หลี่เชียน เทพกระบี่ผู้พิทักษ์สัจธรรม กล่าวสำหรับผู้เยาว์จำนวนมากแล้วกระทั่งไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน แต่สำหรับยอดฝีมือรุ่นอาวุโสแล้ว หลี่เชียน เทพกระบี่ผู้พิทักษ์สัจธรรมนั้น ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริง หรือชื่อที่เป็นฉายาของเขาล้วนแล้วแต่ดังก้องอยู่ในรูหู
“หลี่เชียนคือใคร?” ผู้เยาว์รู้สึกเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น เมื่อมองเห็นแม้แต่ป้าซั่งยังต้องหวั่นเกรงจนก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว จึงเอ่ยถามเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
“เทพกระบี่ผู้พิทักษ์สัจธรรม ก็คือผู้ที่กล้าแข็งที่สุดในสายของผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม และคือระดับบรรพบุรุษที่กล้าแข็งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงในยุคปัจจุบัน” ระดับผู้อาวุโสได้เอ่ยเสียงแผ่วเบากับผู้เยาว์ของตน
“บรรพบุรุษผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม!” ผู้เยาว์จำนวนมากรู้สึกหวั่นไหวในใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ ถึงกับสะดุ้งในใจ และมองดูเทพกระบี่ผู้พิทักษ์สัจธรรมหลี่เชียนด้วยความเคารพเลื่อมใสอยู่สามส่วน
ผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม ชื่อที่ศิษย์ทุกคนในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงไม่ว่าจะสังกัดสำนักใดก็ตามต่างก็รู้จัก ครั้งนั้น ผู้เฒ่ากำแหงได้บุกเบิกต้นกำเนิดสัจธรรมขึ้นมา ขณะที่ต้นกำเนิดสัจธรรมก็อยู่ภายในราชสำนักนั่นเอง
ต้นกำเนิดสัจธรรมคือแก่นแท้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ถ้าหากแม้แต่ต้นกำเนิดสัจธรรมก็สลายหายไป และหรือต้นกำเนิดสัจธรรมหมดกำลังและอ่อนลง เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็จะแตกสลายตามมา กระทั่งผืนแผ่นดินของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทั้งหมดก็จะแตกสลายตามไปด้วย
ดังนั้น ไม่ว่าต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ก็ต้องมีผู้พิทักษ์ เรียกได้ว่าผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดลัทธิหนึ่งก็คือส่วนของแกนหลักที่เป็นส่วนของหัวใจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ ราชวงศ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกเวลา แต่ทว่า ผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมโดยพื้นฐานแล้วเป็นการสืบทอดต่อๆ กันมาทุกยุคทุกสมัย
เฉกเช่นระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างนั้น ในรอบล้านล้านปีที่ผ่านมา ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีราชวงศ์มาแล้วไม่รู้กี่ราชวงศ์ แต่ละราชวงศ์กำเนิดทดแทนกันไป ราชวงศ์แล้วราชวงศ์เล่าหมุนเวียนกันไป แต่ทว่าผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงโดยพื้นฐานแล้วเป็นการสืบทอดต่อๆ กันไปเรื่อยๆ และสืบทอดต่อกันไปรุ่นสู่รุ่น
เหมือนดั่งอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ยุคนี้อาจเป็นสำนักนี้ที่ยึดครอง ยุคต่อไปก็เป็นอีกสำนักมาปกครองแทน ขณะที่ผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมจะแตกต่างกัน มีน้อยมากที่ปรากฎเหตุการณ์สับเปลี่ยน ถ้าหากแม้นผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมของสำนักยังคงปรากฏการเปลี่ยนแปลงล่ะก็ ย่อมบ่งบอกว่าต้นกำเนิดสัจธรรมนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
