารถนั่งได้ มันคือตัวแทนอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เวลานี้หวังหานในฐานะที่เป็นราชินี ในมือมีพระราชลัญจกรถึงกับประคองหลี่ชิเย่ขึ้นนั่งบัลลังก์ ย่อมมีความหมายที่ไม่เหมือนกันแล้ว
“หรือจะเป็นกษัตริย์องค์ใหม่รึ?” มีผู้ที่รู้สึกตกใจและพึมพำออกมา เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่ขึ้นนั่งบนเก้าอี้มังกรด้วยท่าทีตามอารมณ์ยิ่งนัก
“ราชินี ต่อให้จวนหวังของพวกท่านจะสถาปนาเจ้าหนูคนนี้ขึ้นสู่ตำแหน่งกษัตริย์ ก็ต้องได้รับความเห็นชอบจากพวกเราเสียก่อนจึงจะมีสิทธิ์” เวลานี้ปราชญ์ภูผาพิโรธกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “เก้าอี้มังกรของราชสำนักใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์นั่งได้!”
“เทพแท้จริง ท่านเข้าใจความหมายของข้าผิดไปแล้ว และเข้าใจผิดในความหมายของจวนหวังแล้ว” ราชินีหวังหานที่สุภาพเยือกเย็นและสูงส่งเอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “คุณชายหาใช่กษัตริย์ แต่ เขามีสิทธิ์นั่งตำแหน่งนี้มากกว่าใคร และมีสิทธิ์ปกครองระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมากกว่าใคร เนื่องจากท่านคือบรรพบุรุษของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเรา! ท่านคือบรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพมาจากหุบเหวบรรพชน! เป็นบรรพบุรุษที่ถูกฝังเอาไว้ในหุบเหวบรรพชนร่วมกับผู้เฒ่ากำแหงของพวกเรา!”
“บรรพบุรุษที่ฟื้นคืนชีพมาจากหุบเหวบรรพชน…” ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ถึงกับงงงันโดยพลันเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ เวลานี้ทุกคนถึงกับฮือฮากันใหญ่
ในขณะนี้ ดวงตาคู่นั้นของทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างเบิกกว้าง มองดูหลี่ชิเย่อย่างไม่น่าเชื่อ
…………………………………………………