สายของหลี่เชียนก็คือผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง พวกเขาทำหน้าที่พิทักษ์ปกป้องระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทุกยุคทุกสมัย ควงคุมพลังต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่ว่าจะเป็นสำนักใด ตระกูลขุนนางโบราณใดในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงก็ตาม ก็ไม่เข้าใจถึงต้นกำเนิดสัจธรรมเท่ากับพวกเขา แม้จะกล่าวว่าสายของพวกเขาไม่สามารถควบคุมพลังของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอย่างสิ้นเชิง แต่ว่า ในด้านนี้พวกเขาทำให้ดีกว่าทุกๆ คนและทุกๆ สำนัก
ปรกติแล้ว ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม คนของสายหลี่เชียนไม่เคยก้าวก่ายสำนักหรือตระกูลขุนนางใดๆ กระทั่งไม่เคยก้าวก่ายเรื่องราวใดๆ ของราชวงศ์
กล่าวสำหรับผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมแล้ว สำนักใดได้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง สำนักใดได้ก่อตั้งราชวงศ์ขึ้นมาก็ไม่ได้แตกต่างอะไรนัก ท้ายที่สุดจะอย่างไรเสียก็สังกัดระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงอยู่ดี เรียกได้ว่า ผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมน้อยครั้งมากที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวทางโลก
ถ้าหากว่า แม้แต่ผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมยังปรากฏตัวล่ะก็ นั่นแสดงว่าจะต้องเกิดเรื่องที่สะเทือนฟ้าอย่างแน่นอน
แต่ว่าในหลายๆ ยุคสมัยล่าสุดนี้ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงนับว่ามีความสงบยิ่งนัก บวกกับการที่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงได้ปิดตัวเอง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสำนักของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิใดๆ ในแดนลัทธิพรรษ ดังนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงจึงนับว่ามีความสงบไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้น เนื่องเพราะเหตุนี้เอง ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม รุ่นเยาว์จึงมีน้อยคนนักที่รู้จักชื่อของหลี่เชียน
แต่ทว่า หากพูดถึงอาจารย์ของหลี่เชียน และหรือก็คือผู้นำผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมรุ่นก่อนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง เกรงว่าคงมีผู้คนจำนวนมากที่รู้จัก เขาก็คือซิวหลอจ้านเทียนนั่นเอง!
ในครั้งนั้น ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ได้ลามไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงดั่งพายุร้าย ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนมากมายเท่าไรที่ฝึกวิชา ‘มารคลั่งดูดเลือด’ ภายใต้การนำของเทพแท้จริงเทียนเต๋อ และด้วยเหตุนี้เองทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงถูกผู้คนทั่วไปขนานนามว่าเป็นพรรคมาร ทุกคนสามารถที่จะสังหารได้ และต้องตกอยู่ในสภาวะถูกล้อมปราบโดยความร่วมมือของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นๆ จำนวนมาก
ภายหลัง ซิวหลอจ้านเทียนในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมได้นำพาพวกของเขาที่เป็นสายของผู้พิทักษ์ทำการกำจัดศิษย์ทรยศให้กับสำนัก ด้วยการสังหารผู้ติดตามข้างกายเทพแท้จริงเทียนเต๋อไปเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกันก็ได้สังหารเทพแท้จริงเทียนเต๋อด้วย จากนั้นได้บรรลุข้อตกลงใหม่กับระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิอื่นจำนวนมากของแดนลัทธิพรรษ หลังจากนั้น ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงทำการปิดสำนักถอนตัวออกจากแดนลัทธิพรรษ
เป็นเพราะซิวหลอจ้านเทียนที่พยายามเปลี่ยนแปลงสถานการณ์อย่างเต็มกำลัง จึงสามารถช่วยให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงที่ตกอยู่ในลัทธิมารกลับมา ทำให้ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงมีโอกาสได้พักและฟื้นฟูกำลัง
หลังจากที่ซิวหลอจ้านเทียนเสียชีวิต หลี่เชียนได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของซิวหลอจ้านเทียน คอยปกป้องต้นกำเนิดสัจธรรมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง
ตามหลักแล้วในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม พวกเขาจะไม่ไปก้าวก่ายกิจการงานใดๆ ในราชวงศ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง ไม่ว่ากองกำลังซั่ง จวนหวังพวกเขาจะแย่งชิงอำนาจกันอย่างไร พวกเขาก็จะไม่เข้าไปสอดแทรกยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่แล้ว แต่ มาวันนี้หลี่เชียนในฐานะผู้นำของผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมกลับมาปรากฎตัวที่นี้ แล้วจะไม่ให้พวกเขาต้องรู้สึกตกใจได้อย่างไรเล่า
กล่าวสำหรับผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจวนหวังหรือกองกำลังซั่งที่กุมอำนาจ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้แตกต่างอะไรมากนัก
แต่ว่า เทพกระบี่ผู้พิทักษ์สัจธรรมหลี่เชียนกลับจะมาปรากฏตัวในเวลานี้ นับว่าอยู่เหนือความคาดคิดของทุกคน แม้แต่ป้าซั่งก็นึกไม่ถึง
สีหน้าของป้าซั่งแปรเปลี่ยนไปมากทีเดียว ขณะมองดูหลี่เชียนที่อยู่ตรงหน้า เขาสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง ดวงตาทั้งสองดูเข้มขึ้นแต่ยังคงมีท่าทีที่ชิงความได้เปรียบก่อนก้าวหนึ่ง กล่าวเย็นชาขึ้นมาว่า “หลี่เชียน ในฐานะที่เป็นผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม ถ้าหากท่านยุ่งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของราชวงศ์ล่ะก็ เท่ากับขาดซึ่งความเป็นธรรม!”
“การแย่งชิงอำนาจของราชวงศ์ สายผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมไม่สนใจ ที่ข้ามาที่นี่ในวันนี้มาเพื่อเจ้า!” หลี่เชียนที่กอดกระบี่โบราณแนบอกกล่าวเย็นชาขึ้นมา
ป้าซั่งหัวเราะเยาะ และกล่าวว่า “สามารถรบกวนผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมได้ มิเท่ากับเป็นเกียรติของข้าหรอกรึ แต่ว่าไม่รู้ว่าตาเฒ่าอย่างข้าไปกระทำความผิดใหญ่หลวงอะไร ถึงกับทำให้ใต้เท้าผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมของพวกเราต้องทำอึกทึกคึกโครม คู่ควรให้ใต้เท้าผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรมของพวกเราต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่”
แววตาของหลี่เชียนดูเข้ม เผยปณิธานการฆ่าออกมา กล่าวน่าเกรงขามว่า “กระทำผิดเรื่องอะไรเจ้ารู้อยู่แก่ใจ! เจ้าจะยอมจำนนเสียแต่โดยดี หรือจะให้ข้าลงมือสังหารเจ้าเสีย!”
“วาจาสามหาวนัก” ป้าซั่งถึงกับหัวเราะเสียงดัง และกล่าวว่า “ใครๆ เขาก็กลัวพวกเจ้าผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม แต่ข้าป้าซั่งไม่กลัว วันนี้จะขอรับการชี้แนะจากความแข็งแกร่งของพวกเจ้าผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม!”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองตากันและกัน เมื่อได้ยินคำพูดระหว่างหลี่เชียนกับป้าซั่ง หลี่เชียนในฐานะผู้นำของผู้พิทักษ์เขาไม่ได้ปรากฏตัวมานานมากแล้ว ระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณผู้หนึ่งนับนิ้วดูทีหนึ่ง การปรากฏตัวของหลี่เชียนในครั้งที่แล้วคือเรื่องราวเมื่อหมื่นปีที่แล้ว เวลานี้หลี่เชียนได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เป็นการมาด้วยเรื่องของป้าซั่ง
ตามหลักแล้ว หลี่เชียนกับป้าซั่งไม่เคยมีความแค้นต่อกัน และไม่น่าเป็นไปได้ว่าหลี่เชียนจะลงมือเพื่อหลี่ชิเย่ แต่ว่าเวลานี้หลี่เชียนพลันเอ่ยปากก็ต้องการสังหารป้าซั่ง ป้าซั่งได้ทำความผิดใหญ่อะไรเอาไว้กันแน่?
เวลานี้ระดับผู้อาวุโสของสำนัก และระดับบรรพบุรุษตระกูลขุนนางโบราณต่างคาดเดากันในใจ ป้าซั่งได้ทำความผิดใหญ่หลวงเช่นใดเอาไว้กันแน่ ถึงกับหลี่เชียนต้องลงมือด้วยตนเอง
ตูม…เสียงดังสนั่น ในพริบตาเดียวนั้นเอง พลังของป้าซั่งได้พุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง พริบตาเดียวนั่นเอง ลมปราณทั้งตัวของป้าซั่งก็คล้ายดั่งเป็นมังกรยักษ์ตัวหนึ่งที่คำรามด้วยความโกรธ
กรรร…นาทีนี้เอง เสียงมังกรทีคำรามเสียงดังด้วยความโกรธ มองเห็นมังกรคลั่งขาสั้นตัวหนึ่งหมอบอยู่ด้านหน้าของป้าซั่ง นี่คือสุดยอดวิชาของป้าซั่งมีชื่อว่าเต่ามังกรคำรามฟ้านั่นเอง!
“ฆ่า…” ป้าซั่งส่งเสียงคำราม กรงเล็บมังกรตะปบเข้าหาหลี่เชียน เจ้ามังกรคลั่งขาสั้นตัวนี้แตกต่างจากมังกรยักษ์ทั่วไป กรงเล็บมังกรของมันเหมือนดั่งฝ่าเท้าของเต่า ยามที่ฝ่าเท้าขนาดใหญ่ตะปบเข้ามานั้นคล้ายดั่งเป็นภูเขานับล้านลูก ฝ่าเท้าทั้งหนาและหนัก เมื่อตะปบลงมาสามารถทำลายทางช้างเผือกจนแหลกละเอียด ขณะที่เล็บของมันมีความแหลมคมยิ่งนัก สามารถฉีกฟ้าดินให้ขาดได้
ขณะที่ฝ่าเท้าข้างหนึ่งที่ตะปบเข้ามา ได้ยินเสียงปังดังขึ้น ท้องฟ้าแหลกละเอียด ไม่รู้ว่ามีผู้คนจำนวนเท่าไรต้องหมอบอยู่กับพื้น ขณะที่หนึ่งฝ่าเท้ายังไม่ทันได้ตะปบลงมาถึง ได้ยินเสียงตูมดังสนั่นขึ้นมา เกิดสั่นไหวโคลงเคลงไปทั่วฟ้าดิน ภูเขาที่อยู่ในเขาฟันหลอไม่รู้จำนวนเท่าไรต้องพังทลายจนละเอียด
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น พริบตาเดียวนั้นเอง เสียงกระบี่คำรามดังก้องเก้าชั้นฟ้า มองเห็นด้านหลังของหลี่เชียนพลันปรากฎกระบี่สวรรค์ที่แผ่ออกมาเล่มแล้วเล่มเล่า กระบี่สวรรค์ทุกเล่มสูงนับล้านล้านจ้าง สามารถฟันดวงดาราให้ร่วงหล่นลงมาด้
ท่ามกลางเสียงกระบี่คำรามดังตึง ตึง ตึงเป็นระลอกนั้น มองเห็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์สิบล้านเล่มที่พุ่งขึ้นท้องฟ้าโดยพลัน เสมือนดั่งฟ้าดินได้กลายเป็นทะแลแห่งกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งหมด
“เคล็ดกระบี่เทพกำแหง…” ทุกคนต่างไม่รุ้สึกแปลก เมื่อเห็นหลี่เชียนสำแดงเคล็ดกระบี่เช่นนี้ออกมา ก่อนหน้านั้นหลี่ชิเย่เพิ่งสำแดงเคล็ดกระบี่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นนี้มาก่อน
แช้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น มองเห็นกระบี่ศักดิ์สิทธิ์สิบล้านเล่มพลันหลอมรวมเข้ากับกระบี่สวรรค์ที่อยู่ด้านหลังของหลี่เชียน เคล็ดกระบี่เจิดจรัส ในพริบตาเดียวนั่นเอง ทั่วฟ้าดินเหลือกระบี่สวรรค์เพียงเล่มเดียวเท่านั้น โดยที่กระบี่สวรรค์เล่มนี้…เสมือนดั่งฟ้าดินเป็นผู้หลอมสร้างกระบี่สวรรค์เล่มนี้ขึ้นมาอย่างนั้น
ภายใต้กระบี่สวรรค์เล่มนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกล้วนแล้วแต่ดูสลด สุริยันจันทราปราศจากแสง
แช้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา ตัดขาดหยินและหยางบนโลก ตัดขาดการวัฏสงสารบนโลก
ได้ยินเสียงดังปุ หนึ่งกระบี่ที่ฟาดฟันลงมา เลือดสดกระจาย มองเห็นฝ่าเท้าขนาดยักษ์ของมังกรยักษ์ถูกฟันจนขาดในทันที เลือดสดๆ กระจายลงมาดั่งน้ำตกจนพื้นดินแดงฉานไปทั่ว
อ๊ากก…เสียงป้าซั่งร้องน่าเวทนาออกมา และถอยหลังกลับอย่างรวดเร็ว แต่ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง แขนขวาของเขาพลันถูกกระบี่สวรรค์ฟันจนขาด
พลันที่ทั้งสองฝ่ายลงมือต่างสำแดงเคล็ดวิชาที่ปราศจากผู้ต่อกรของตนออกมา ‘เต่ามังกรคำรามฟ้า’ ของป้าซั่งชี้ขาดกับ ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ของหลี่เชียน พลันที่ป้าซั่งลงมือก็อาศัยเคล็ดวิชาที่ปราศจากผู้ต่อกรที่สุด หวังสังหารหลี่เชียนในกระบวนท่าเดียว
น่าเสียดาย อย่างไรเสียเขาก็ไม่แข็งแกร่งเท่าหลี่เชียน อีกทั้ง ‘เต่ามังกรคำรามฟ้า’ ก็สู้ ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ ไม่ได้ เพียงแค่กระบวนท่าเดียวก็ชี้ผลแพ้ชนะออกมา ภายในกระบวนท่าเดียวแขนขวาของป้าซั่งก็ถูกตัดขาด
ผู้คนจำนวนเท่าไรต้องเสียวสันหลังวาบเมื่อได้เห็นภาพนี้ ไม่รู้มีผู้คนจำนวนเท่าไรต้องหวั่นไหวกับสิ่งนี้
“ไม่เสียทีที่ ‘เคล็ดกระบี่เทพกำแหง’ คือเคล็ดกระบี่ที่ปราศจากผู้ต่อกรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหงพวกเรา เคล็ดกระบี่สำหรับผู้พิทักษ์เป็นผู้ฝึกโดยเฉพาะ” ระดับผู้อาวุโสของสำนักถึงกับพึมพำออกมา
ทุกคนล้วนแล้วแต่เคยได้ยินถึงความแข็งแกร่งของผู้พิทักษ์ต้นกำเนิดสัจธรรม แต่ทว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่เคยเห็นหลี่เชียนลงมือมาก่อน ในฐานะที่เป็นบุคคลอันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิลานกำแหง พลันที่หลี่เชียนลงมือก็สยบผู้คนได้ไม่น้อยทีเดียว
กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนจำนวนเท่าไร ระดับเทพแท้จริงก็น่ากลัวยิ่งอยู่แล้ว ระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นสามย่อมน่ากลัวยิ่งกว่า
แต่ทว่า ป้าซั่งที่อยู่ในระดับเทพแท้จริงขั้นสวรรค์ชั้นสาม ยังคงไม่สามารถต่อกรกับหลี่เชียนได้ ภายในหนึ่งกระบวนท่าก็ชี้ผลแพ้ชนะ แขนขวาของป้าซั่งถูกตัดจนขาด
………………………….